“ท่านประธานหลง ลองดูเล่มนี้สิคะ” หญิงสาวในชุดพนักงานบริษัทวางบทเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะทำงาน หลงเซิ่งหมุนเก้าอี้ของตัวเอง ก่อนจะนำบทขึ้นมาพลิกอ่านด้วยความหงุดหงิดใจ “ใครเป็คนเขียน?”
หญิงสาวบอกชื่อออกไป
สีหน้าของหลงเซิ่งยิ่งดูหงุดหงิดขึ้นไปอีก “ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยล่ะ? ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าให้หานักเขียนบทที่มีชื่อเสียงมาเขียน แล้วไปเชิญผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากำกับ! จากนั้นก็ค่อยเชิญนักแสดงมาเพิ่ม แล้วให้เหลียนเหล่ยรับบทนางเอก ถึงตอนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทำเงินได้ง่ายๆ แล้วหรอกเหรอ?”
หญิงสาวบ่นว่าเ้านายของตัวเองทำธุรกิจไม่เป็เอาเสียเลยขึ้นมาในใจ นักเขียนบทและผู้กำกับที่มีชื่อเสียงสามารถเชิญมาง่ายๆ ได้ที่ไหน? พวกคนดังต่างก็มีชื่อเสียงมานานแล้ว พวกเขาไม่ขาดแคลนเงินอีก! พวกเขามีสตูดิโอเป็ของตัวเอง มีความสัมพันธ์กับบริษัทบันเทิงระดับต้นๆ ในประเทศ หากพวกเขาอยากจะถ่ายละครสักเื่ นั่นก็ไม่ใช่แค่เื่ง่ายๆ หรอกเหรอ? แล้วทำไมจะต้องมาร่วมงานกับเศรษฐีเงินก้อนอย่างหลงเซิ่งด้วยล่ะ?
แม้ในใจจะคิดแบบนี้ แต่หญิงสาวกลับไม่กล้าพูดออกมา ทำได้เพียงอธิบายต่อไปด้วยใบหน้าน้อยใจ “ท่านประธานหลง ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ไปหานะคะ แต่มันยากที่จะเชิญมาได้ คนพวกนี้ไม่ใช่พวกที่จะใช้เงินทำให้หวั่นไหวได้ง่ายๆ หรอกนะคะ”
หลงเซิ่งตบโต๊ะอย่างหยาบคาย “ถ้าใช้เงินเชิญมาไม่ได้ก็ใช้ผู้หญิงสิ! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนห้ามใจจากสิ่งนี้ได้!”
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าพูดไปหลงเซิ่งก็ไม่มีทางเข้าใจ ก็ทำได้เพียงตอบรับไปส่งๆ
ในตอนนั้น ประตูห้องทำงานถูกเคาะดังขึ้น เสียงหวานของเลขาอีกคนดังมาจากด้านนอก “ท่านประธานหลงคะ คุณหนูเหลียนมาแล้วค่ะ”
ใบหน้าของหลงเซิ่งปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เหลียนเหล่ยดูแลรับใช้เขาเป็อย่างดี เขาชอบดาราสาวที่มีใบหน้าสวยงามและยังรู้เื่แบบนี้มาก ดังนั้นเพียงเหลียนเหล่ยพูดยั่วยุเขาขึ้นมา เขาก็ยินดีจะลงมือจัดการฉินซีให้
“เข้ามา” หลงเซิ่งโบกมือไปมาเป็การบอกให้หญิงสาวออกไปได้แล้ว
เมื่อหญิงสาวเดินมาถึงข้างประตู และเปิดประตูออกก็ได้เห็นเหลียนเหล่ยที่แต่งตัวงดงามยืนอยู่ด้านนอก หญิงสาวมองเหลียนเหล่ยด้วยความอิจฉาเล็กน้อย แต่เหลียนเหล่ยกลับแสดงสีหน้าเย่อหยิ่งออกมา หญิงสาวพลันโมโหขึ้นมา ก่อนจะกระแทกรองเท้าส้นสูงก้าวเดินไวๆ ออกไป เหลียนเหล่ยส่งเสียงขึ้นมาในลำคอ เมื่อเดินเข้ามาแล้ว เธอก็พูดกับหลงเซิ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย “เลขาสาวคนนี้ของคุณวางท่าเสียยิ่งใหญ่กว่าคุณอีกนะ”
หลงเซิ่งพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น จะไปวุ่นวายกับเธอทำไม?”
ในแววตาของเหลียนเหล่ยปรากฏความขุ่นเคืองกระแสหยึ่ง หลงเซิ่งรักใคร่เอ็นดูเธอได้ แต่หลงเซิ่งก็ไปรักใคร่เอ็นดูหญิงสาวคนอื่นได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เหลียนเหล่ยจัดการไล่หญิงสาวรอบกายหลงเซิ่งไปหมดแล้ว แต่หลังๆ เธอยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขยับขยายที่ยืนในวงการบันเทิง แน่นอนว่าเธอก็ไม่อาจยับยั้งไม่ให้รอบกายของหลงเซิ่งปรากฏเลขาสาวหน้าตางดงามขึ้นมาได้อีก
เหลียนเหล่ยเดินนวยนาดไปนั่งลงบนต้นขาของหลงเซิ่ง เธอลากไล้ปลายนิ้วไปบนแผ่นอกของเขา หลังจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความน้อยใจ “ทำไมเดี๋ยวนี้คุณไม่ช่วยฉันเลยล่ะ?”
“ช่วยอะไรล่ะ?”
“ฉินซีไง! ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าจะช่วยจัดการให้ฉัน แต่ตอนนี้ฉินซีก็ยังสบายดีอยู่นี่ ฉันต้องใช้เวลานานเลยนะกว่าจะยับยั้งความก้าวร้าวของเขาได้ คุณไม่รู้เหรอว่าปกติแล้วเขาข้ามหน้าข้ามตารุ่นพี่ในวงการอย่างฉันมากแค่ไหน!” เหลียนเหล่ยถนัดด้านการกลับดำให้เป็ขาวมาก เธอพูดด้วยความโศกเศร้าน้อยใจ ถ้าชายหนุ่มได้เห็นหญิงสาวที่งดงามเย้ายวนแบบนี้ ทำท่าทางราวกับลูกแมวอยู่ในอ้อมอกของตัวเองก็คงจะใจอ่อนกันไปนานแล้ว
ความจริงปกติหลงเซิ่งเองก็เป็แบบนั้น แต่ตอนนี้เขากลับเงียบไปหลายวินาที สีหน้าเองก็เปลี่ยนเป็อึดอัด
ั้แ่ที่เขาพาคนไปจัดการฉินซีโดยไม่สนใจฟังเหตุผลใดๆ เมื่อครั้งก่อน หลงเซิ่งก็โมโหที่เหลียนเหล่ยไม่ตรวจสอบที่มาที่ไปของอีกฝ่ายให้ดีก่อน แล้วมายั่วยุให้เขาไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นตามใจอีก แม้ว่าหลังจากนั้นหลงเซิ่งจะยังไม่มั่นใจว่าฉินซีมีความสัมพันธ์กับทังเจ๋อจริงหรือไม่ แต่ใน่นี้เขาก็ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้ฉินซีเพื่อป้องกันการมองัน้ำตื้นเป็งูดินไป
“ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรล่ะ?” เหลียนเหล่ยขมวดคิ้ว ก่อนจะมองหลงเซิ่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า
หลงเซิ่งดึงหน้า “การทะเลาะเบาะแว้งของเธอกับดาราตัวเล็กๆ นั่น ทำไมยังต้องให้ฉันไปยุ่งด้วยอีก?”
เหลียนเหล่ยกำมือแน่น เกือบจะควบคุมความโมโหบนใบหน้าของตัวเองไว้ไม่ได้ “หรือคุณจะปล่อยให้เขารังแกฉันต่อไปแบบนี้เหรอ?”
หลงเซิ่งเปิดปากพูด “เธอก็ไม่ได้ยอมให้เขาเลยไม่ใช่เหรอ? ฉันได้ยินว่า่นี้ในอินเทอร์เน็ตฉินซีถูกด่าอย่างรุนแรงเลยนี่?”
ในใจของเหลียนเหล่ยใขึ้นมา เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรให้มากความอีก
หรือหลงเซิ่งจะ… ไม่ได้โง่ขนาดนั้น? เขารู้เื่ที่ตัวเองทำลับหลังเขาทั้งหมดเลยเหรอ?
เหลียนเหล่ยสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว ไม่กล้าจะคิดต่อไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ในใจก็เกิดความโมโหรุนแรงขึ้น เธอไม่รู้ว่าหลงเซิ่งเป็อะไรไป ก่อนหน้านี้เขายังตามใจเธอทุกอย่างอยู่เลย ทว่าทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอมช่วยเธอจัดการดาราหน้าใหม่คนนั้น!
ดูเหมือนว่า… เธอจะต้องจัดการกดฉินซีลงไปจนไม่เหลือทางให้พลิกตัวกลับมาถึงจะระงับความโมโหในใจได้! มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องเกียรติของเธอเอาไว้ได้! ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเหยียบหน้าเธอได้ง่ายๆ หรอกเหรอ? เหลียนเหล่ยตัดสินใจขึ้นมา
…...
ขณะที่เหลียนเหล่ยกำลังตกลงกับหลงเซิ่งอยู่นั้น ฉินซีก็กำลังนั่งที่โต๊ะเดียวกับทังเจ๋อ แม้แต่เกาจิ้งที่เกิดมาในตระกูลสูงส่งก็ยังอดขนลุกขนพองจนเหงื่อไหลไปทั้งตัวไม่ได้ เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ฉินซีเข้าใจการตอบสนองแบบนี้ของเกาจิ้งดี หากว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็คนที่ผ่านประสบการณ์มาสองชาติแล้ว ก็เกรงว่าเขาคงไม่อาจต้านทานบรรยากาศกดดันแบบนี้ได้เหมือนกัน
ท่าทางของทังเจ๋อผู้ผ่านประสบการณ์ที่ทั้งมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มาได้นั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเทียบได้
ฉินซีเหม่อลอยไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อคิดเื่ทังเจ๋อ ก็นึกไปถึงเฉินเจวี๋ยขึ้นมา เขาคิดว่าคงจะมีเพียงท่าทางของเฉินเจวี๋ยเท่านั้น ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้
ทังเจ๋อรินชาให้ตัวเอง ก่อนจะถามฉินซีขึ้น “นี่รู้จักกับหลงเซิ่ง?”
ฉินซีส่ายหน้า ก่อนจะดึงความคิดกลับมา ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเข้าประเด็นหลัก “ผมไม่ได้รู้จักเขาครับ แต่ก่อนหน้านี้บังเอิญถูกคุณหลงพบตัวเข้า และผมก็บังเอิญรู้มาว่าคุณหลงคนนี้เคยเป็ลูกน้องของคุณทังมาก่อน ก็เลยอยากจะมาขอให้คุณทังช่วยอะไรสักหน่อย...” ฉินซีพูดยิ้มๆ รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์ถึงขนาดสามารถสั่นไหวใจคนได้ในชั่ววินาที
ทังเจ๋อไม่ได้แปลกใจที่ฉินซีรู้ว่าหลงเซิ่งเคยเป็ลูกน้องของตัวเอง เขาคิดไปเองแล้วว่าเฉินเจวี๋ยเป็คนบอกเื่พวกนี้กับฉินซี
“อยากให้ฉันช่วยอะไรล่ะ? จะให้ฉันเรียกคนที่เคยเป็ลูกน้องกลับมาสั่งสอนเหรอ?” ทังเจ๋อถามเรียบๆ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับแฝงความเย้ยหยันไว้ ราวกับจะหัวเราะเยาะที่ฉินซีคาดหวังมากเกินไป
ความหวาดหวั่นในใจของเกาจิ้งทะลุสูงขึ้นจากลำคอไปถึงดวงตาแล้ว แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ฉินซีจะยังคงกล้าหาญพูดกับทังเจ๋อต่อไป “คุณทัง ผมเพียง้าให้คุณพูดชื่อผมต่อหน้าคุณหลงสักครั้งก็พอแล้วครับ”
ใบหน้าของทังเจ๋อและเกาจิ้งต่างปรากฏรอยยิ้มออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ได้สิ นายฉลาดพอจริงๆ” ทังเจ๋อเอ่ยชมฉินซี ทุกคนต่างก็เป็คนฉลาด ดังนั้นแค่พูดออกมาก็เข้าใจกันได้แล้ว ฉินซีเพียงขอให้เขาพูดชื่อเพียงครั้งเดียวก็พอ เนื่องจากชื่อที่ถูกทังเจ๋อพูดจากปากของตัวเองนั้นมีน้อยมาก ขอเพียงหลงเซิ่งได้ยินสักครั้ง เขาก็เกรงกลัวฉินซีแล้ว จากนั้นฉินซีก็จะสามารถอาศัยอิทธิพลของทังเจ๋อเป็จิ้งจอกคลุมหนังเสือได้
ทังเจ๋อดูเหมือนผู้ใหญ่ที่ชอบใจเด็กคนหนึ่งอย่างจริงจัง เขาจึงพูดคุยกับฉินซีบนโต๊ะอาหารอีกเล็กน้อย ในตอนนั้นบรรยากาศในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยความพึงพอใจและสมานฉันท์มากทีเดียว!
ทว่าในตอนนั้น สถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตกลับไม่ได้ดูดีเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเหลียนเหล่ยออกจากห้องทำงานของหลงเซิ่ง เธอก็ติดต่อผู้จัดการของตัวเอง “ไปซื้อรูปข่าวฉาวของฉินซีกับจงซิงอู๋ก่อนหน้านี้ จากนักข่าวนิตยสารซุบซิบพวกนั้นซะ!”
ผู้จัดการไดยินก็ใไป “เหลียนเหล่ย คุณเป็บ้าไปแล้วเหรอ? คิดจะลากเทพเ้าจงลงมาด้วยเหรอคะ?” ผู้จัดการร้อนรนจนรู้สึกขมขึ้นมาที่ปลายลิ้น เหลียนเหล่ยไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเท่าไร แต่เธอกลับรู้ลึกตื้นหนาบางดี จงซิงอู๋อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี เหลียนเหล่ยเพิ่งจะอยู่มาไม่กี่ปี รากฐานของทั้งสองเปรียบกันได้เสียที่ไหน?
“วางใจเถอะ ฉันจะทำให้แเีไม่เห็นร่องรอยเลย เชื่อใจฉัน ขอเพียงจัดการกับฉินซีครั้งนี้แล้ว ฉันก็จะพอ” เหลียนเหล่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“…ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปหาซื้อรูปพวกนั้น”
……
ไม่นานนัก รูปฉาวของจงซิงอู๋และฉินซีก็เกิดเป็กระแสในอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง แต่สิ่งที่ต่างออกไปในครั้งนี้ก็คือ มีคนใช้ลักษณะการพูดของคนวงในออกมาเล่าเื่การ ‘รู้จัก’ ไปจนถึงการ ‘คบหา’ ของจงซิงอู๋และฉินซี ทำให้ฉินซีกลายเป็คนที่อาศัยรูปลักษณ์ละทิ้งการเรียนแล้วหลับหูหลับตาเข้ามาในวงการบันเทิง หลังจากนั้นเป็เพราะไม่ได้สมใจอยากก็เลยพยายามเกาะจงซิงอู๋หลังจากได้เจอกัน เขาใช้ร่างกายรับรองคน สุดท้ายก็อาศัยอิทธิพลของจงซิงอู๋ในวงการบันเทิงเบียดเหลียนเหล่ยออกไป และแย่งบทบาทตงฟางปู๋ป้ายมา
ทั้งยังมีคนปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าประหลาด บอกว่าตัวเองเป็วงใน จากนั้นก็เล่าถึงความก้าวร้าวไม่สนใจใครในรายการ ในกองถ่าย หรือแม้แต่ในโรงเรียนของฉินซีออกมาทีละเื่ๆ สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงก็คือ ยังมีคนค้นเจอวิดีโอฉินซีต่อยกับคนอื่นในโรงเรียนอีก มันอธิบายให้ฉินซีกลายเป็นักเลงที่ไม่รู้จักเรียนรู้ ทั้งยังไร้ความสามารถ หยาบคายจริงๆ!
คนที่ได้เห็นจึงเกิดความรู้สึกย่ำแย่กับฉินซีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
มีประโยคหนึ่งกล่าวเอาไว้ คนที่เริ่มก่อนมักได้เปรียบ แม้หลังจากนี้ฉินซีจะใช้กำลังในการขจัดมันออกไปเท่าไร คนจำนวนไม่น้อยก็ติดภาพลักษณ์ฝังลึกกับเขาไปแล้ว
จากที่มีคนวงในออกมาเล่า คนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรก็ออกมา พวกเขาเล่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งรูปภาพที่ฉินซียั่วยวนจงซิงอู๋ หรือคำพูดสานสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต่างก็ถูกปลอมแปลงขึ้นมา
คนดังคนหนึ่งในเวยป๋อใช้ชื่อเสียงของตัวเองระดมโจมตีฉินซีว่า เป็ตัวเรือดในวงการบันเทิง
ตอนที่ทังเจ๋อลุกเดินออกมา เขาก็เตือนฉินซีโดยแฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ คนฉลาดอย่างเธอ อย่าได้ถูกพวกคนที่ฉลาดน้อยทำเอาแพ้เชียว
เกาจิ้งทานอาหารมื้อนี้ไปอย่างอึดอัด แต่ก็นับว่าทำให้ฉินซีบรรลุจุดประสงค์แล้ว ทั้งสองออกมาจากสถานบันเทิงอย่างรวดเร็ว และเกาจิ้งก็ยังขับรถไปส่งฉินซี
เมื่อฉินซีเข้าประตูห้องพักผู้ป่วยไปแล้ว หมอก็เข้ามาตรวจดูาแบนตัวของฉินซีอย่างใจเย็น หลังจากนั้นก็ถามอย่างไม่พอใจนัก “ทำไมไม่เห็นแฟนหนุ่มมาเยี่ยมบ้างเลยล่ะ?”
แฟนหนุ่ม?
ตอนนี้แม้แต่แฟนสาวเขายังไม่มีเลย!
แล้วแฟนหนุ่มมาจากไหนกัน?
ฉินซีเบิกตาที่พร่าเลือนมองคุณหมอตรงหน้าด้วยความมึนงง
หมอชี้ไปที่กระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย “เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเอาเองเถอะ”
ฉินซีกะพริบตาปริบๆ นึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเหลียนเหล่ยจะฉลาดขนาดนี้ เธอไม่คิดจะเหลือโอกาสให้เขาได้หายใจเลยจริงๆ ถึงรีบอาศัยสถานการณ์ที่ได้เปรียบโจมตีแบบนี้!
ฉินซีนำโทรศัพท์มือถือออกมาเลื่อนดู คงเพราะมีประสบการณ์ถูกวิจารณ์โจมตีมาหลายครั้ง ทำให้ใจของเขายังคงสงบนิ่งแม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉินซีคิดไปด้วยความอึดอัด เทพเ้าจงที่น่าสงสาร ต้องมามีข่าวฉาวกับคนหน้าใหม่แบบเขาอีกแล้ว...
…...
รถหรูคันหนึ่งจอดลงหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งของเมืองหนิงชื่อ
หญิงสาวที่ใส่รองเท้าส้นสูง สวมแว่นกันแดดและปิดผ้าปิดปากเดินลงไป เธอเดินเข้าไปในตึกเรียนตึกหนึ่ง รอจนมีนักเรียนออกมา เธอก็สุ่มลากคนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะเผยยิ้มพร้อมเอ่ยถาม “เธอเป็เพื่อนร่วมชั้นของฉินซีหรือเปล่า?”
นักเรียนชายไม่เข้าใจอะไรนัก “ครับ… อ่า… ใช่ครับ...”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวยิ่งเปล่งประกายขึ้นไปอีก “อย่างนั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นเธอช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
นักเรียนชายคนนั้นกลืนน้ำลายลงไป หัวใจของเขาระรัวขึ้นมา “ครับ… ครับ คนสวย”
หญิงสาวลากเขาเดินมาหลังตึกเรียน ก่อนจะดึงผ้าปิดปากลง นั่นทำเอานักเรียนคนนั้นตกตะลึงไป แม้แต่จะพูดก็ติดขัด “เทพ… เทพสาวเหลียนเหล่ย!”