ขณะที่เจินจูกลับมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน สีของท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลงแล้ว
ที่ไกลออกไปมีเงากายหนึ่งคนยืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน
เจินจูมองไม่ชัดเล็กน้อย แต่พอเดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าวจึงพบว่า หลัวจิ่งกำลังมองนางอยู่ด้วยสีหน้าอึมครึม
“ยู่เซิง? ทำไมเ้ามาอยู่ตรงนี้?” คงไม่ใช่ว่ากำลังรอนางหรอกนะ?
“เ้าไปไหนมาตลอด่บ่าย?” หลัวจิ่งไม่ได้ตอบคำถามของนาง แล้วยังถามกลับ
“…”
แย่แล้ว... ดูเหมือนจะถูกเ้าหนุ่มนี่เห็นเข้าแล้ว
ตอนกลางวันนางบอกกับหลี่ซื่อว่าจะไปเยี่ยมท่านลุงที่บ้านเก่าสกุลหู แล้วจะกลับมาเย็นหน่อย แต่นางอยู่บ้านเก่าสกุลหูเพียงครู่เดียวก็หาข้ออ้างบอกว่าจะกลับบ้านแล้ว
สองฝั่งข้างทางที่ไปสำรวจมาล้วนรกไม่เป็ระเบียบอย่างมาก นางเดาว่าน่าจะไม่มีคนพบว่านางออกไปเดินเล่นหนึ่งรอบหรอกกระมัง
น่าเสียดาย แผนการต้องเร่งให้ทันการ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“ฮ่าๆ ไม่ได้ไปไหน ข้าแค่เดินเล่นอยู่ละแวกหมู่บ้านรอบหนึ่งเท่านั้นเอง เลยเป็ตามที่เห็น พอฟ้าเริ่มมืดแล้วก็กำลังจะกลับไปบ้าน” เจินจูกลอกตาและหัวเราะขึ้น “ไปกันเถอะ กลับกัน มืดแล้ว อีกเดี๋ยวจะมองไม่เห็นทางนะ”
นางยิ้มแล้วหมุนกายไปคิดจะเดินไปข้างหน้า
ข้อมือกลับถูกดึงไว้อย่างรุนแรง เจินจูประหลาดใจ หันกลับมาแล้วมองไป
แววตาเด็กชายแวววาว สีหน้ายุ่งเหยิง “อย่าเอาตัวเองเข้าไปตกอยู่ในอันตราย อันธพาลไร้เหตุผลระดับนั้น ไม่ใช่เ้าแม่นางน้อยคนหนึ่งจะสามารถจัดการได้”
เขาเปิดโปงความคิดเล็กๆ ของนางออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“…”
เจินจูอ้าปากกำลังจะแก้ตัว แต่ในดวงตาสว่างไสวลึกซึ้งของเขากลับมองเห็นได้ถึงความเป็ห่วงอย่างชัดเจน
เอาเถิด เขาเป็คนฉลาดหลักแหลมทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ จากการกระทำของนางจะทำให้เขาคาดเดาความคิดในใจนางออกก็ไม่แปลก
ลอบถอนใจอยู่ข้างใน คว้าแขนเสื้อของเขาไว้แล้วเคลื่อนย้ายมือของเขาออกจากข้อมือ แม้ท้องฟ้าไม่สว่างแต่เกิดชาวบ้านที่กลับมา่เวลามืดเช่นนี้บังเอิญพบเข้า คงทำให้คนเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และยังก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอีกด้วย
“วางใจได้ คุณชายมีค่าดั่งทองพันชั่งไม่นั่งใต้ขื่อ [1] หลักการนี้ข้าเข้าใจ ชีวิตน้อยๆ ของข้าล้ำค่าอยู่นะ ไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในส่วนที่อันตรายหรอก” นางยิ้ม อธิบายการกระทำของตนเองอย่างคลุมเครือ “กลับกันเถอะ ท่านแม่น่าจะเป็ห่วงแล้ว”
ครั้งนี้หลัวจิ่งไม่ได้ยื้อนางอีก แม้คำตอบคลุมเครือ แต่นางแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีทางทำเื่โง่งมเอาตัวเข้าปะทะกับอันตราย เขาเดินตามกลับไปอยู่ด้านหลังนางอย่างเงียบสงบ
อาหารมื้อเย็น บรรยากาศของสกุลหูอึมครึมเล็กน้อย แม้แต่ผิงอันที่ร่าเริงพูดมากมาตลอดยังถอนหายใจทานข้าวอย่างเงียบๆ
เมื่อวานตอนหัวค่ำหูฉางหลินฟื้นขึ้นมาแล้ว ดื่มสมุนไพรไปก็อาเจียนเืคั่งออกมาสองสามที หวังซื่อใรีบตามท่านหมอหลินมาอีกรอบ พอท่านหมอหลินตรวจอาการ กลับผ่อนลมหายใจสบายๆ บอกว่าอาเจียนเืคั่งออกมาเป็เื่ดี เกรงว่าหากเืคั่งติดอยู่ช่องท้องอาเจียนออกมาไม่ได้ เช่นนั้นจะยิ่งแย่ขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นสกุลหูทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก
หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อจับไก่หนึ่งตัวไปเยี่ยมหูฉางหลินที่บ้านเก่าแต่เช้าตรู่ ช่วยหวังซื่อซักผ้าหาบน้ำก่อไฟทำกับข้าว รดน้ำผักผ่าฟืนให้อาหารไก่เลี้ยงวัวยุ่งไม่หยุด ราวกับ้าทำงานในบ้านเก่าให้เสร็จทั้งหมดรวดเดียว จนกระทั่งหวังซื่อทนมองต่อไปไม่ไหว จึงไล่ให้สองคนกลับไป
เมื่อวานผิงอันเลิกเรียนแล้ว เพิ่งมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ได้มีชาวบ้านที่ชอบยุ่งเื่ผู้อื่นบอกเื่ราวกับเด็กสองคน ด้วยเหตุนี้ผิงอันจึงตามผิงซุ่นกลับบ้านเก่าสกุลหูไปเยี่ยมท่านลุงพร้อมกัน
วันนี้เด็กชายสองคนอยากลาหยุดหนึ่งวันเพื่อช่วยเหลืออยู่ที่บ้าน แต่หวังซื่อกลับไม่อนุญาต เด็กสองคนอยู่บ้านไม่เพียงช่วยอะไรไม่ได้ แล้วยังทุกข์ใจตามผู้ใหญ่ไปอีก ไปเข้าเรียนอย่างตั้งใจจะไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้น ผิงอันจำต้องไปเรียนด้วยใบหน้าบูดบึ้งน้ำเสียงอู้อี้ไปทั้งวัน กลับมาถึงบ้านรับรู้ได้ถึงบรรยากาศซึมเศร้าจึงอยู่เงียบๆ เป็เด็กดี
“แค่กๆ” เจินจูแกล้งกระแอมไอสองที บรรยากาศซึมเศร้าของห้องนี้ แค่ทานข้าวล้วนยังสามารถอึดอัดใจได้
“ท่านพ่อ หน้าของท่านจะเปลี่ยนเป็มะระแล้ว ท่านอย่ากลัดกลุ้มมากเกินไป าแของท่านลุงไม่ใช่ว่าไม่ได้ร้ายแรงหรอกหรือ ท่านหมอหลินบอกว่ารักษาครึ่งเดือนก็ดีขึ้นพอสมควรแล้วนี่เ้าคะ” ใบหน้าของหูฉางกุ้ยเดิมทีโศกเศร้าอาดูรอยู่แล้ว สองวันมานี้กลุ้มใจเื่ของหูฉางหลิน ทั้งใบหน้าไม่ผ่อนคลายลงเลย
“…” เด็กสาวผู้นี้ช่างกล้าพูดจริงๆ หางตาหลัวจิ่งกระตุก เงยหน้าชำเลืองมองหูฉางกุ้ยแวบหนึ่ง เหมือนมะระจริงด้วย
“าแของท่านลุงเ้ายังดี แต่…” หูฉางกุ้ยไม่ได้กล่าวออกไปว่าชุ่ยจูถูกเหลียงหู่พึงพอใจเข้า คำพูดเช่นนั้นไม่สามารถกล่าวออกมาตามอำเภอใจได้ หวังซื่อเคยบอกเขาเป็การส่วนตัวไว้เช่นนั้น
“ไม่มีแต่อะไรทั้งสิ้น เราไม่ต้องกลัวเหลียงหู่ผู้นั้น อย่างมากพวกเราก็แค่ขอร้องเ้าของร้านหลิวให้เขาช่วยไกล่เกลี่ยนิดๆ หน่อยๆ เหลียงหู่แค่คนรับจ้างของโรงพนันเท่านั้นเอง เขาจะไม่ไว้หน้าเ้าของร้านหลิวได้หรือเ้าคะ” เจินจูหัวเราะคลายกังวล
หูฉางกุ้ยดวงตาเป็ประกาย ใช่สิ เ้าของร้านหลิวของฝูอันถัง บุคคลโด่งดังในเมือง เ้าของร้านหลิววางตัวสุภาพอ่อนโยนและพูดจาดี หากครอบครัวเราไปขอร้อง เขาน่าจะช่วยเหลือกระมัง
“หรงเหนียง ข้าจะกลับไปบ้านเก่าสักรอบนะ” เขานั่งไม่ติดเล็กน้อย วางถ้วยและตะเกียบลงแล้วยืนขึ้น กลางวันวันนี้บิดามารดาของเขายังกลัดกลุ้มเื่นี้อยู่เลย นำความคิดเห็นของเจินจูไปบอกพวกเขา ดีร้ายอย่างไรคืนนี้คงนอนหลับอย่างสงบใจได้บ้าง
“พ่อเ้า ทานข้าวให้หมดก่อนค่อยไปเถอะ” หลี่ซื่อมองข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งถ้วยของเขาแล้วกล่าวโน้มน้าว
“พวกเ้าทานกันก่อน ข้ากลับมาค่อยทาน” หูฉางกุ้ยรีบไปบ้านเก่าสกุลหู เพียงโบกไม้โบกมือบอกใบ้ให้พวกนางทานกันก่อน
เห็นหูฉางกุ้ยเดินไปข้างนอกด้วยความรีบร้อน เจินจูรีบเรียกะโหยุดเขาไว้ “ท่านพ่อ วันนี้ค่ำมืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยบอกเถอะ”
“ไม่ต้องกังวล แค่ไม่กี่ก้าว ไปบอกท่านปู่กับท่านย่าเ้าก่อน คืนนี้พวกเขาจะได้หลับให้สนิทสักหน่อย” หูฉางกุ้ยเดินไปด้วยกล่าวไปด้วย เสียงเอ่ยออกมาคนก็เดินไปไกลมากแล้ว
เอ่อ เอาเถอะ นี่สิถึงจะเป็ตัวอย่างของบุตรชายกตัญญู อีกอย่างนางก็ทิ้งระยะห่างกับหูฉางกุ้ยไปไกลแล้วด้วย
ทานข้าวเสร็จ เจินจูช่วยหลี่ซื่อเก็บกวาดถ้วยตะเกียบไปล้างทำความสะอาด หลังจากนั้นตักน้ำร้อนมาไว้สำหรับล้างหน้าแปรงฟันรอบหนึ่ง
กลับมาถึงในห้อง เปิดหน้าต่างออก ใบหน้าเยือกเย็นได้หลุบหน้าต่ำลง
เสี่ยวเฮยยังไม่กลับมา
นาง… กระสับกระส่ายเล็กน้อย
ฟ้ามืดแล้ว ่เวลานี้ในป่าเขามืดสนิทไปทั้งผืน หากชายโฉดผู้นั้นไม่ไปเทือกเขาโกวจื่อเพื่อลักลอบพบแม่หม้าย เช่นนั้นเสี่ยวเฮยไม่ต้องเฝ้ารอทั้งคืนหรือ? โอ๊ย... นี่นางใคร่ครวญไม่รอบคอบเลย ต่อให้เสี่ยวเฮยฉลาดแต่ก็เป็แค่สัตว์ หากเจอสถานการณ์คับขันเข้า เกรงว่ามันจะหลบเลี่ยงไม่ได้
เจินจูเดินวนไปมาอยู่ในห้อง จิตใจยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้น หากนางตามอยู่ด้วยก็คงดี น่าเสียดาย นางไม่สามารถหาเหตุผลให้กลับบ้านไม่ตรงเวลาได้
ไม่เช่นนั้น ตอนนี้นางแอบออกไปหาสักหน่อยดีหรือไม่? มีมิติช่องว่างอยู่ข้างกาย หากพบเื่คับขันอะไรก็หลบซ่อนเข้าไปได้
นางดึงประตูห้องเปิดออกสังเกตซ้ายขวาอย่างละเอียด พบว่าประตูห้องของผิงอันและยู่เซิงเปิดอยู่ ไม่รู้ว่ายู่เซิงเจตนาหรือไม่ แต่เขากำลังยืนพิงประตูห้องของผิงอันและสนทนากันอยู่
“…”
แม้แสงในยามราตรีจะอึมครึม แต่เจินจูยังเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองมาอยู่เป็ระยะ
เ้าหนุ่มนี่ชั่วร้ายจริงๆ นางปิดประตูห้องอย่างโกรธแค้น
ถอนหายใจและล้มตัวลงบนเตียง เสี่ยวเฮยเป็สัตว์กลางคืน สายตายามค่ำมืดดีกว่าตอนกลางวัน อีกทั้งฝีมือเก่งกาจอีกด้วย น่าจะไม่มีทางเกิดเื่ร้ายอะไรขึ้น อย่าใไป นางปลอบใจตัวเอง
นอนหงายอยู่บนเตียงไม่นาน “แกรก” ซี่กรงหน้าต่างดังหนึ่งที และเสียงฝีเท้าคล่องแคล่วร่วงลงบนพื้น
เจินจูลุกขึ้นนั่งทันที มองไปตามเสียงที่พื้นข้างล่าง เป็เสี่ยวเฮยแสนสง่าขนสีดำสนิทจริงด้วย
“เ้ากลับมาแล้ว!” นางพุ่งเข้าไปด้วยความดีใจ อุ้มมันขึ้นในทีเดียว
สังเกตมันซ้ายขวาหนึ่งรอบ อื้ม ดีมาก ขนไม่หลุดไปสักนิด
เจินจูยิ้มแล้วล้วงเอาก้านผักกวางตุ้งหนึ่งก้านออกมาจากมิติช่องว่าง นี่เป็ผักอย่างหนึ่งที่เสี่ยวเฮยชอบที่สุด
เสี่ยวเฮยไม่เกรงใจเลยสักนิด ตะปบหมุนวนหนึ่งที “กร๊วบๆ! ” มันกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เป็อย่างไรบ้าง? ไอ้เดรัจฉานผู้นั้นขึ้นเขาหรือไม่?” เจินจูอุ้มมันนั่งบนขอบเตียงแล้วถาม
“เหมียว”
“ไป? แล้ว… เ้าทำตามแผนที่วางไว้หรือไม่?”
“เหมียว”
“ทำสำเร็จแล้วใช่หรือไม่?”
“เหมียว”
“โอ้ เสี่ยวเฮยเก่งจริงๆ ข้าพูดคำไหนคำนั้น พรุ่งนี้ข้าจะซื้อหางหมูให้เ้าสิบอัน ใส่น้ำแร่จิติญญามากๆ แล้วพะโล้ออกมาให้เ้า” นี่คือรางวัลที่เจินจูมอบให้ เสี่ยวเฮยชอบแทะหางหมูที่พะโล้ออกมาด้วยน้ำแร่จิติญญามากเป็พิเศษ แต่่นี้ไม่ได้เชือดหมูทำเนื้อตากแห้งแล้ว เสี่ยวเฮยจึงไม่มีหางหมูแทะอยู่่หนึ่ง
“เหมียวๆ”
เสี่ยวเฮยกำลังแทะก้านผักกวางตุ้ง ท่าทางเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างมาก
เจินจูอารมณ์ดีไปชั่วขณะ ความไม่สบายใจที่แน่นอยู่เต็มอกไม่กี่วันมานี้กวาดหายเกลี้ยง อุ้มเสี่ยวเฮยมาหยอกล้อพักหนึ่ง แล้วจึงขึ้นไปนอนบนเตียงหลับไปอย่างสบายใจ
รุ่งสางของวันถัดมา ครอบครัวของเจินจูตื่นกันแต่เช้า
ทานอาหารเช้าแล้ว เจินจูให้หูฉางกุ้ยเร่งเกวียนล่อไปส่งผิงอันเข้าเรียนที่หมู่บ้านต้าวัน แล้วถือโอกาสซื้อของนิดหน่อยกลับมาด้วย
นางอ่านใบรายการของทีละอย่างให้บิดาฟัง “ซื้อหมูเนื้อแดงเจ็ดส่วนสิบชั่ง ปอดหมู หัวใจหมู หางหมู กระเพาะหมูเหล่านี้ในตลาดมีเท่าไรซื้อกลับมาให้หมด เนื้อพะโล้ของครอบครัวเราไม่มีแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ต้องซื้อเติมไว้ กระดูกใหญ่สองชั่ง ขาท่อนบนของหมูหนึ่งคู่ นี่เป็ของที่ใช้ตุ๋นน้ำแกงบำรุงให้ท่านลุง ปลากินหญ้าสองตัว เอาตัวที่ใหญ่ๆ นานแล้วที่ไม่ได้กินลูกชิ้นปลา วันนี้จะทำสักหนึ่งกะละมัง แล้วเอาไปมอบให้ท่านยายครึ่งหนึ่ง ซื้อไส้ใหญ่หนึ่งพวง ผัดไส้หมูเผ็ดหอมไม่ได้ทานนานแล้วเช่นกัน แล้วยังมีเกลือหนึ่งชั่ง เครื่องปรุงรสถั่วเหลืองหนึ่งชั่ง น้ำตาลสองชั่ง กระดาษฟางสองชั่ง ป้าหอมสามตลับ ผงสีฟันห้าตลับ…”
“เจิน เจินจู ข้าจำไม่ค่อยได้ เ้ากล่าวอีกรอบ” หูฉางกุ้ยถูกใบรายการยาวพรืดของนางทำให้ใ จำของที่นาง้าได้ไม่ชัดเจนไปชั่วขณะ
เจินจูยิ้มแล้วกล่าวซ้ำอีกรอบ หูฉางกุ้ยหักนิ้วนับทีละอย่างหนึ่งรอบ กว่าจะฝืนจำได้ไม่ง่ายเลย
หูฉางกุ้ยขับเคลื่อนเกวียนล่อไปส่งเด็กสองคนที่หมู่บ้านต้าวัน
หลี่ซื่อสั่งงานเจินจูอยู่สองสามประโยคแล้วไปช่วยงานที่บ้านเก่าสกุลหู ชุ่ยจูตื่นใและร้องไห้ครึ่งค่อนวัน จิตใจเซื่องซึมมาตลอด หวังซื่อคนเดียวดูแลทั้งครอบครัว ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นจริงๆ
เจินจูรับงานบ้านต่อมาจากหลี่ซื่อ ล้างถ้วยและตะเกียบตอนเช้าเสร็จ ให้อาหารไก่แปดตัวในเล้าไก่ให้อิ่ม
ไม่ผิด ในเล้าไก่ใหญ่กว้างขวางเพียงนี้ ตอนนี้เหลือแม่ไก่ออกไข่เพียงแปดตัว
เ้าของร้านหลิวจับไก่ไปรวดเดียวสิบตัว สกุลหูยังไม่ทันได้เพิ่มลูกไก่เข้ามาเลย
ให้อาหารไก่แปดตัวเสร็จ เวลายังคงเช้าอยู่ เจินจูคาดเดาว่าข่าวคราวน่าจะแพร่กระจายมาถึงหมู่บ้านวั้งหลินไม่เร็วเท่าไร จึงเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“โฮ่งๆ” เสียงเห่าของเสี่ยวหวงแว่วเข้ามาจากหน้าบ้าน... มีคนมาแล้ว
เจินจูเปิดประตูลานออกมอง ที่แท้เป็ถู่วั่งตัวน้อยมาส่งหญ้าเลี้ยงสัตว์นี่เอง
“พี่เจินจู นี่เป็หญ้าเลี้ยงสัตว์ของล่อ” ถู่วั่งยิ้มทักทายอย่างไร้เดียงสา หลังจากนั้นวางหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่เต็มตะกร้าจากบนหลังลงด้วยความระมัดระวัง
“อื้ม ขอบใจถู่วั่ง เหนื่อยแล้วล่ะสิ เ้าเข้ามาพักในบ้านก่อน” เจินจูนำหญ้าเลี้ยงสัตว์ในตะกร้าไผ่สานเทเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ด้านหลังประตู นี่เป็ที่ใส่หญ้าของเลี้ยงสัตว์ที่หูฉางหลินถักขึ้นมาโดยเฉพาะ
“ไม่เป็ไร พี่เจินจู งานเล็กน้อยนี่ไม่เหนื่อย อีกเดี๋ยวข้าค่อยมาส่งตะกร้าที่สอง” พอกล่าวจบ ถู่วั่งก็วิ่งหายวับไปกับตา
ครอบครัวสกุลหูยังไม่เริ่มเลี้ยงหมู ดังนั้น่นี้หญ้าเลี้ยงสัตว์และผักป่าที่ใช้จึงไม่มาก หญ้าเลี้ยงสัตว์สองตะกร้ากับผักป่าหนึ่งตะกร้า ถู่วั่งเกี่ยวเสร็จั้แ่ครึ่งวันเช้าแล้ว
เจินจูเดินกลับมาในลานบ้าน มองไปไกลๆ เห็นเงากายในชุดสีน้ำเงินปรากฏเลือนรางอยู่ข้างบ้าน
ชิ เ้าเด็กนี่ ยังไม่วางใจในตัวนางอีกหรือนี่
นางยิ้มแล้วส่ายหน้า หมุนกายไปเรียกเสี่ยวหวงที่วิ่งลิงโลดออกไปข้างนอกให้กลับเข้าบ้าน
เชิงอรรถ
[1] คุณชายมีค่าดั่งทองพันชั่งไม่นั่งใต้ขื่อ หมายถึง คนที่ร่ำรวยมากๆ จะไม่นั่งอยู่กลางบ้านใต้ขื่อ หรือเสาคานไม้ เพราะกลัวว่าจะหล่นใส่ อุปมาว่า ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เป็อันตราย