หลังหวังเค่อแยกตัวจากคณะเดินทางของจูหงอีไป เนี่ยเทียนป้ากับจูเยี่ยนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“ข้า ข้ายังไม่ตาย?” จูเยี่ยนมองไปรอบด้านอย่างเหม่อลอย
จูเยี่ยนมองดูไอมารที่พวยพุ่งกลืนฟ้าอย่างสับสน เกิดอะไรขึ้น? ที่นี่ที่ไหน?
“เหอะ!” จูหงอีแค่นเสียงเย็นเยียบ
“ทะ ท่านอาทวด!” จูเยี่ยนพลันไม่กล้าเอ่ยคำออกมา
ทว่าจูเยี่ยนพลันมองเห็นตัวองค์หญิงโยวเยว่ โดยเฉพาะลูกปัดคำนึงบนข้อมือนาง
“ลูกปัดคำนึง?” ดวงตาจูเยี่ยนพลันสาดประกาย
เนี่ยเทียนป้าข้างกายมันเองก็ได้สติขึ้นมากวาดตาดูรอบตัวอย่างเลื่อนลอย ไม่ใช่ข้าถูกหวังเค่อฆ่าตายแล้วรึ? ข้ายังมีชีวิตอยู่? ประเสริฐนัก! ว่าแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ฟุ่บ!”
สานุศิษย์ลัทธิมารเดินทางมาถึงวังหลวงเมืองชิงจิง ก่อนร่อนลงภายในเขตวังหลวงอย่างองอาจ โดยมีเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยในอาภรณ์สีเขียวยืนรออยู่
“อะไร? นั่นหญิงเสียสติของพรรคเทพหมาป่า์ไม่ใช่รึ?”
“ท่านเ้าตำหนัก นางคือเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย มีคนดักซุ่มโจมตีขอรับ!”
.........
.........
......
......
...
...
ในบรรดาศิษย์ลัทธิมารไม่ใช่ทุกคนจะรู้ถึงตัวตนใหม่ของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย มารส่วนใหญ่กลายเป็ระแวงระวัง แน่นอนว่าศิษย์ลัทธิมารบางตนเองก็ทราบเื่แล้วจึงไม่กระโตกกระตาก
“หยุดมือ!” จูหงอีแค่นเสียง
ศิษย์ลัทธิมารต่างงุนงง
“นางคือเ้าตำหนักห้าที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งโดยท่านมารอริยะ! งานชุมนุมมารปรโลกก็เป็เ้าตำหนักห้าจัดขึ้น! เพื่อพวกเ้า เ้าตำหนักห้าถึงกับจับกุมทารกร่างมารไว้เพื่อคลี่คลายความบาดหมางในอดีต!” จูหงอีกล่าวเสียงเย็น
“ว่าอะไร? เ้าตำหนักห้า?”
“หญิงเสียสติที่ฆ่าล้างศิษย์ข้าไปเกือบเกลี้ยงพรรคนั่นก็คือเ้าตำหนักห้า?”
“นางก็มีวันแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า นางก็มีวันแบบนี้ด้วย!”
.........
.........
......
......
...
...
ทันใดนั้นเอง ท่าทีของศิษย์ลัทธิมารเมื่อเห็นเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยก็เปลี่ยนไปทันที บางคนเยาะเย้ยถากถาง บางส่วนยังคงเคืองแค้นไม่หาย
แต่เมื่อมีจูหงอีคอยคุมเชิงอยู่ ศิษย์พรรคมารทั้งหลายก็ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย
“ชิงเอ๋อร์ ข้าพาตัวองค์หญิงโยวเยว่กลับมาให้แล้ว! เ้าเห็นหรือยัง?” จูหงอียิ้มแย้ม
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยย่อมต้องรู้จักองค์หญิงโยวเยว่ นางพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นรึ งั้นก็ประเสริฐ!” จูหงอียิ้ม
“เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย? เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยแห่งพรรคเทพหมาป่า์? เ้ากลับเข้าร่วมพวกมารไปแล้ว? เ้ากลับเป็มารไปจริงๆ?” กลุ่มศิษย์พรรคอีกาทองคำที่ถูกคุมขังอยู่ทั้งตะลึงทั้งโกรธ
“เป็ไปได้อย่างไร? ไม่ใช่เ้าคิดกำราบมารร้ายทั่วหล้าหรอกรึ?”
“เ้าเองก็ตกต่ำเข้าสู่วิถีมารแล้ว? พรรคเทพหมาป่า์เป็พวกตีสองหน้า?”
.........
.........
......
......
...
...
ศิษย์พรรคอีกาทองคำต่างพากันสาปส่ง
“อุดปากพวกมันไว้!” จูหงอีจ้องเขม็ง
พริบตานั้น ศิษย์พรรคอีกาทองคำทั้งหมดล้วนถูกอุดปากไว้ แต่พวกมันทุกคนยังคงจ้องมองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยไม่วางตา
“เหอะ ไอ้พวกไม่มีสันหลัง กล้าล่วงเกินชิงเอ๋อร์ รนหาที่ตาย!” จูหงอีเอ่ยเสียงเย็น
ศิษย์พรรคอีกาทองคำได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างหดหู่ ไม่มีสันหลังรึ? ผายลมเ้าเถอะ พวกข้าถูกหวังเค่อมันต้มต่างหาก
“ท่านเ้าตำหนัก พวกเรายอมรับเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเป็เ้าตำหนักห้าไม่ได้จริงๆ!”
“ใช่แล้ว พี่น้องพวกเราตั้งเท่าไหร่ที่ตายด้วยฝีมือนาง! ทำไมกัน?”
“จะเข้าร่วมลัทธิมารก็ยังได้ แต่ไม่ใช่เดินก้าวเดียวบรรลุถึง์แบบนี้ นางทำอะไรเพื่อลัทธิมารบ้าง?”
.........
.........
......
......
...
...
ศิษย์พรรคมารพากันเผยท่าทีไม่ยินยอมออกมากะทันหัน ชัดเจนว่าความเกลียดชังที่มีต่อเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยรุนแรงเกินไป
“คิดทำอะไร? จะทำอะไร? อยากก่อฏรึ?” จูหงอีจ้องเขม็ง
ศิษย์พรรคมารทั้งหลายกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก
“เหอะ นางไม่ใช่เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย ชื่อจริงของนางคือเนี่ยชิงชิง! เป็เ้าตำหนักห้าที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านมารอริยะโดยตรง ใครคัดค้านก็ไปคุยกับท่านมารอริยะเอาเอง ไป!” จูหงอีะโ
ให้ไปคุยกับมารอริยะเอง? เห็นพวกเราเบื่อชีวิตแล้วหรือไร มารทั้งหลายพากันกลั้นหายใจ
“เ้าตำหนักห้ารู้ว่าพวกเ้ามีอคติกับนาง ถึงได้ลงทุนตามหาทารกร่างมารมาด้วยตัวเอง ทั้งยังจัดงานชุมนุมมารปรโลกนี้ขึ้น ทั้งหมดก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเ้าทั้งหลาย! พวกเ้าไม่เพียงไม่ขอบคุณเ้าตำหนักห้า แต่ยังแหกปากโวยวายอีก?” จูหงอีดุด่า
“ขอบคุณ? งานชุมนุมมารปรโลกอันใด! พวกเราไม่รู้จัก นางบอกองค์หญิงโยวเยว่เป็ทารกร่างมารก็เป็ทารกร่างมารหรือ?” มารตนหนึ่งในฝูงชนไม่ยอมเชื่อ
“ใครพูดเมื่อกี้ แสดงตัวมา!” จูหงอีกล่าวเสียงเย็น
“ท่านเ้าตำหนัก ท่านอยากให้พวกเรายอมรับเ้าตำหนักห้า ขอเพียงท่านออกคำสั่ง พวกเราก็ล้วนต้องทำตาม แต่อย่าใช้ ‘งานชุมนุมมารปรโลก’ เป็ข้ออ้าง! ผู้น้อยกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ แต่ต้องถ่อมาไกลถึงนี่เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมมารปรโลก ข้า…!” มารตนนั้นยังคงไม่พอใจ
“อ้อ เ้ายังไม่เชื่อสินะ? เ้าไม่อยากเข้าร่วมงานชุมนุมมารปรโลกแล้วสิท่า? เหอะ ถ้าหากหลังจากนี้เ้ายังไม่อยากเข้าร่วม ข้าก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะไป เ้ารู้หรือไม่ว่าทารกร่างมารคืออะไร?” จูหงอีถามเสียงเข้ม
“ผู้ที่กลายเป็มารอย่างพวกเราถูกเรียกว่ามารอสูร! มารกับมนุษย์ธรรมดาไม่อาจมีทายาทร่วมกัน มีเพียงมารที่ให้กำเนิดทายาทมารได้ ทายาทที่ถือกำเนิดจากมารและมนุษย์ธรรมดาหนึ่งร้อยปีจะมีสักคน นั่นก็คือทารกร่างมาร!” มารตนนั้นกล่าว
“ถูกต้อง เ้าพูดไม่ผิด แต่รู้หรือไม่? ทารกร่างมารนับแต่ถือกำเนิดก็คือมารในหมู่มาร! มารในหมู่มารเชียว! เ้ารู้ความหมายของมันหรือเปล่า?” จูหงอีอธิบาย
“ท่านหมายความเช่นไร?” มารตนนั้นถามอย่างสับสน
“ทารกร่างมารไม่จำเป็ต้องฝึกฝน ขอเพียงเติบใหญ่ก็สามารถบรรลุเป็ทารกแกนิญญาได้เลย เ้ารู้เื่นี้หรือเปล่า?” จูหงอีกล่าวเสียงเข้ม
“ว่าอะไรนะ?” เหล่ามารตะลึงไป
“วิธีบำเพ็ญตนที่เร็วที่สุดของพวกเราก็คือการดื่มเืดูดพลังปฐมธาตุของยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ ทั้งหมดก็เพื่อกระตุ้นให้พลังปฐมของพวกเราพัฒนา เพิ่มพูนพลังฝีมืออย่างก้าวะโ ดังนั้น พวกเ้าจึงทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ดื่มกินยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ แต่ทารกร่างมารหาใช่ทั้งธรรมะหรืออธรรมไม่ ผลไม้วิเศษนี้เ้ากลับมองไม่เห็น? ทั้งโลหิตและพลังปฐมของนางเทียบได้กับยอดฝีมือขั้นทารกแกนิญญา พลังปฐมของนางยังคุณภาพสูงกว่า ช่วยส่งเสริมการทะลวงด่านฝีมือได้ดีกว่า เ้าไม่อยากกินสักคำจริงๆ?” จูหงอีเอ่ยเสียงเข้ม
“ทารกแกนิญญา?” มารร้ายทั้งหลายต่างพากันตาเป็ประกาย
โดยเฉพาะมารระดับสูงขั้นดวงธาตุทองคำ ถ้าหากพวกมันสามารถกลืนกินพลังปฐมธาตุขั้นทารกแกนิญญาได้ หนทางทะลวงขึ้นเป็ทารกแกนิญญาก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ขั้นทารกแกนิญญาก็คือตัวตนระดับสูงสุดในสิบหมื่นมหาบรรพต
“ท่านเ้าตำหนัก มีของประเสริฐเช่นนี้อยู่จริงๆ?” มารตนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“ปลดปล่อยไอมารสำแดงร่างมารของพวกเ้าออกมา!” จูหงอีสั่งอย่างเคร่งขรึม
“โฮก!” “กรร!”………………
เพียงพริบตา มารทั้งหลายล้วนเปล่งไอมารทมิฬพวยพุ่งกล่นฟ้า ปากงอกเขี้ยวแหลมคมตาเรืองแสงแดงฉานประดุจปีศาจร้ายจำแลงกาย ปากส่งเสียงคำรามก้องกึกดุร้าย
เมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องบ้าคลั่งของเหล่ามารอสูร ศิษย์พรรคอีกาทองคำทั้งหลายล้วนแต่พากันตัวสั่น
ฝูงมารเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง ไอมารขุมนี้จะน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
ยามนี้เอง จูหงอีพลันยกนิ้วแตะหว่างคิ้วองค์หญิงโยวเยว่พร้อมส่งลำแสงสีดำเข้าใส่ องค์หญิงโยวเยว่ตัวสั่นสะท้านคล้ายมารร้ายแอบแฝงในร่างลืมตาตื่น ร่างกายนางเปล่งแสงสีเงินยวง เส้นเืสีฟ้าปูดโปนเต็มใบหน้า ดวงตาของนางกลายเป็สีเงิน งอกเขี้ยวแดงฉานสองข้างออกมา
“โฮกกกกกกกกก~~~~~~~~~~~~~~~~~~!"
องค์หญิงโยวเยว่คำรามลั่นขึ้นฟ้า
เสียงคำรามนี้แฝงด้วยแรงกดดันทรงอำนาจ ถึงกับสะกดข่มเสียงกู่ร้องของมารทั้งหมดไป ราวกับเป็แรงกดดันแต่กำเนิดที่เหนือล้ำกว่ามารทั้งปวง จนฝูงมารอสูรเป็ต้องตัวสั่นเทิ้มทันที
นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะลมปราณจากตัวองค์หญิงโยวเยว่ร้ายกาจเกินไป แต่เป็ความกลัวที่มาจากก้นบึ้งดวงิญญา หวาดกลัวในไอมารขององค์หญิงโยวเยว่ หวาดกลัวในเสียงคำรามของนาง
“ปะ เป็ไปได้ยังไง…!” ฝูงมารอุทาน
จางเสินซวีและศิษย์พรรคอีกาทองคำเองก็ล้วนแต่ตะลึงงัน องค์หญิงโยวเยว่ที่พวกมันเคยออกประกาศรางวัลนำจับไฉนถึงน่ากลัวปานนี้? นี่ นี่ นี่แค่วินาทีเดียวนางก็กลายเป็จอมมารไปแล้ว!
เนี่ยเทียนป้ากลับเป็คนที่รู้สึกกลัวที่สุด มันหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมา ก่อนหน้านี้ข้าจับตัวองค์หญิงโยวเยว่มาได้ยังไงก่อน? ถ้านางเบ่งลมปราณระดับนี้ออกมา แค่ตบหน้าฉาดเดียวข้าก็หัวหลุดแล้ว
“บรึ้มมม!”
เป็ดังคาด องค์หญิงโยวเยว่ที่สำแดงร่างมารกระชากพันธนาการบนตัวจนขาด ตอนนี้นางดูคล้ายไม่เหลือสติสัมปชัญญะ องค์หญิงโยวเยว่เปล่งเสียงคำรามก่อนกระโจนคล้ายหมายหลบหนีไปจากที่นี่
“จะไปไหน!” จูหงอีกระโจนขึ้นฟ้าตามไป
“ตูมมมมมมมม~~~~~~~~~~!"
องค์หญิงโยวเยว่ในร่างมารกับจูหงอีปะทะกันหนึ่งฝ่ามือ คลื่นอากาศะเิออกไปสี่ทิศแปดทาง
เหล่ามารอสูรตัวส่ายไปมาด้วยแรงลม ศิษย์พรรคอีกาทองคำที่ถูกมัดไว้กลับแตกตื่นยิ่งกว่า องค์หญิงโยวเยว่ไม่ใช่ดวงธาตุทองคำหรอกรึ? ไฉนถึงได้ทรงพลังปานนี้? แค่สำแดงร่างมารก็ประมือข้าม่ชั้นได้?
“ท่านเ้าตำหนักเป็ทารกแกนิญญา ท่านกลับไม่อาจกำราบทารกร่างมารได้ในฝ่ามือเดียว?” ฝูงมารอสูรอุทาน
“เปรี้ยงงงง!”
บนฟากฟ้า จูหงอีที่ประมือกับองค์หญิงโยวเยว่เริ่มเป็ฝ่ายมีเปรียบทีละน้อย แน่นอนว่าบางทีอาจเป็เพราะตัวองค์หญิงโยวเยว่เริ่มได้สติกลับคืนมาทีละนิด ทำให้พลังร่างมารของนางถดถอยลง
เป็เช่นนี้ จูหงอีจึงใช้ศาสตราวิเศษชิ้นหนึ่งผนึกรัดองค์หญิงโยวเยว่ไว้อีกครั้ง
“โฮก กรร แฮ่…!”
องค์หญิงโยวเยว่ร่วงหล่นสู่พื้น หากยังคงส่งเสียงคำรามไม่หยุด เสียงคำรามนี้กระแทกถึงห้วงลึกของดวงิญญาเหล่ามาร จนมารที่ฝีมือยังไม่ถึงขั้นพากันแข้งขาอ่อน
“ฮึ่ม ในที่สุดก็จับตัวได้ เมื่อใดที่ทารกร่างมารกลายร่างมาร ก็จะเป็มารในหมู่มาร เื่นี้มิใช่เพียงคำร่ำลือจริงๆ นี่ขนาดนางยังไม่ได้กลายเป็มารเต็มตัว ข้าเพียงแค่ใช้ไอมารกระตุ้นกลับยังร้ายกาจปานนี้ ถ้าหากนางได้กลายร่างเป็มารอย่างแท้จริง จะเป็เช่นไรกันนะ?” จูหงอีแปลกใจ
“จับนางขังเอาไว้ก่อน พวกศิษย์ลัทธิมารกลัวจนขยับตัวไม่ได้หมดแล้ว!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยอย่างดูแคลน
เหล่ามารพากันหน้าขึ้นสีก่อนจะโกรธเกรี้ยว หากลมปราณขององค์หญิงโยวเยว่ยังคงสะกดข่มพวกมันจนผวา
“ขังไว้ก่อน? นั่นก็ไม่เลว!” จูหงอีพยักหน้ารับ
“ท่านอาทวด ขังนางไว้ในตำหนักบรรทมราชินีก่อน ท่านใช้พื้นที่ตรงนั้นได้เลย!” จูเยี่ยนพลันะโออกมาจากด้านนอก
จูหงอีมองจูเยี่ยนก่อนพยักหน้ารับ
“เปรี้ยง!”
เพียงขยับโซ่ตรวนในมือ องค์หญิงโยวเยว่ก็ถูกโยนเข้าไปในตำหนักบรรทมราชินีไม่ไกลออกไป โซ่ตรวนโอบรัดพันธนาการนางไว้กับเสาต้นหนึ่งในตำหนัก
“ปง!”
ประตูตำหนักบรรทมราชินีพลันปิดลง แต่สายโซ่ที่ลากยาวทะลุผ่านรอยแยกในประตูเป็เครื่องบ่งบอกทุกคนว่าองค์หญิงโยวเยว่ยังคงถูกมัดเอาไว้ ไม่อาจหลบหนีได้!
เสียงคำรามขององค์หญิงโยวเยว่ยังดังแว่วมาจากในตำหนักบรรทมราชินี แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เสียงนั้นก็ยิ่งมายิ่งเบาลง
เมื่อปราศจากแรงกดดันขององค์หญิงโยวเยว่ เหล่ามารทั้งหลายค่อยเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ขณะเดียวกัน สายตาที่พวกมันใช้มองไปทางตำหนักบรรทมราชินีก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น
กินองค์หญิงโยวเยว่? ดื่มเืนาง ดูดกลืนพลังปฐม หลอมรวมบ่มเพาะพลังฝึกปรือตนเอง? นี่ก็คืองานชุมนุมมารปรโลก?
“เอาเถอะ ข้าจูหงอีเองก็เป็คนของลัทธิมาร ไม่คิดบีบบังคับ หากเ้าไม่ไว้หน้าเ้าตำหนักห้า ไม่อยากเข้าร่วมงานชุมนุมมารปรโลกในคืนนี้ เ้าจะถอนตัวไปก็ได้ ข้าไม่คิดสืบสาวเอาความ!” จูหงอีเอ่ย
ไปไหน? มีแต่คนโง่แล้วที่ไป!
“ข้ายินดีเข้าร่วมงานชุมนุมมารปรโลกขอรับ!” เหล่ามารต่างพากันร่ำร้องอย่างตื่นเต้นยินดี
“พวกเ้า เฝ้าอารักขาตำหนักราชินีไว้ ใครกล้าเข้าใกล้ฆ่าให้หมดไม่มีละเว้น!” จูหงอีสั่งการลูกน้องหลายคน
“ขอรับ!” ลูกน้องทั้งหลายรับคำทันที
ตอนนี้องค์หญิงโยวเยว่ก็คือกุญแจในการบรรลุขั้นทารกแกนิญญาของพวกเรา ใครกล้าแตะต้องเท่ากับรนหาที่ตาย!
ต่อให้มารเหล่านี้ไม่ได้รับคำสั่งโดยตรง มารอสูรทั้งหมดต่างก็คอยช่วยเฝ้าระวังโดยพร้อมเพรียง
“เมื่อตะวันพลบค่ำ งานชุมนุมมารปรโลกก็จะเริ่มขึ้น! ไม่มีรอใครทั้งนั้น!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“ชิงเอ๋อร์ รอข้าด้วย ข้าพาประมุขตระกูลเนี่ย เนี่ยเทียนป้ามาด้วย เ้าดูสิ!” จูหงอีรีบติดตามนางไป
เมืองชิงจิง จวนแม่ทัพใหญ่
หลังจากการประชุมเล็ก หวังเค่อก็มองหน้าศิษย์ตระกูลหวังทั้งหลายอีกครั้ง
“ที่ข้าเรียกพวกเ้าทั้งหมดมาในวันนี้ นอกจากเพื่ออธิบายเื่อนาคตของตระกูลแล้ว ยังมีอีกเื่ต้องรบกวนพวกเ้า!” หวังเค่อกล่าว
“ขอท่านประมุขสั่งการ!” ทุกคนต่างพลันสงสัย
“ประเดี๋ยวลอบเข้าวังหลวงไปช่วยองค์หญิงโยวเยว่กับข้า!” หวังเค่อเอ่ยอย่างจริงจัง
“ท่านประมุข พวกเราจะไปทำอะไรได้?” ทุกคนถามอย่างใคร่รู้
เวลานี้ภายในวังหลวงมีมารอยู่เป็กองทัพ พวกเราไหนเลยจะบุกเข้าไปช่วยองค์หญิงโยวเยว่ได้? นี่ไม่ใช่รนหาที่ตาย? แน่นอนว่าความเชื่อใจที่มีต่อท่านประมุขตลอดหลายปีมานี้ทำให้พวกมันไม่มีหวาดเกรง
“ข้าสามารถระบุตำแหน่งที่องค์หญิงโยวเยว่ถูกขังเอาไว้ได้ พวกเ้าสามารถเร่งมือขุดอุโมงค์ไปถึงด้านล่างองค์หญิงโยวเยว่ ชิงตัวองค์หญิงมาแล้วรีบหนีทันที!” หวังเค่อกล่าว
“ขุดอุโมงค์รึ? ฮ่าฮ่า เื่นี้พวกเราถนัด!”
“ใช่แล้ว ในอดีตตระกูลเราก็เริ่มต้นจากการเป็โจรปล้นสุสานอยู่แล้ว พวกเราถูกสาปส่งเรียกว่าเป็มุสิกดิน แต่พวกเราก็เก่งเหมือนมุสิกดินจริงๆ!”
“ท่านประมุขโปรดวางใจ เื่เล็กน้อยนี้ง่ายดายนัก! ข้าขุดคนเดียวก็ยังไหว!”
ศิษย์ตระกูลหวังพากันยิ้มแย้ม
“ไม่ได้ ขุดคนเดียวเสียเวลาเกินไป ข้าอยากให้พวกเ้าลงมือด้วยกัน พวกเ้าแต่ละคนล้วนแต่เป็มืออาชีพ ข้าอยากให้ขุดเร็ว เร็วอีก และเร็วที่สุด! เวลาเหลือไม่มากแล้ว ก่อนค่ำพวกเราจะต้องขุดไปให้ถึงจุดหมาย!” หวังเค่อว่า
ศิษย์ตระกูลหวังพลันต่างมีสีหน้าจริงจัง “ทราบ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้