บทที่ 66 ผ่านป่าสีเื
เมื่อมองดูบริเวณประตูทิศใต้ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายและฝูงชนที่ยืนตัวสั่นอยู่รอบตัวเขา มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจยาวและกระแทกไม้ลงบนพื้นอย่างแรง ส่งผลให้ควันและฝุ่นปลิวหายไป
ในเวลานี้ ผู้เฒ่าเหยา ผู้เฒ่าเฟิง และผู้เฒ่ากุ่ยต่างก็มีาแบนร่างกายประปราย ลมหายใจวุ่นวายไม่เป็ระเบียบ
แต่พวกเขาก็ยังคงวางท่าจริงจังปิดกั้นประตูทิศใต้เอาไว้ โดยปฏิเสธไม่คิดให้ก้าวข้ามไปแม้แต่ชุ่นเดียวด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม
“เฮ้อ...พวกท่านสามารถปกป้องเขาได้เพียงชั่วครู่ แต่ไม่อาจปกป้องเขาไปได้ตลอดชีวิต แล้วเหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?” มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรับพลังปราณให้สงบลง ไม่มีท่าทีในการคิดจะสู้อีก
“ท่านเ้าเมืองมู่หรง มีบางเื่ที่พวกเราผู้เฒ่าไม่อาจหยุดได้อีกต่อไป เ้าหนุ่มฉู่อวิ๋นถูกกำหนดให้ต้องเดินทางไปในใต้หล้า นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้น” ผู้เฒ่าเหยากระอักเืและรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เมื่อมองดูผู้เฒ่าเหยา มู่หรงเจี๋ยก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เก็บไม้สมบัติกลับไปและยอมประนีประนอม "เฮ้อ! เอาเถอะ! เอาเถอะ! ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าเ้าเมืองก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยว”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราทั้งสามก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากพวกเขาไม่ต้องต่อสู้กันต่อก็คงจะดีที่สุด
“แต่ซินเอ๋อร์ก็ซนเกินไปแล้ว ถึงขั้นตามไปกับฉู่อวิ๋น! บุตรีโตแล้วไม่อาจเฝ้าเรือนจริงๆ!” มู่หรงเจี๋ยะโเสียงดังด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง แล้วพูดกับตัวเองว่า “อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องมีคำอธิบายให้ตระกูลฉู่…”
มู่หรงเจี๋ยคิดอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกมู่ไฉ บอกให้เขาแจ้งปรมาจารย์ขั้นมหาสมุทรที่อ่อนแอสักคนให้ตามหาฉู่อวิ๋นและมู่หรงซิน โดยหวังจะวางท่าต่อหน้าตระกูลฉู่
เมื่อมู่ไฉรับคำสั่งและจากไป มู่หรงเจี๋ยเห็นว่าชายชราทั้งสามมีรอยฟกช้ำ ั์ตาของเขามีร่องรอยความรู้สึกผิด เขายกมือขึ้นประสานแล้วพูดว่า "ทุกท่าน เมื่อกี้ข้ารุนแรงเกินไป ต้องขออภัยด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายชราทั้งสามก็โบกมือให้เห็นว่าไม่สำคัญและไม่คิดติดใจเื่นี้อีก
แต่ผู้เฒ่าเหยาที่มองไปที่ประตูทิศใต้ที่ว่างเปล่า ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย และพึมพำกับตัวเอง “เดิมทีข้าวางแผนที่จะให้ฉู่อวิ๋นได้พบกับเขาคนนั้น ตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น คนหนึ่งหนีออกจากเมือง อีกคนหนึ่งมาสาย ช่างบังเอิญเสียจริง”
ในเวลาเดียวกัน สิบลี้จากนอกประตูทิศใต้ของเมืองไป๋หยาง ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินยังคงวิ่งไปข้างหน้า
“ซินเอ๋อร์ เมื่อกี้เ้า...เ้าบอกว่าเ้ามีเืเนื้อเชื้อไขของข้า?” ฉู่อวิ๋นกลั้นหายใจมาตลอดทาง ตอนนี้เขาเริ่มผ่อนคลายและถามมู่หรงซินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“นั่น...นั่นเป็วิธีที่ดีที่สุดนี่! ไม่ใช่ว่าข้าเรียนรู้มาจากเ้าหรืออย่างไร?! ตอนที่เ้าอยู่จวนเ้าเมือง เ้าก็เสแสร้งแกล้งทำตัวหลอกทหารยามทั้งสองคนนั่นเหมือนกัน!” ใบหน้าของมู่หรงซินเปลี่ยนเป็สีแดง ดวงตาคู่งามของนางหลุบไปมา
ฉู่อวิ๋นอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “เช่นนี้นี่เอง ซินเอ๋อร์เ้าช่วยข้าไว้อีกแล้ว ขอบคุณนะ”
มู่หรงซินยกยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดว่า “ทำความดีไม่้าคำขอบคุณ! ฮิฮิ เ้าก้อนเมฆลามก ตอนนี้เ้าติดหนี้ข้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ คิดจะตอบแทนข้าอย่างไร?”
“ฮะ?” ฉู่อวิ๋นสะดุ้งเล็กน้อย และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า "ถ้าในครั้งนี้ข้าช่วยพี่สาวข้าได้สำเร็จ ไม่ว่าซินเอ๋อร์จะ้าสิ่งใด ข้าจะพยายามทำให้เ้าอย่างเต็มที่”
ทันทีที่พูดจบ ฉู่อวิ๋นก็มองมู่หรงซินด้วยดวงตาอบอุ่น ทำให้ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็สีแดงทันที
หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงซินก็หันดวงตาคู่งามหนีและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “นั่น...นั่น...คุณหนูเช่นข้าดูเหมือนจะเป็คนจุกจิกขนาดนั้นเลยหรือ? อีกอย่าง ถ้าข้าบอกให้เ้าไปตายเ้าก็จะไปตายหรือ? เ้าโง่เอ้ย”
"นี่..." ฉู่อวิ๋นเกาหัวแล้วพูดว่า “ข้าตายไม่ได้หรอก ข้ายังต้องดูแลพี่หญิงกับเสี่ยวถง”
“หะ...เ้าโง่จริงๆ แล้วหรือไร!?” มู่หรงซินแทบจะล้มทั้งยืน นางยิ้มและหยิกแขนของฉู่อวิ๋นเบาๆ
“ก็ได้ ในเมื่อเ้าพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นคุณหนูเช่นข้าก็มีเื่จะขอร้องเ้าแล้ว~” มู่หรงซินกลอกตาและยิ้มอย่างขี้เล่น “ถ้า... ถ้าในภายภาคหน้าข้าเป็เหมือนพี่สาวของเ้า ตกอยู่ในอันตรายปกป้องตัวเองไม่ได้ เ้า... เ้าต้องมาช่วยข้านะ”
หลังจากพูดจบ มู่หรงซินก็แสดงท่าทีเขินอายอย่างไม่เคยเป็มาก่อน ใบหน้างดงามร้อนผ่าว
เมื่อได้ยิน ฉู่อวิ๋นก็ยิ้มและพูดว่า “ถ้าเ้าซินเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย ข้าจะต้องไปช่วยเ้าแน่นอน แม้ว่าจะไม่มีข้อสัญญาที่ว่า ข้าก็จะไป"
หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่อวิ๋น ใบหน้าของมู่หรงซินก็แดงขึ้นอีกครั้ง หัวใจของนางเต้นเร็วเหมือนตีกลองรัว
ตอนนี้ ทั้งคู่มาถึงทางแยกของป่าสนธยาแล้ว ฉู่อวิ๋นถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า "ซินเอ๋อร์ พวกเราก็บอกลากันที่นี่เถอะ ข้าเชื่อว่าท่านเ้าเมืองมู่หรงเป็ห่วงเ้าแล้ว รีบกลับไปบอกท่านว่าเ้าปลอดภัยเถอะ”
“อะไรนะ! ข้าไม่กลับไปหรอก!” จู่ๆ สีหน้าของมู่หรงซินก็เปลี่ยนไป นางจ้องมองฉู่อวิ๋นแล้วพูดว่า “คุณหนูเช่นข้าทั้งวันก็ขลุกตัวอยู่ในเมืองไป๋หยาง ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว คราวนี้ได้มาสูดอากาศนอกเมืองบ้าง คุณหนูเช่นข้าดีใจจะตายชัก ยังไงข้าก็ไม่สน ข้าจะไปกับเ้า”
“แต่... เ้าไปกับข้าจะอันตรายมากนะ คราวนี้ข้าต้องผ่านป่าสนธยาทั้งหมดแล้วไปที่เมืองชุ่ยเสวี่ย ส่วนลึกของป่าสนธยามีสัตว์ปีศาจขั้นมหาสมุทรอยู่เยอะมาก ถ้าไม่ระวังจะถูกกัดตายเข้านะ” ฉู่อวิ๋นโน้มน้าว
ความจริงแล้ว เมืองชุ่ยเสวี่ยตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองไป๋หยาง ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล
ถ้าจะใช้ถนนสายหลักต้องไปทางตะวันออกเลี่ยงเทือกเขาไป่หลิงก่อน ซึ่งจะเสียเวลามาก แต่ถ้าตัดผ่านป่าสนธยาโดยตรง จะประหยัดเวลาเดินทางกว่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่อวิ๋นรู้ดีว่ามู่หรงเจี๋ยจะส่งคนออกไปจับเขาและพาเขากลับไปอย่างแน่นอน ดังนั้นการเลือกเส้นทางป่าสนธยาจึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่อย่างไรเสีย ในป่าสนธยาก็มีสัตว์ปีศาจระดับสูงอยู่เยอะ แม้แต่กับคนที่แข็งแกร่งในขั้นมหาสมุทรก็ยากจะหาใครสักคนมาต่อกร
“ข้าจะไป เราก็แค่ต้องระวังอย่าไปยั่วยุสัตว์ปีศาจ และด้วยความแข็งแกร่งของเรา การฆ่าทั้งคู่ สัตว์ปีศาจบางตัวก็ง่ายดายราวสับแตงกวา!” มู่หรงซินยกมือขึ้นกอดอก
“แต่พวกสัตว์ปีศาจย่างก้าวแปลกประหลาด ข้ากลัวว่าเ้าจะมีอันตราย” ฉู่อวิ๋นกล่าว
“ฮิฮิ เ้าเป็ห่วงข้าหรือ?” มู่หรงซินรู้สึกหวานชื่นในใจเมื่อเห็นดวงตาที่เป็กังวลของฉู่อวิ๋น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็บอกอยู่ว่าคุณหนูเช่นข้าไม่กลัว ไปกันเถอะ!”
ทันใดนั้น มู่หรงซินก็กอดแขนของฉู่อวิ๋นไว้แน่น จากนั้นเดินนำฉู่อวินไปข้างหน้า เข้าไปในป่าสนธยา
“เฮ้อ... ก็ได้” ฉู่อวิ๋นทั้งสับสนและไม่มีทางเลือก นอกจากปล่อยให้มู่หรงซินทำตามที่นาง้า
ทั้งสองเคลื่อนตัวไปข้างหน้าผ่านเขตรอบนอกของป่าสนธยาและจากนั้นก็มาถึงเขตด้านใน นอกจากนี้ พวกเขายังฆ่าสัตว์ปีศาจที่เข้ามาบุกรุกระหว่างทางไปไม่น้อยด้วย
แน่นอนว่า สำหรับพวกเขาทั้งคู่ตอนนี้ แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจระดับเก้าก็สามารถสู้กับมันได้ หรือแม้จะเผชิญกับสัตว์ปีศาจระดับต่ำที่อ่อนแอ พวกเขาสามารถหลบเลี่ยงได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า หยุดอยู่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
หมู่บ้านนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านหงอู้[1] ซึ่งตั้งชื่อตามเมฆสีแดงในบริเวณตอนกลางของป่าสนธยา
นักรบและผู้ที่สัญจรไปมา เกือบทั้งหมดจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงหรือพักผ่อน เพราะอย่างไรเสีย ป่าสนธยาก็ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ นอกจากพื้นที่ด้านนอกและด้านในแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่าป่าสีเือีกด้วย
และพื้นที่ส่วนกลางนี้ไร้จุดสิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจและสัตว์ร้ายมากมาย บนท้องฟ้ายังคงมีหมอกสีแดงเื ดูอันตรายและลึกลับ
แม้แต่นักรบในขั้นมหาสมุทรบางคนก็อาจถูกโจมตีได้แม้ประมาทไปเพียงนิด ต้องรู้ว่าสัตว์ปีศาจในป่าสีเืกลายมาจากสัตว์ป่าดุร้าย ในสมองยังมีแกนสัตว์ร้ายอยู่ แข็งแกร่งทรงพลัง
อาจกล่าวได้ว่าสัตว์ปีศาจนั้นเทียบเท่ากับนักรบขั้นมหาสมุทร
“เรายังต้องไปต่อ ไม่จำเป็ต้องเข้าไปพักในหมู่บ้านหงอู้หรอก” ฉู่อวิ๋นมองไปที่หมู่บ้านเก่าแก่และฝูงชนที่คึกคักขวั่กไขว่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดกับมู่หรงซิน
“อืม ก็ได้ เรารีบไปที่ป่าสีเืก่อนที่มันจะมืดดีกว่า” มู่หรงซินพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้น ทั้งคู่ก็ออกเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าไปทางใต้
ระหว่างทาง ฉู่อวิ๋นไม่พูดอะไรเลยสักคำ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด แลดูหมกมุ่น ทำให้มู่หรงซินแปลกใจ จึงถามว่า "นี่ เ้าก้อนเมฆลามก หน้าตาเ้าย่ำแย่มาก ตอนที่อยู่ประตูทางทิศใต้เ้าาเ็หรือ?”
“ไม่” ฉู่อวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย และพูดว่า "ข้างหน้าคือป่าสีเื และเป็ที่ที่มีกระแสสัตว์ปีศาจเมื่อสองสามเดือนก่อน ที่ที่ญาติของข้าล่วงลับไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของมู่หรงซินก็ตกตะลึง ที่แท้ฉู่อวิ๋นกำลังคิดถึงญาติของเขาที่เสียชีวิตไปอย่างไม่เป็ธรรม
“เอาล่ะ คราวนี้ตอนที่เข้าไปในป่าสีเื เราอาจจะเจอกับพวกสัตว์ปีศาจไร้น้ำยาพวกนั้นอีก ถึงตอนนั้นข้าจะช่วยเ้าทรมานพวกมัน อย่าเสียใจไปเลย ดีหรือไม่?” มู่หรงซินพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉู่อวิ๋นที่ได้ยินมู่หรงซินพยายามพูดปลอบใจเขาก็แสดงรอยยิ้มอ่อนโยนและพูดว่า "อย่าโง่นักเลย สัตว์ปีศาจระดับต่ำพวกนั้นเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งของขั้นมหาสมุทร ต่อให้เราทั้งคูจะรวมพลังกันก็คงทำได้แค่หนีพ้นเท่านั้น”
ในตอนนั้น แม้แต่ผู้นำตระกูลย่อยที่มีพลังในขั้นมหาสมุทรก็เกือบจะถูกฆ่าตายเมื่อเจอกับสัตว์ปีศาจพวกนั้น ฉู่อวิ๋นจะไม่มีวันมองข้ามมันเด็ดขาด
แม้ว่าสัตว์ปีศาจจะไม่มีพลังปราณ แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกมันก็เหนือกว่ามนุษย์มาก
“ชิชิ ข้าไม่หนีหรอก! เ้ามันคนขี้ขลาด!” มู่หรงซินกลอกตาไปที่ฉู่อวิ๋น จากนั้นก็กระชับมือของเขาแน่นอีกครั้ง เร่งฝีเท้าก้าวย่ำลงไปบนพื้น
“ซินเอ๋อร์คนนี้ ใจร้ายเสียจริง…” ฉู่อวิ๋นยิ้ม ความคิดเศร้าๆ ในใจเขาก็ถูกพัดหายไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางเข้าป่าสีเื ขอเพียงผ่านสถานที่นี้ไปได้ พวกเขาก็จะเข้าสู่ป่าสีเืในทันที
“เอ๊ะ? ทำไมที่ทางเข้าถึงมีคนเยอะนัก?” มู่หรงซินที่อยู่ข้างหน้าเป็คนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติที่ทางเข้า สีหน้าแสดงความสับสน
ฉู่อวิ๋นเพ่งมองใกล้ๆ และเห็นกลุ่มคนจำนวนมากวุ่นวายโกลาหลอยู่ตรงหน้า ล้อมรอบทางเข้าไว้ราวกับกำลังดูความสนุกสนาน
“ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉู่อวิ๋นพูดกับมู่หรงซิน จากนั้นก็เดินไปด้านหน้า เบียดเสียดฝูงชน และมองไปที่ช่องทางแคบๆ
แต่เมื่อฉู่อวิ๋นเห็นภาพตรงทางเข้า เขาก็อุทานออกมาทันที “นี่... นี่คืออะไร?!”
ในพื้นที่เปิดโล่งตรงหน้า มีสัตว์ัขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ลำตัวยาวสามสิบหมี่ นอนขวางทางไว้อย่างเต็มที่ ลำตัวของมันเต็มไปด้วยรูแทงทะลุ ราวกับว่ามันถูกฉีกออกเป็ชิ้นๆ ทั้งเป็ มีเืและกลิ่นเหม็นโชยคลุ้ง ทั้งน่ากลัวทั้งน่าใ
นี่คือสัตว์ปีศาจ แต่มันตายไปแล้ว
----------
[1] หงอู้ แปลว่า หมอกสีแดง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้