เหลียนเซวียนค่อยๆ เดินมาข้างเตาหิน
เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองเขา ไม่รู้ทำไมถึงหวั่นใจชอบกล
"แหะๆ เหลียนเซวียน หม้อใบใหญ่ทำเสร็จแล้วสินะ โอ้โห... ไม่เลวเลย เข้าท่าๆ ฝีมือเยี่ยมยอด"
ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องอิ่มท้องก่อนค่อยว่ากัน เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปที่หม้อกลมใบใหญ่พลางยิ้มจนตาหยี
เขานั่งหน้าเตาอย่างช้าๆ
"แหะๆ เหลียนเซวียน ท่านลองเดาดูว่าวันนี้ข้าไปเจออะไรที่ข้างลำธาร" เธอหยักมุมปากทอยิ้มให้เขา
เหลียนเซวียนยังคงมองเธอด้วยสีหน้าบึ้งตึงไร้การตอบสนอง
รอยยิ้มบนมุมปากของเซวียเสี่ยวหรั่นเจื่อนลงไป
ฮึ คนอะไรไม่น่ารักเอาเสียเลย ตอบสนองกลับมาสักนิดก็ไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะเธอหน้าหนาพอ ก็ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรเหมือนกัน
แค่ออกไปนานหน่อยเท่านั้นเอง แต่เธอก็มีเหตุผลอยู่นะ
"บอกให้ก็ได้ ข้าไปเจอหมูป่าตัวเบ้อเร่อข้างลำธาร เขี้ยวของมันยาวกว่านิ้วมือของข้าอีก ท่าทางฉุนเฉียวเอาการ แค่เห็นข้าก็ปราดเข้าใส่โดยไม่รั้งรอ ดุร้ายมาก"
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะพลางวาดมือวาดไม้เทียบขนาดกับหมูป่า จึงไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของเหลียนเซวียนดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม
หมูป่า? เหลียนเซวียนฟังเสียงหัวเราะคิกคักของนาง ก็เย็นวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก
นางไม่รู้หรือว่าหมูป่ามีเรี่ยวแรงมากแค่ไหน มันสามารถสังหารคนธรรมดาได้เลย แม้แต่นายพรานที่กล้าแกร่งประสบการณ์โชกโชนยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับหมูป่าโดยตรง
"ข้าตอบสนองไว หันหลังปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่ หมูป่าขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ข้างล่าง ข้าขำแทบตาย ฮ่าๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงสภาพอันน่าอนาถของหมูป่าในตอนท้าย ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดียิ่ง
เหลียนเซวียนหน้าผากเต้นตุบๆ แม่นางผู้นี้ชะล่าใจเกินไปแล้ว
"ต่อมาข้าใช้พ่นสเปรย์พริกใส่มัน เ้าหมูป่าอ้วนล่ำราวกับโคถึกตัวนั้นร้องลั่นเลย ทั่วทั้งป่ามีแต่เสียงของมัน" เซวียเสี่ยวหรั่นเล่าต่อ "แต่น่าเสียดาย ตอนมันชนก้อนหิน ชนเบาไปหน่อย ผลสุดท้ายก็กลิ้งลงไปในลำธาร แล้วก็วิ่งหนีไปเลย เฮ้อ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้กินเนื้อหมูป่ากันแล้ว"
เวลาแบบนี้ยังนึกถึงเนื้อหมูป่า เหลียนเซวียนรู้สึกจนปัญญา เคราะห์ดีที่นางมีไหวพริบเพียงพอที่จะเอาตัวรอด มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงยากคาดคะเน
เขาคลำหาก้อนหิน แล้วเขียนอักษรสองสามตัว
"ข้ารู้ว่าอันตราย แต่เื่ก็เกิดไปแล้ว จะทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อวานข้าไปตัดเถาเฮ่อ หมูป่าได้กลิ่นก็เลยมาตามหา" เซวียเสี่ยวหรั่นแค่นเสียงหึ "พวกมันขุดเฝิ่นเฮ่อหัวใหญ่ๆ กินไปจนหมด ไม่ใช่แค่หัวเดียวด้วย"
เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาไปมา หากจับหมูป่าฝูงนั้นมาลงหม้อได้ ก็คงไม่ต้องกังวลเื่อาหารไปตลอดหน้าหนาว
แม้เหลียนเซวียนไม่เห็นดวงตาหลุกหลิกของนาง แต่ฟังจากน้ำเสียงก็จับความคิดของนางได้
เพื่อเื่กิน เกรงว่านางคงเพ้อฝันถึงหมูป่าฝูงนั้นอยู่แน่ๆ
เหลียนเซวียนรู้สึกปวดหัว เขียนต่อไป
"ให้หยุดไปตัดเถาเฮ่อชั่วคราวงั้นหรือ เื่นี้... ก็ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นปรายตาไปที่ใบหน้านิ่งขรึม เอาเถอะ นางเองก็รู้ ว่าการเผชิญหน้ากับหมูป่าอันตรายมาก "รอข้าถักด้ายพวกนี้ให้หมดก่อนค่อยว่ากัน"
เหลียนเซวียนถึงผงกศีรษะ
เซวียเสี่ยวหรั่นลอบแลบลิ้นใส่เขา
อาหารมื้อเที่ยงทำเสร็จแล้ว ฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม ่ค่ำหน่อยฝนน่าจะตก
เซวียเสี่ยวหรั่นแทะกระดูกเคี้ยวตุ้ยๆ "หลังฝนเป็เวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเห็ด ต้องขุดกลับมาเยอะหน่อย กินเนื้อเยอะจนเลี่ยนจะแย่แล้ว"
โดยเฉพาะเนื้อที่ไม่หมักเกลือยิ่งเลี่ยนหนัก
ปากก็ว่าเนื้อเลี่ยน แต่ยังคิดล่าหมูป่า เหลียนเซวียนซดน้ำแกงไปเงียบๆ
กินข้าวเสร็จ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมเผาหม้อดิน
หม้อใบใหญ่อบความร้อนข้างเตามาพักหนึ่งจนเริ่มมีความแข็งอยู่บ้าง เซวียเสี่ยวหรั่นย้ายหม้อออกไปไกลหน่อยอย่างระมัดระวัง
หม้อใบใหญ่ขนาดนี้ ต้องใช้ฟืนเยอะ
เธอเอาฟืนจุดไฟมาล้อมไว้สองสามวงใหญ่ๆ สว่างโชติ่ไปทั่วทั้งถ้ำ
"เจี๊ยกๆ" แสงสะท้อนจากกองไฟทำให้อาเหลยใ
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบวิ่งไปหามัน พลางลูบขนของมันเป็การปลอบประโลม "อาเหลย อย่ากลัว ไฟไม่ขยับไปไหน เ้าดูสิ ไฟยังลุกไหม้อยู่ที่เดิม ไม่ลามมาทางนี้หรอก"
ปลอบประโลมอยู่ครู่หนึ่ง อาเหลยก็สงบลง หลังกินอิ่มมันก็สดชื่นขึ้นมาก มันใช้สองเท้าหน้ากอดแขนของเซวียเสี่ยวหรั่น ดวงตาสุกใสกลอกไปมา
"ฮึ รอขาเ้าหายดี คงเป็ลิงอยู่ไม่สุขเป็แน่"
ท่าทางซุกซนของมันทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นอดขบขันไม่ได้
ก็เหมือนกับเ้ามิใช่หรือ เป็พวกอยู่นิ่งไม่ได้ เหลียนเซวียนพูดต่อในใจอีกประโยค
เซวียเสี่ยวหรั่นอยู่เฉยไม่ได้จริงๆ แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่หลังพักผ่อนครู่หนึ่ง ก็หยิบเข็มเริ่มถักถุงเท้า
คุณย่าของเธอมักถักถุงเท้าให้คนในครอบครัวเป็ประจำทุกปี เซวียเสี่ยวหรั่นจึงคุ้นเคยกับมันเป็อย่างดี เธอคุยไปถักไป
"หม้อใหญ่ขนาดนั้น ข้าคงไม่มีแรงแบกไปที่แม่น้ำ อย่างไรเสียก็ใช้ต้มเถาเฮ่อ ใช้น้ำเขย่าๆ หน่อยก็พอ"
"แต่คงต้องหิ้วน้ำกลับมาไม่น้อยเลย เฮ่อ ต้องเดินกี่รอบกันละเนี่ย"
"อาเหลย เดี๋ยวข้าจะไปขุดต้นคาวมัจฉามาให้อีก เห็นเ้ากินแล้วดูเหมือนว่าค่อนข้างจะได้ผล เหลียนเซวียน ท่านอย่ารังเกียจกลิ่นของมันเลย กินให้เยอะหน่อยเถอะ"
"เท้าของท่านค่อนข้างใหญ่ ถักถุงเท้าต้องเปลืองเส้นไหมมากหน่อย"
"ต้มเถาเฮ่อกองนี้เสร็จเมื่อไร ก็น่าจะถักเสื้อผ้าได้สองชุด แน่นอนว่าถักเป็อาภรณ์ตัวยาวอย่างของท่านไม่พออยู่แล้ว ดังนั้นคงได้แต่เสื้อตัวสั้นล่ะนะ"
ได้ยินนางค่อนแคะว่าเท้าของเขาใหญ่ เสื้อผ้าก็ยาวเกินไป เหลียนเซวียนก็รู้สึกประหลาดใจมาก
แต่ไรมาไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน เสื้อผ้ารองถุงเท้ารองเท้าของเขาล้วนมีหญิงปักผ้าดูแลโดยเฉพาะ เื่ยิบย่อยพรรค์นี้ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงต่อหน้าเขา
ว่าแต่ถุงเท้าใช้ถักเอาหรือ เสื้อผ้าก็ถักเหมือนกัน? เหลียนเซวียนรู้สึกงุนงง ถุงเท้าถักอย่างไร เสื้อผ้าอีกเล่า ถักอย่างไร?
เหตุไฉนแม้แต่งานฝีมือ แม่นางผู้นี้ก็ยังไม่เหมือนผู้อื่น
"รอถักเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็จะต้มน้ำอาบสักสองหม้อ มารดามันเถอะ หากไม่ได้อาบน้ำอีกละก็ ตัวก็คงขัดออกมาเป็ขี้โคลนแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นอุบ
เหลียนเซวียนรู้สึกปวดรากฟันตงิดๆ แม่นาง เป็สตรีมิบังควรเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาขนาดนี้
หลังจากไฟที่เผาหม้อใบใหญ่มอดดับแล้ว ถุงเท้าของเซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังถักไม่เสร็จ แต่ก็ต้องรอเวลาให้เย็นอีกครู่หนึ่ง
จนกระทั่งหม้อเย็นแล้ว ถุงเท้ายาวคู่หนึ่งก็ถักเสร็จพอดี
"ฮ่าๆ ฝีมือข้าไม่ตกเลยแม้แต่น้อย ถักได้ไม่เลว เหลียนเซวียนท่านลองดูสิ"
เซวียเสี่ยวหรั่นส่งให้เขาด้วยความตื่นเต้น ถุงเท้าคู่นี้นอกจากเนื้อััที่อาจแข็งไปบ้าง ก็ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต
เหลียนเซวียนลังเล
"โอ ไม่ถูกสิ ต้องล้างเท้าก่อน มิเช่นนั้นสวมถุงเท้าขาวเข้าไปต้องกลายเป็ถุงเท้าดำแน่ๆ "
เซวียเสี่ยวหรั่นปรบมือ นึกถึง่เวลาที่สำคัญมาก
เหลียนเซวียนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหู ไม่รู้ว่าบันดาลโทสะหรือว่าขัดเขิน
ด้านที่น่าสมเพชที่สุดในชีวิตของตนเองคงปรากฏต่อหน้าสตรีผู้นี้หมดแล้ว
"เดี๋ยวต้มน้ำก่อน ท่านล้างเท้าเสร็จค่อยสวม อย่างไรเสียถุงเท้าสะอาดก็สวมได้หลายวันหน่อย"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนเขา เพราะตัวเธอเองก็เหม็นเหมือนปลาเน่า ทั้งเขาและเธอต่างเป็ครึ่งชั่งกับแปดตำลึง [1] หัวเราะเยาะเขาก็เท่ากับหัวเราะตัวเอง
...
[1] หมายถึงพอๆ กัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้