“ข้าไม่เป็ไร” ซูิเยว่ส่ายหน้าแล้วส่งสายตาปลอบใจให้นาง “ข้าจะไปขอบคุณองค์ชายสามสักหน่อย”
ถึงนางจะไม่ได้เป็อะไร แต่อย่างไรจี๋โม่หานก็มาที่นี่เพื่อนาง กลายเป็ว่าตอนนี้ทำให้เขาเสียเวลามาเปล่าๆ แล้ว
ซูิเยว่เดินไปที่รถม้าคันนั้น นางยืนอยู่ตรงหน้ารถม้าแล้วพูดผ่านผ้าม่านที่กั้นเอาไว้ “ขอบพระทัยองค์ชายสามมากเพคะ วันนี้รบกวนองค์ชายสามมาที่นี่แล้ว”
“ไม่เป็ไร” เสียงเ็าของจี๋โม่หานดังออกมาจากในรถม้า “ในเมื่อคุณหนูซูไม่ได้เป็อะไรมากก็ขึ้นมานั่งเถิด เปิ่นหวังจะส่งเ้ากลับจวน”
ซูิเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางมองไปยังรถม้าด้านหลัง จากนั้นก็เปิดผ้าม่านขึ้นรถม้าไป
จี๋โม่หานกำลังนั่งขัดสมาธิในรถม้า บนโต๊ะเล็กด้านหน้าวางแก้วน้ำชาอยู่
ซูิเยว่เดินไปนั่งด้านข้าง สายตามองใบหน้าจี๋โม่หาน สีหน้าของเขานิ่งเรียบและมองอะไรไม่ออก
“คุณหนูซู ดื่มชา” จี๋โม่หานพูดพร้อมกับหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินให้ซูิเยว่
“ขอบพระทัยเพคะ” ซูิเยว่เองก็ไม่ได้เกรงใจ นางยกขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด อย่างไรก็เพิ่งจะเดินมานานขนาดนี้
หลังจากดื่มหมดก็วางแก้วชาลง นางครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา “วันนี้ขอประทานอภัยจริงๆ เพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบว่าจะเสียเวลาในวังนานขนาดนี้ ทำให้องค์ชายสามต้องมาที่นี่เสียเวลาเปล่าแล้ว ประเด็นคือหม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดเื่อะไรขึ้นในวังบ้าง ดังนั้นจึงกำชับสาวใช้ของหม่อมฉันเอาไว้ ก็เลยกลายเป็เื่เข้าใจผิดเช่นนี้”
จี๋โม่หานฟังจบแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง รถม้าเริ่มมุ่งหน้าไปที่จวนสกุลซู แต่ว่ารถม้านิ่งมาก แก้วชาที่วางบนโต๊ะไม่มีน้ำกระเซ็นออกมาเลย
ซูิเยว่ตั้งสมาธิ ตาก็มองจี๋โม่หานอยู่เรื่อยๆ ในตอนที่นางคิดว่าจี๋โม่หานจะไม่พูดอะไรอีก แต่เขาก็พลันพูดออกมาก่อน ครั้งนี้กลับเป็คำถาม “เหตุใดเ้าถึงมาให้ข้าช่วยหรือ?”
ซูิเยว่ที่ถูกจี๋โม่หานถามขึ้นกะทันหันก็ตะลึงไป นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบตามความจริง “อาจเป็เพราะว่าองค์ชายสามเป็คนเดียวที่หม่อมฉันเชื่อได้ในตอนนี้เพคะ แล้วก็เป็คนเดียวที่อาจจะช่วยหม่อมฉันได้”
ซูิเยว่พูดไปก็หัวเราะออกมาเบาๆ นางกับจี๋โม่หานในอดีตคือคนที่คอยร่วมมือกับนาง ในตอนนี้ระหว่างทั้งสองคนก็เป็ความสัมพันธ์แบบเอื้อประโยชน์ต่อกันอีก พอพูดประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
ใครจะไปรู้ว่าพอจี๋โม่หานฟังจบแล้วจะยกยิ้ม “ข้าคือคนเดียวที่เ้าเชื่อได้อย่างนั้นหรือ?”
ซูิเยว่มองเขาแล้วพยักหน้า “เพคะ คิดว่าใช่อย่างนั้น”
ประโยคนี้ของนางทำให้จี๋โม่หานอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “เช่นนั้นก็ถือว่าเป็เกียรติของเปิ่นหวังจริงๆ แต่ว่า หากวันนี้เปิ่นหวังไม่มาช่วยเ้าล่ะ?”
“เช่นนั้นก็ถือว่าหม่อมฉันกำลังพนันอยู่เพคะ” ที่จริงแล้วซูิเยว่เองก็ไม่แน่ใจว่าหากวันนี้เกิดเื่กับนางขึ้นจริงๆ จี๋โม่หานจะมาช่วยนางหรือไม่ ประเด็นคือนางกำลังพนันว่าจี๋โม่หานจะเห็นแก่ที่นางช่วยรักษาดวงตาให้เขาแล้วมาช่วยนางหรือไม่ “แต่ว่า หม่อมฉันก็ชนะพนันแล้ว”
ซูิเยว่รู้สึกอารมณ์ดีตามอีกฝ่าย นางยกยิ้มแล้วรินน้ำชาให้ตัวเองอีก
จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเบา “ใช่ เ้าชนะพนัน”
“เช่นนั้นองค์ชายล่ะ” ซูิเยว่ถามกลับ “องค์ชายช่วยหม่อมฉันเพราะกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับหม่อมฉันแล้วจะไม่มีคนรักษาดวงตาให้หรือเพคะ?”
“ไม่ใช่” จี๋โม่หานตอบกลับมาสบายๆ คำตอบของเขาทำให้ซูิเยว่ใไป
“เพราะอะไรเพคะ?”
ซูิเยว่รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองมีค่ากับจี๋โม่หานแค่อย่างเดียวก็คือนางรู้วิชาแพทย์
จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเบา เขายกแก้วชาขึ้นมาจิบแล้ววางลงก่อนจะใช้น้ำเสียงไม่ใส่ใจตอบกลับไป “เปิ่นหวังจะทำลายความเชื่อใจของคุณหนูซูที่มีต่อข้าได้อย่างไร”
ซูิเยว่เลิกคิ้วมองจี๋โม่หาน คำพูดของเขานั้นมีกี่ส่วนที่เป็ความจริงกี่ส่วนที่เป็ความเท็จ นางเองก็ไม่อยากเสียเวลาไปสืบเสาะหา
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนข้างกายเพียงคนเดียวที่สามารถเชื่อถือและพึ่งพาได้จะเป็คนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยในชาติก่อน
ภายในรถม้าตกเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง มีแต่เสียงของล้อรถม้าเหยียบลงบนแผ่นหินเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จี๋โม่หานก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา “ซูิเยว่” น้ำเสียงของเขาไม่ดังมากแต่แฝงไปด้วยความเคร่งขรึมอย่างน่าประหลาด
ที่เขาเรียกตอนนี้ก็คือซูิเยว่ ไม่ใช่คุณหนูซู แล้วก็ไม่ใช่คำเรียกอื่น นี่เป็ครั้งแรกที่จี๋โม่หานเรียกชื่อนางแบบนี้
ใบหน้าของซูิเยว่มีประกายใ แววตามองจี๋โม่หานอย่างตะลึง “หา?”
จี๋โม่หานยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ แล้วถามเสียงเนิบ “เปิ่นหวังจะเป็คนที่เ้าเชื่อใจที่สุดตลอดไปหรือไม่?”
คำไม่กี่คำลอยมาเหมือนกับกระแทกหูของซูิเยว่ทีละคำ ทำเอานางใอย่างยิ่ง แม้แต่หัวใจที่หน้าอกเองก็สั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ นางวางแก้วที่สั่นอย่างแรงลง จากนั้นก็กำมือแน่น
นางไม่ได้ตอบ จี๋โม่หานเองก็ไม่ได้ถามอีก
ซูิเยว่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัว เป็ความรู้สึกประหลาดที่บรรยายไม่ถูก ว้าวุ่นอยู่ในอก
ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ อารมณ์ของนางถึงได้สงบลง
“ไม่รู้เพคะ” ซูิเยว่มองจี๋โม่หานแล้วตอบกลับไป “แต่หม่อมฉันหวังว่าจะใช่เพคะ”
วินาทีนั้นซูิเยว่มองเห็นชัดว่าสีหน้าของจี๋โม่หานแข็งค้างไปครู่หนึ่ง มือที่วางอยู่ที่เข่าก็สั่นอย่างไม่เป็ธรรมชาติ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาปกติ
จี๋โม่หานไม่ได้พูด เพียงแต่หันหน้ามาทางที่ซูิเยว่อยู่ ถึงแม้จะหลับตา แต่ก็เหมือนกำลังมองนางอยู่
ซูิเยว่ดึงสายตากลับมา นางผ่อนคลายร่างกายแล้วพิงตัวกับกำแพงรถพลางถอนหายใจเบาๆ “ท่านรู้สึกตลกใช่หรือไม่เพคะ?”
“หืม?” จี๋โม่หานเลิกคิ้ว “เหตุใดถึงคิดว่าตลก?”
“ข้าที่เป็บุตรสาวของจวนสกุลซู ข้างกายไม่มีแม้แต่คนที่เชื่อใจได้ คนเดียวที่เชื่อใจได้ก็ยังเป็คนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้ามาก่อน”
ซูิเยว่พูดแล้วหันหน้าไปพิงกำแพง สายตากำลังมองไปทางจี๋โม่หาน
“ไม่หรอก” จี๋โม่หานพูดออกมาตามความจริง “เปิ่นหวังเองก็เช่นกัน ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไหร่ คนข้างกายก็ยิ่งอยู่เพื่อใช้ประโยชน์เยอะขึ้นเท่านั้น เ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าคนข้างกายเ้าที่ดูบริสุทธิ์ แท้จริงแล้วในใจซ่อนความคิดอะไรเอาไว้บ้าง”
ซูิเยว่เพิ่งเคยได้ยินจี๋โม่หานพูดเช่นนี้ออกมาครั้งแรก สายตาของนางเลื่อนลงแล้วหยุดที่ขาของจี๋โม่หาน จริงด้วย นางลืมไปเลย
จี๋โม่หานก็เป็คนของราชวงศ์ นางก็รู้อยู่แล้วว่าราชวงศ์เป็ที่แบบไหน ที่ที่กลืนกินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ไม่เช่นนั้นจี๋โม่หานก็คงไม่ปกปิดเื่ที่ขาของเขาหายดีแล้วหรอก
สายตาของซูิเยว่เลื่อนไปที่ใบหน้าของจี๋โม่หาน นางจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามคำถามที่อยากรู้คำตอบที่สุด “แล้วหม่อมฉันล่ะเพคะ?”
จี๋โม่หานไม่ได้ตอบกลับมาภายในทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะตอบ “เ้ารู้”
ประโยคนี้เขาพูดไม่ชัดเจน ซูิเยว่เลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของจี๋โม่หานเท่าไร
จี๋โม่หานก็เสริมอีกประโยค “อย่างน้อย สำหรับเปิ่นหวังแล้ว เ้าไม่เหมือนกับคนอื่น เป็คนที่มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
ในตอนนี้ซูิเยว่ก็ตะลึงค้างไปเสียแล้ว