“ถ้าเด็กชายตาบอดคนนั้นเป็น้องชายต่างพ่อของหนูจริง หนูก็อยากให้ปะป๊าเอาตาหนูไปให้เขา ถ้าเกิดหนูตายด้วยโรคร้ายนะ ลูกไม่มีสิทธิ์เลือกพ่อแม่ แต่น้องอายุแค่สามขวบ ในฐานะพี่สาว หนูอยากทำให้เขามองเห็นโลกอีกครั้ง ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าหนูตายไป หนูอยากให้ดวงตาของหนูได้อยู่คอยมองโลกต่อในร่างของน้องชาย หนูจะได้มองปะป๊าได้ทุกวันเลย…”
เฉินเชียน เด็กน้อยวัยเพียงห้าขวบร้องไห้จนหมดสติบนบ่าของเฉินเฟิง สองวันมานี้เธอถูกข่มขู่ทุบตีจนไม่มีเรี่ยวแรง ชีวิตที่เหมือนจะดีขึ้นเมื่อวาน วันนี้กลับมืดมนลงอีกครั้ง
ก่อนที่เธอจะหมดสติ เฉินเชียนยังพยายามเอาลูกอมเม็ดสุดท้ายที่เธอเก็บไว้อย่างหวงแหนให้เฉินเฟิง ริมฝีปากของเธอเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
ด้วยความรู้ทางการแพทย์ของเฉินเฟิง เขารูได้ทันทีว่าชีวิตของลูกสาวที่เดิมทีเหลืออยู่สี่วัน บัดนี้กลับหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว คงไม่ถึงเที่ยงคืนวันนี้แน่
บางทีสาเหตุหนึ่งอาจมาจากเฉินเชียนเองที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะโลกของผู้ใหญ่นั้นช่างซับซ้อน
เหตุการณ์ที่เธอถูกข่มขู่และถูกทำร้ายในสองวันที่ผ่านมา มันฝากรอยแผลลึกไว้ในจิตใจอันบอบบางของเธอ!
อต่สิ่งที่คำคัญที่สุดที่เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ คือเธอไม่้าให้ร่างกายป่วยไข้นี้เป็ภาระของผู้เป็พ่อ!
“เชียนเชียน… ลูกสาวสุดที่รักของปะป๊า… ไม่… ลูกอย่าสิ้นหวังกับโลกใบนี้… ลูกไม่ควรคิดสั้นแบบนี้! เมื่อวานนี้ปะป๊าบอกลูกแล้วไง โรคมะเร็งเม็ดเืขาวของลูกจะหายขาดเร็วๆ นี้ ลูกไม่เชื่อปะป๊าเหรอ?!”
เฉินเฟิงคุกเข่าลงบนพื้น วางลูกสาวที่ร้องไห้จนหมดสติลงในโลงหินหยกอย่างเบามือ น้ำตาสีเืไหลรินจากดวงตาหยดกระทบใบหน้าของเฉินเชียน ผสมกับน้ำตาบนใบหน้าของเธอ
ด้วยการปรากฏตัวของเฉินเฟิง จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนรู้สึกผ่อนคลายลง โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกเธอมองดูเขาด้วยความกังวล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาสีเื
ต้องโศกเศร้าเสียใจแค่ไหน ต้องสิ้นหวังถึงเพียงใด จึงร่ำไห้เป็โลหิตได้เช่นนี้?
เฉินเฟิงคือเทพแห่งสนามรบ เขาเคยผ่านสมรภูมินับไม่ถ้วน ต่อสู้กับศัตรู มีแต่เื ไม่มีน้ำตา
น้ำตาสักหยดก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงน้ำตาสีเื!
พวกเธอทั้งสองรู้สึกถึงสภาพจิตใจของศิษย์น้องรองเ้าหุบเขาได้อย่างแจ่มแจ้ง
เขาสิ้นหวังและโศกเศร้า บางทีอาจถึงขั้นเกิดความคิดอยากตายตามลูกสาวไป
“ศิษย์น้อง เฉินเชียนยังไม่ตาย เธอมีชีวิตอยู่จนถึงเที่ยงคืนของวันนี้ สิ่งที่นายต้องทำคือชิงเฉินเชียนกลับมาจากาายมโลกด้วยทักษะทางการแพทย์ท้าทาย์” จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนเข้าปลอบเฉินเฟิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แต่เหมือนเฉินเฟิงจะไม่ได้ยินคำปลอบโยนใดๆ จากพวกเธอเลย เขายังคงมองดูลูกสาวของเขาเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะปิดฝาโลงหินหยกอย่างช้าๆ
จากนั้น สภาพเฉินเฟิงก็ดูคลับคล้ายกับคนไร้ิญญา เขากอดโลงหยกไว้แน่นและคุกเข่านิ่งอยู่กับพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เย่เซียวและจู้เจินฉิง คู่สองสารเลวนั่นก็คว้าดาบเก้าห่วงสองเล่มจากพื้นขึ้นพาดไว้บนคอของเฉินเฟิงและหลี่ฉินหลวน
“ฮ่าๆ… เมื่อกี้ยังพูดจาโอหัง หยิ่งผยองบอกจะฆ่าฉันให้ตายไม่ใช่หรือไง? ฉันยังอยู่ดี ไอ้หมาจรจัดไร้ค่าที่ถูกตระกูลเฉินขับไล่ กำลังคุกเข่าขอขมาฉันอยู่หรือไง? ช่างเถอะ ฉันเป็คนใจกว้าง แค่แกเรียกฉันว่าท่านปู่ ส่งสองศิษย์พี่ของแกมาเป็เพื่อนร่วมเตียงฉันคืนนี้ ฉันจะปล่อยแกไป!”
เมื่อเย่เซียวเห็นว่าดาบเก้าห่วงในมือพาดบนคอเฉินเฟิงได้อย่างง่ายดาย เขาก็ส่งเสียงหัวเราะเยี่ยงคนเสียสติ
ทางด้านเย่ชิงโหรวที่ตกอยู่ในอาการใั้แ่เห็นเฉินเฟิงเข้าร่วมงาน และเห็นท่าทีผิดแปลกไปของจ้าวเสี่ยวเยว่กับหลี่ฉินหลวน ในที่สุดเธอก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้
“เย่เซียว! รักษามารยาทด้วย เฉินเฟิงเพิ่งไว้ชีวิตคุณ ไม่งั้นตอนนี้หว่างคิ้วคงเป็รูไปแล้ว รู้สำนึกไว้ซะบ้าง! เดิมทีต้นเหตุของเื่ทั้งหมดก็มาจากที่คุณบังคับให้หนูน้อยเฉินเชียนกินลูกอมทั้งเปลือก และยังทุบตีเธออย่างรุนแรง ฉัน เย่ชิงโหรว ในฐานะผู้นำตระกูลเย่ขอสั่งให้คุณวางดาบลงเดี๋ยวนี้ กลับไปสำนึกตนที่บ้าน! หากข้องใจตำแหน่งผู้นำตระกูลของฉัน รอให้คุณแย่งชิงได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อเห็นเฉินเชียนลูกที่เธอรักเสมือนลูกในไส้ร้องไห้จนหลับไป และเฉินเฟิง ชายที่เธอแอบเก็บไว้ในหัวใจก็ร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าจนน้ำตาไหลเป็โลหิต ใจจริงเย่ชิงโหรวเกือบจะร้องไห้ด้วยอีกคน แต่เธอคือผู้นำตระกูล เธอต้องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงต้องรักษาท่าทางสงบนิ่งเอาไว้
เมื่อเย่เซียวได้ยินคำสั่ง เขากลับเผยแววตาคั่งเื แล้วสบตาเย่ชิงโหรวพลางกัดฟันส่งยิ้มเฉยเมย
"ถ้าเธอไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันละอยากลิ้มลองจริงๆ ว่านางเอกรางวัลออสการ์ที่ไม่สามารถร่วมรักและมีบุตรคนนี้ บนเตียงจะรสชาติเป็ยังไง? เป็แค่ผู้หญิง ได้ครองตำแหน่งผู้นำแค่สามวัน คิดว่าจะสั่งฉันได้เชียวหรือ?
ไม่ว่าจะพูดถึงกฎหรือขนบธรรมเนียม ไม่ว่าในแง่ไหน ฉัน เย่เซียว เหลนชายคนโตของตระกูลเย่ คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูล พ่อ ลุงสาม พวกคุณจะฟังคำสั่งของผู้หญิงคนนี้ที่อายุอ่อนกว่าคุณจริงเหรอ? ข้างนอกมีทั้งตำรวจตรวจการของเราเต็มไปหมด และยังมีหน่วยรักษาความสงบของเราอีกเพียบ แต่ลุงใหญ่กลับพาตำรวจทหารไม่กี่นายกับหน่วยรักษาความสงบอีกจำนวนหยิบมือมาเท่านั้น ผมว่าพวกเราล้มล้างสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งผู้นำของสายลุงใหญ่กันเถอะ…”
เย่เซียวพูดประโยคสุดท้ายพร้อมส่งสายตาให้พ่อแท้ๆ อย่างเย่สง ทายาทคนรองตระกูลเย่ และเย่กังทายาทอันดับสามซึ่งกลายเป็คนพิการตัวติดรถเข็น หัวโล้นๆ นั้นสะท้อนแสงสีเขียวเจิดจ้าสองชั้น
ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังหวั่นเกรงชื่อเสียงปู่ทวดและปู่อยู่ เย่เซียวอยากจะพูดออกมาตรงๆ ว่า มือของสองเฒ่านี้าเ็หนัก ไม่ต้องกลัวพวกเขาจะต่อต้านหรอก
เย่สงฉุกคิดขึ้นได้ ตนเป็ถึงทายาทคนรอง แต่ท่านพ่อเย่ไท้ป๋าย หัวหน้ากรมตำรวจกลับยกตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสายตรวจที่เป็ตำแหน่งที่ดีที่สุดให้กับเย่กัง ซึ่งเป็ทายาทลำดับสาม
ขนาดพี่ชายคนโตอย่างเย่เฉิน ที่มีความสามารถต่ำตมที่สุด ยังได้รับตำแหน่งสองตำแหน่งในกรมตำรวจทหารและกรมสืบสวน!
มีเพียงเขาคนเดียวที่มีความสามารถทางการทหารสูงส่ง แต่กลับได้เพียงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมป้องกันเมือง แม้แต่ลูกชายคนโตอย่างเย่เซียว ยังถูกเย่ชิงโหรวลูกสาวคนโตของเย่เฉินแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไปอีก
เย่สงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อประสบความไม่พอใจนานัปการ
“ฉันมีกำลังพลจากหน่วยป้องกันเมืองสามพันนาย เมืองโยวเฉิงแห่งนี้จะเป็ของแก! เหล่าทหารป้องกันเมืองของฉันอยู่ไหน? แสดงให้พวกทหารตำรวจและหน่วยสืบมันดู ว่าพวกแกไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมัน!” เสียงเย่สงดังผ่านเครื่องรับส่งสัญญาณขนาดเล็กที่หูของเขา เพื่อกระจายเสียงไปยังทหารรักษาความปลอดภัยทั่วเมือง
ทันทีทันใด ทหารคุ้มกันเมืองจำนวนมากพร้อมกระบองไฟฟ้าในมือก็พากันกรูเข้ามาจากนอกโรงแรม!!
เมื่อเห็นเช่นนี้ คุณชายสามตระกูลเย่ เย่กังผู้พิการติดรถเข็นจึงะโเสียงดัง
“เย่เซียว ไอ้เด็กเหลือขอ กล้าดียังไงมาสวมเขาให้ลุงสามตัวเอง! ถ้าฉันยังสนับสนุนแกต่อ ฉันก็คงแก่กะโหลกกะลาเต็มทนแล้ว!”
