"เ้าเคยถามนางหรือไม่ว่า อยากออกเรือนหรืออยากไปจากครอบครัวนั้น" เหลียนเซวียนถามอย่างอดกลั้น
"แต่งงานก็เพื่อออกมาจากรังหมาป่าแห่งนั้นไม่ใช่หรือ ไม่แต่งงานแล้วนางจะออกมาอย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นคลำทิศทางไม่ถูก
"อยากออกมาจากบ้านลุงของนาง ย่อมมีวิธีอื่น ไม่จำเป็ต้องแต่งงานเสมอไป" เหลียนเซวียนถอนหายใจ บางครั้งสติปัญญาของนางก็มีเวลาที่ติดขัดอยู่เหมือนกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันสว่างวาบ "วิธีใด?"
"ลุงของนาง้าเงินมิใช่หรือ แค่ซื้อนางมาก็เรียบร้อยแล้ว" เหลียนเซวียนเอ่ยเสียงเบา
ซื้อ? เซวียเสี่ยวหรั่นตาโต
ซืุ้์? บ้าไปแล้ว เธอไม่เคยมีความคิดแนวนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ
เธอเป็วัยรุ่นห้าดียุคใหม่ [1] จะมีความคิดซื้อขายมนุษย์ได้อย่างไร
การซื้อขายมนุษย์เป็เื่ผิดกฎหมายเชียวนะ
แน่นอนว่าสำหรับยุคสมัยนี้ก็เป็อีกเื่หนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ "ซื้อตัวมานางก็หมดอิสระแล้วสิ หลันฮวาคงไม่ยอมหรอก"
การลงนามในสัญญาซื้อขายตัวเท่ากับสูญสิ้นอิสรภาพ สำหรับเซวียเสี่ยวหรั่นแล้ว นี่เป็แผนการที่ไม่อาจยอมรับได้
มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า ชีวิตมีค่าล้ำ ความรักสูงค่ายิ่งกว่า แต่เพื่ออิสรเสรี สองอย่างนี้สามารถโยนทิ้งไปได้
หากแม้แต่เสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ยังถูกลิดรอน ชีวิตจะมีความหมายอะไร
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ แม่นางผู้นี้ยังเยาว์นัก ประสบการณ์ชีวิตตื้นเขิน ไม่รู้ว่าเมื่อความยากจนและหิวโหยอยู่ตรงหน้า อิสรภาพก็เป็เพียงสิ่งฟุ่มเฟือย
"เ้าจะไปถามดูก่อนว่านางยินยอมหรือไม่ก็ได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเขาทำท่าครุ่นคิด ก็พยักหน้าตอบรับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันต่อมา อากาศแจ่มใส แสงตะวันเจิดจ้า นกน้อยขับขานท่วงทำนองอันไพเราะอยู่บนกิ่งไม้
อาเหลยย่องออกจากเรือนไปเด็ดยอดอ่อนของต้นชุน [2] มากิน
เซวียเสี่ยวหรั่นล้างหน้าสีฟันเสร็จ ก็หยิบหวีมายืนหวีผมอยู่หน้าประตู ผมของเธอยาวมากแล้ว เกล้าผมเป็ทรงกลมแล้วมุ่นมวยบนศีรษะด้านหลัง ไม่มีเครื่องประดับหนีบผมตรึงให้แน่น ลูกผมด้านข้างก็มักจะรุ่ยลงมาเสมอ แต่เธอคร้านจะสนใจ แค่สามารถรวบมัดได้ก็ดีมากแล้ว
"วันนี้วันที่สิบหกเดือนสาม" เหลียนเซวียนซึ่งนั่งอยู่หน้าระเบียงเอ่ยขึ้นอย่างปุบปับ
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงัน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมานับ "อืม ดูเหมือนว่าวันที่พวกเราลงเขาคือวันที่เจ็ดเดือนสาม มาอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้สิบวันแล้ว"
เหลียนเซวียนนิ่งไปชั่วขณะ "สิ้นเดือนพวกเราควรจะออกเดินทางกันแล้ว"
"ไปไหน?" เซวียเสี่ยวหรั่นใ หลุดถามออกไปทันควัน
"ไปเมืองชางตัน" เหลียนเซวียนตอบเสียงเรียบ
เมืองชางตัน? นั่นคือเมืองหลวงของแคว้นหลีมิใช่หรือ เซวียเสี่ยวหรั่นยังเคลือบแคลงสงสัย
"ไปเมืองชางตันทำไม?"
เหลียนเซวียนทอยิ้มอ่อนๆ "หรือเ้าอยากอยู่ขู่หลิ่งถุนตลอดไป?"
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาศีรษะ ไม่ตอบคำถาม อันที่จริงเธอรู้สึกว่าชีวิตที่ขู่หลิ่งถุนก็ไม่เลวนัก หากให้พูดตามตรงคือเธอรู้สึกหวาดกลัวโลกภายนอกที่ยังไม่รู้จักมักคุ้น
แน่นอนว่าคำพูดนี้ยากที่จะกล่าวออกไป
"แต่ขาของท่านยังต้องพักรักษาอีกสองสามเดือนมิใช่หรือ ถ้าออกเดินทางสิ้นเดือนนี้ ก็เท่ากับยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองขาที่าเ็ของเขาด้วยความเป็ห่วง
"ไม่มีปัญหา จ้างรถม้าสักคันก็เดินทางได้" เหลียนเซวียนส่ายหน้า
การเสียเวลาอยู่บนเขาไกลห่างความเจริญจนไม่รู้เื่ราวของโลกภายนอกไม่ใช่เื่ดีอันใด
"อ้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบกลับไปอย่างงุนงง
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง เพิ่งจะคุ้นเคยกับสถานที่ รู้จักกับสหายไม่กี่คน เพียงพริบตาก็ต้องจากไปเสียแล้ว
พอได้ยินข่าวนี้แต่เช้า เซวียเสี่ยวหรั่นก็หมดอารมณ์ทำอาหารเช้า จึงเพียงแค่เคี่ยวโจ๊กกระดูกหมูหม้อเดียว
โรยต้นหอมสับใส่ลงไปก่อนยกลงจากเตา โจ๊กกระดูกหมูเหนียวนุ่มรสกลมกล่อมก็เป็อันเสร็จเรียบร้อย
ตักใส่ชามขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ตามลำดับ ตั้งไว้ให้เย็นครู่หนึ่งค่อยยกออกมา
อาเหลยได้กลิ่นหอมก็เข้ามาป้วนเปี้ยนั้แ่โจ๊กยังไม่ขึ้นจากหม้อ
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นท่าทางร้อนรนของมันก็หัวเราะ
"ยังร้อนอยู่เลย อย่ารีบร้อนนักสิ เมื่อก่อนได้ยินคนกล่าวว่ารีบร้อนเป็ลิง ยังนึกอยู่ว่าลิงจะรีบร้อนอย่างไร มาเห็นท่าทางของเ้าตอนนี้ รีบร้อนเป็ลิงไม่ผิดเลย"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยอกล้อกับอาเหลยอย่างสนุกสนาน
เหลียนเซวียนได้ยินเสียงหัวเราะของนาง ก็ลอบโล่งใจอยู่ลึกๆ
เมื่อครู่ตอนคุยเื่เดินทาง ดูเหมือนว่านางจะไม่เบิกบานเท่าไร นึกถึงยามอยู่ในป่า นางพูดเสมอว่าหลังออกจากป่าได้แล้วจะแยกทางกับเขา ต่างคนต่างไปตามทางของตนเอง ริมฝีปากบางของเหลียนเซวียนเม้มแน่นอย่างไม่อาจสะกดกลั้น
หลังมื้อเช้า ซีมู่เซียงก็เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
มาถึงก็ลากเซวียเสี่ยวหรั่นเข้าไปซุบซิบในห้องโถง
"เมื่อคืนหลังจากหลันฮวากลับไปแล้ว ก็ถูกคนในบ้านรุมด่าทอ ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สองฝ่ายเกิดทะเลาะตบตีกันยกใหญ่ ผู้ใหญ่ไร้ยางอายห้าคนของบ้านนั้นร่วมมือกันทำร้ายทุบตีหลันฮวา ผลสุดท้ายสู้ไม่ได้เละไม่เป็ท่าคามือของหลันฮวา คนกว่าครึ่งหมู่บ้านต่างแล่นกันไปชมความครึกครื้น"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้าง ค่อนข้างจะหัวเสียอยู่บ้าง เหตุใดเมื่อคืนเธอถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
"ทำไมพวกเขาต้องทุบตีหลันฮวาด้วยล่ะ"
"ก็เพราะเมื่อคืนตอนที่หลันฮวากลับออกไปจากบ้านท่าน มีพวกปากสว่างแล่นไปฟ้องอูต้าฟางถึงบ้านน่ะสิ ก็เลยกลายเป็เื่เป็ราวขึ้นมา" ซีมู่เซียงกดเสียงกระซิบ
"พวกคนใจทรามบ้านนั้นเห็นใครดีกับหลันฮวาหน่อยไม่ได้ แต่ไรมาก็เป็เช่นนี้ เคยมีชาวบ้านเวทนา เห็นนางถูกปล่อยให้หิวโหยจนผอมโซ จึงให้ขนมปาปา [3] กินชิ้นหนึ่ง ผลปรากฏว่าอูต้าฟางสองผัวเมียไปยืนชี้หน้าด่าทอผู้อื่นถึงประตูบ้านอยู่เป็ครึ่งค่อนวัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นอ้าปากค้าง เดนมนุษย์เช่นนี้มีอยู่ในโลกจริงหรือ
ตนเองทำไม่ดีต่อหลานสาวแท้ๆ ยังห้ามไม่ให้ผู้เวทนาสงสารนาง ดูท่าจะวิปริตกันทั้งครอบครัว
"เมื่อครู่บ้านพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว ตอนข้าเดินผ่านได้ยินป้าสะใภ้คนนั้นบ่นว่าจะหาพ่อค้าทาสขายหลันฮวาออกไป บอกว่านางเป็คนเนรคุณ แม้แต่ผู้ใหญ่ก็กล้าตบตี น้ำเสียงเกรี้ยวกราดไม่เบา ครานี้หลันฮวาต้องแย่แน่แล้ว"
ซีมู่เซียงสีหน้าวิตกกังวล
เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าเสีย เมื่อเช้าเหลียนเซวียนเพิ่งคุยกับเธอเื่ซื้อขายมนุษย์ ไฉนมาตอนนี้กลับกลายเป็เื่จริงไปแล้ว
"น้องมู่เซียง เ้ารอเดี๋ยวนะ"
นางวิ่งตึงๆๆ ออกไป พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายเหลียนเซวียน
ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เหลียนเซวียนก็หันมายิ้มให้กล่าวว่า "คิดจะซื้อหลันฮวาแล้วรึ?"
"ท่านได้ยิน?" เซวียเสี่ยวหรั่นอ้าปากค้าง แม้ว่าห้องโถงจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็มีกำแพงกับประตูกั้นอยู่ พวกเธอคุยกันเสียงเบามาก เขายังได้ยินอีกหรือ
"อื้อ ตกลงจะซื้อคนหรือไม่" เหลียนเซวียนรับคำเสียงเรียบ
"ซื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา
เหลียนเซวียนกวักมือเรียก รอยยิ้มวาบผ่านก้นบึ้งดวงตา
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบเข้าไปใกล้เขา
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าน้อยๆ เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์กรอกเข้ามาในหู
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังจนเคลิบเคลิ้ม รอจนเขาพูดจบ พวงแก้มของเธอก็แดงซ่าน
"บะ... แบบนี้จะสำเร็จหรือ" เธอยกมือลูบดวงหน้าร้อนผ่าวพลางเอ่ยถามหนึ่งประโยค
"สำเร็จสิ" เหลียนเซวียนท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม
เซวียเสี่ยวหรั่นตัดสินใจแน่วแน่ "งั้นข้ากับน้องมู่เซียงจะไปเดี๋ยวนี้ ท่านดูบ้านให้ดีเล่า"
เหลียนเซวียนมองตามหญิงสาวที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มในแววตาเข้มยิ่งกว่าเดิม
...
[1] วัยรุ่นห้าดี หมายถึงคุณธรรมห้าประการของเยาวชนได้แก่ 1. รู้รักสามัคคี เคารพให้เกียรติผู้อื่น 2. ใจกว้างโอบอ้อมอารี มีมโนธรรมสำนึก 3. ขยัน ประหยัด กตัญญูต่อบิดามารดา 4.รักบ้านเกิดเมืองนอน เคารพกฎหมาย 5. ใส่ใจสุขอนามัย รักษาสิ่งแวดล้อม
[2] หรือเรียกว่า Toona sinensis ถือกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็พืชล้มลุก เปลือกไม้สีเท้า ทนแล้ง และทนต่อภาวะดินเค็มได้ดี ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน
[3] ปาปา หรือข้าวจี่อวิ๋นหนาน เป็ขนมพื้นบ้านของชาวอวิ๋นหนาน ทำมาจากข้าวเหนียวนึ่งสุกนำมาตำให้ละเอียด (ปัจจุบันใช้แป้งข้าวเหนียวแทน) แล้วปั้นเป็ก้อนกลมแบน ห่อด้วยใบตองก่อนน้ำไปนึ่ง ย่างบนเตาถ่าน หรือนำไปทอดก็ได้ สามารถกินเป็ทั้งของคาวและของหวาน ปัจจุบันมีการพลิกแพลงใส่ไส้ผสม หรืออาจทำน้ำหวานราดก่อนกิน ชาวจีนมณฑลอวิ๋นหนานมักจะกินปาปา่เทศกาลสงกรานต์
