องค์หญิงใหญ่ดูเหมือนจะทำงานอย่างหนักในการจัดเลี้ยงให้เทียบเท่างานเลี้ยงวันประสูติไทเฮาครั้งก่อน โดยงานเลี้ยงร้อยบุปผาของนางขั้นแรกต้องไปให้ฝ่ายชินเทียนเจียน [1] เลือกวันมงคลก่อน โดยกำหนดวันจัดงานอีกเจ็ดวัน และจะจัดในสวนวังหลวง โดยฮวารั่วซีเป็ผู้ดูแลงานทั้งหมด เป็การจัดงานที่หรูหราฟุ่มเฟือยครั้งยิ่งใหญ่
แม้ว่าเต๋อเฟยจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการกระทำของฮวารั่วซี อย่างไรก็ตามตนเองไม่จำเป็ต้องมารับผิดชอบเื่ยุ่งยากเหล่านี้ จึงไม่ได้คัดค้านใดๆ อีกทั้งยังคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพียงแค่อยากให้องค์หญิงใหญ่ทรงพอพระทัยก็เพียงพอแล้ว เพื่อนางจะได้ชดเชยเื่ที่เคยใส่ร้ายคนของนางก่อนหน้านี้
เมื่อถึงวันงานร้อยบุปผา คุณชายและคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงซึ่งมากับนายหญิงของตระกูลต่างพากันเข้าร่วมงานเลี้ยง ประการแรกพวกเขาจะได้หาประสบการณ์ ประการที่สองเพื่อการผูกมิตร สร้างความสัมพันธ์ และประการที่สามมีโอกาสพบคู่ชีวิตที่ถูกใจ ดังนั้นวันนี้พวกนางจึงแต่งตัวประดับประดาด้วยปิ่นปักผมดอกไม้งดงามตระการตา
น อกจากนี้เหล่าผินเฟยในวังหลวงได้แจ้งข่าวไปยังทูตของแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในแคว้นต้าเซวียนซึ่งต่างก็ได้รับบัตรเชิญ จึงทำให้บรรยากาศครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง
เหยียนอู๋อวี้นั่งอยู่บนที่นั่งด้วยสีหน้าหดหู่ใจ
คนอื่นคิดเพียงว่างานเลี้ยงร้อยบุปผาขององค์หญิงใหญ่จัดขึ้นเพื่อ้าชนะใจทุกฝ่าย ทว่าเมื่ออยู่ในราชสำนักเป็เวลานาน ก็จะรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลังจากงานเลี้ยงร้อยบุปผาผ่านไปแทบทุกครั้ง เหล่าขุนนางที่มีบุตรชายใบหน้าหล่อเหลาจะได้รับบัตรเชิญจากองค์หญิงใหญ่ให้พาบุตรชายมาเป็แขกในตำหนัก ซึ่งนี่มิใช่เป็การให้เกียรติ ทว่าเป็ความอัปยศเสียมากกว่า
แม้ว่าขุนนางเ่าั้จะไม่ได้บอกความจริง เพียงเพื่อความปลอดภัยของตระกูล ซ้ำยังต้องทนแบกรับความอัปยศและส่งบุตรชายไปยังตำหนักขององค์หญิงใหญ่เพื่อเป็บุรุษบำเรอของนาง
ต่อมาจึงเรียนรู้ที่จะประพฤติตัวให้ดี เมื่อถึงงานเลี้ยงร้อยบุปผาก็จะพาบุตรชายรูปงามที่ไม่เป็ที่โปรดปรานในตระกูล หรือซื้อตัวมาจากภายนอก แล้วพาเข้าไปในวังหลวงในฐานะบุตรบุญธรรม
องค์หญิงใหญ่ไม่สนใจเื่นี้เท่าใดนัก เพียงนางตกหลุมรักบุรุษผู้นั้นและมีใบหน้าหล่อเหล่าก็เพียงพอแล้ว นางไม่สนใจฐานะของบุรุษผู้นั้น
หลังจากที่ทุกคนมาถึงงาน งานเลี้ยงร้อยบุปผาจึงเริ่มเปิดฉากขึ้น จากนั้นห้องเครื่องของวังหลวงได้เริ่มยกสำรับอาหารเข้ามา แต่ละจานล้วนประดับประดาด้วยดอกไม้งดงาม เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าทำจากส่วนผสมที่แตกต่างกัน สมบูรณ์ด้วย รูป รส กลิ่น สี
องค์หญิงใหญ่เอนตัวลงบนที่ประทับอย่างเกียจคร้านและกวาดสายตามองชายหนุ่มอยู่นาน ในที่สุดสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่จวินอู๋เสีย เขานั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง นั่งหลังตรงในชุดที่เป็ทางการสีน้ำเงินด้วยท่าทีอบอุ่น เส้นผมดำขลับปัดลงมาข้างแก้มนั้นมีเสน่ห์มากเสียจนไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย
ฮวารั่วซีกล่าวไม่ผิด จวินอู๋เสียหล่อเหลาคมสันยิ่งกว่าซวี่หรงเป็ร้อยเท่า ทว่าคงไม่ง่ายที่จะนำมาเป็ของตนเอง
สตรีที่นั่งข้างเขาคือเหยียนรั่วฟาง บุตรสาวคนโตของตระกูลเหยียน นางกำลังพูดคุยกับเขาอย่างออกรส ขณะที่ร่างกายนางขยับเข้าใกล้เขาอยู่หลายครั้ง ทว่าเขากลับหลบหลีกนางได้อย่างชาญฉลาด กระนั้นลักษณะท่าทางที่แสดงออกมาทำให้ผู้อื่นไม่สังเกตเห็นความไม่สุภาพอันใดเลย
หากนางบังคับให้เขาอยู่ต่อจะเกิดอันใดขึ้น? องค์หญิงใหญ่ครุ่นคิดเื่นี้อยู่ในใจและในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
นางชอบใช้วิธีการบางอย่างทำให้บุรุษหนุ่มที่หมายปองกลายมาเป็คนใกล้ชิดของตน ทว่าหากอีกฝ่ายต่อต้านมากเกินไปนางก็จะหมดความสนใจ หลายปีที่ผ่านมาตระกูลต่างๆ ล้วนดำเนินการได้อย่างราบรื่น นั่นเพราะพวกเขากลัวว่าจะส่งผลเสียต่อตระกูลของตนเอง ทว่าสถานการณ์ของจวินอู๋เสียนั้นแตกต่างกัน
เขาเป็ตัวประกันจากราชวงศ์ใต้ หากกดดันมากเกินไปและเกิดคิดสั้นฆ่าตัวตายคงจะอธิบายต่อราชสำนักได้ยาก ดังนั้นจึงต้องดำเนินการอย่างใจเย็นและไม่ประมาท ต้องลองดูก่อนจึงจะรู้ว่าควรจะลงมือต่อหรือไม่
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ดวงตาของนางพลันเผยให้เห็นแววตาแปลกประหลาด ราวกับว่านางได้จวินอู๋เสียโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
องค์หญิงใหญ่มิได้เอ่ยอันใด ทว่าคนอื่นๆ ยังคงต้องสรรหาเื่มาพูด ทั้งๆ ที่ไม่มีอันใดจะพูดก็ตาม ไม่รู้ว่าเป็สตรีจากตระกูลใดที่ไม่รู้กาลเทศะ ได้ยินชื่อเหยียนอู๋อวี้มาจากตระกูลเหยียนจึงพูดประจบประแจงเสียงดังว่า “แม่นางเหยียนจากตระกูลเหยียนช่างเป็ดั่งนางฟ้าลงมาจุติจริงๆ ปกติแม้จะได้ยินคำว่าสตรีงดงามล่มเมือง ก็ยังไม่ได้คิดอันใดมากนัก ทว่ายามนี้เมื่อได้พบเหยียนฉายเหรินจึงเข้าใจความหมายของคำนี้”
เื่นี้สำหรับเหยียนอู๋อวี้แล้ว นางเพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทว่าเมื่อเหยียนรั่วฟางที่อยู่ด้านข้างจวินอู๋เสียได้ยินคำพูดนี้ นางถึงกับวางถ้วยลงทันทีและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ตระกูลเหยียนของพวกเราไม่มีหญิงงามระดับนั้น เหยียนฉายเหรินเป็แก้วตาดวงใจของเ้าเมืองฉางหนิง มีเพียงเมืองฉางหนิงที่สวยงามเท่านั้นที่มีสตรีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้”
คนทั่วไปได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็การยกย่องที่แอบแฝงไปด้วยเจตนาดูิ่อย่างเปิดเผย มีความหมายโดยนัยว่า เหยียนอู๋อวี้ไม่คู่ควรมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหยียน
ผู้ที่กล่าวชมเชยนางพลันหน้าแดงด้วยความอับอายและตื่นกลัวจนไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
เหยียนอู๋อวี้อมยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางที่กำลังพูดอยู่นั้นมาจากตระกูลใดหรือ?”
เหยียนรั่วฟางเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโส “บิดาของข้าคือเหยียนเฉิงเซี่ยง”
“ที่แท้เป็บุตรสาวของเหยียนเฉิงเซี่ยง” เหยียนอู๋อวี้รู้ชัดเจนทันทีจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้เพียงว่าไทเฮาเป็ดั่งเทพธิดาลงมาจุติ และบุตรสาวของตระกูลเหยียนล้วนงดงามเลอโฉมทุกคน อีกทั้งกิริยามารยาทยังโดดเด่น ไม่คิดว่าจะมีข้อยกเว้น รู้สึกละอายจริงๆ”
เหยียนรั่วฟางซึ่งเป็บุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ เมื่อถูกเหยียนอู๋อวี้ล้อเลียนตรงไปตรงมาว่าไม่งดงามแล้ว นางจึงรู้สึกไม่พอใจทันทีและเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองไปว่า “เหยียนฉายเหริน เ้าเป็เพียงฉายเหรินกล้าพูดดูิ่ข้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าจะกลับไปร้องเรียนเสด็จป้าไทเฮาให้ลงโทษเ้าไปอยู่ตำหนักเย็น”
เมื่อฮูหยินเหยียนได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบดึงตัวเหยียนรั่วฟางออกไปทันที และเอ่ยเสียงต่ำว่า “นั่งลง”
คราแรกเหยียนรั่วฟางไม่เต็มใจนัก ทว่าเมื่อเห็นสายตาขององค์หญิงใหญ่มองมาที่นาง นางจึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีและรีบนั่งลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่นึกถึงยามที่นางถูกหัวเราะเยาะอย่างน่าอับอายต่อหน้าบุรุษที่ตนเองชื่นชอบก็ทำให้นางยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นจนน้ำตาซึม
เมื่อสตรีที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งด้านข้างเห็นนางร่ำไห้จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปลอบใจ ไม่คาดคิดว่านางกลับยิ่งโกรธมากขึ้น จากนั้นจึงหันไปถลึงตาใส่แล้วกล่าวว่า “เฮ่อเสี่ยวซือ เ้านั่งอยู่ข้างข้าทำอันใดได้บ้าง เป็ความผิดของเ้าทำให้ข้าถูกเยาะเย้ยว่าไม่งดงาม”
เฮ่อเสี่ยวซือเป็หลานสาวของฮูหยินเหยียน บิดามารดาของนางเสียชีวิตั้แ่นางยังเล็ก ฮูหยินเหยียนพานางกลับมาชุบเลี้ยงเหมือนดังบุตรสาวแท้ๆ อย่างไรก็ตามนางกับเหยียนรั่วฟางมีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางเพียงแค่แย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อถูกดุด่าและไม่ตอบโต้ใดๆ นางหันหน้าไปมองเหยียนอู๋อวี้ด้วยความสงสัยและชื่นชมในใจ จากนั้นจึงหันไปมองหาคนอีกคนหนึ่ง พูดตามหลักแล้ว เขาเป็ถึงหัวหน้าผู้ปกครองควรมางานเลี้ยงนี้ถึงจะถูก
ฮูหยินเหยียนดึงตัวบุตรสาวให้ลงมานั่งพลางแย้มยิ้มประจบประแจง “บุตรสาวเอ่ยกระทบกระทั่งเหยียนฉายเหริน เหยียนฉายเหรินได้โปรดยกโทษให้ด้วยเพคะ”
แม้ว่าจะยอมรับผิด ทว่านางกลับไม่กล่าวถึงความผิดของบุตรสาวแม้แต่น้อย เหยียนอู๋อวี้ยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินเหยียนกล่าวเกินไปแล้ว ความจริงบุตรสาวของท่านอายุน้อยกว่าข้าเพียงหนึ่งปี ข้าจะไปโต้เถียงกับนางได้อย่างไร?”
นางกล่าวถึงอายุของเหยียนรั่วฟางโดยมิได้ตั้งใจ ทว่าความนัยที่ซ่อนอยู่นั้นก็คือแสดงให้เห็นว่าฮูหยินเหยียนไม่ยอมอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี เติบโตจนเป็สาวสะพรั่งกลับยังไม่รู้จักมารยาท
ฮูหยินเหยียนรู้สึกอับอาย หากแต่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ฉับพลันนั้นพลันมีคนเอ่ยขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือนาง
“น้องหญิงอยู่ที่ฉางหนิงมานาน เข้าวังหลวงได้เพียงไม่กี่เดือนพอจะเข้าใจกฎของวังหลวงบ้าง ปกติแล้วผู้อื่นจะใจกว้างพอที่จะยอมให้ เหตุใดเ้าจึงไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของผู้อื่นบ้าง?” ที่แท้ผู้ที่พูดก็คืออู๋เจี๋ยอวี๋ ่เวลาที่ผ่านมานี้ซ่งอี้เฉินพักอยู่ในตำหนักของนางทุกวัน และไม่กี่วันก่อนยังได้เลื่อนตำแหน่งให้นางเป็เจาหรง ซึ่งเป็หนึ่งในสนมผินทั้งเก้าคน นับเป็เกียรติและเป็ที่โปรดปรานยิ่งนัก
หลังจากเห็นนางปรนนิบัติฝ่าามาหลายวัน ยามนี้ผิวพรรณแปรเปลี่ยนจากขาวซีดเป็อมชมพู ใบหน้ามีน้ำมีนวลเปล่งประกาย ใกล้เคียงกับเหยียนอู๋อวี้อย่างยิ่ง
เหยียนอู๋อวี้มิได้รู้สึกหวั่นเกรงอันใดเลย นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณพี่หญิงที่สั่งสอน น้องหญิงเพียงแค่สอนกฎเหล่านี้ให้กับคุณหนูเหยียน ทว่าคุณหนูเหยียนเป็สาว สะพรั่งพร้อมออกเรือนแล้ว น้องหญิงทำไปก็เป็เื่ที่นอกเหนือจากหน้าที่ของตน”
ยามนี้อู๋เจาหรงพยายามอย่างเต็มกำลังแล้ว แม้เหยียนอู๋อวี้ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ซ่งอี้เฉินจึงโปรดปรานนาง ทว่านางยังไม่อยากจะโต้เถียงกับอู๋เจาหรงในตอนนี้ นางจึงยับยั้งชั่งใจ ไม่ใส่ใจกับการยั่วยุเพียงเท่านี้
เหยียนอู๋อวี้้าหลีกเลี่ยงปัญหา ทว่าอู๋เจาหรงกลับไม่ยอมความ ขณะที่กำลังคิดหาคำพูดเสียดสีโต้กลับอีกครั้ง องค์หญิงใหญ่พลันพูดขึ้นมาอย่างหมดความอดทนว่า “ฮูหยินเหยียนโปรดสอนกฎระเบียบกับบุตรสาวของเ้าให้ดีสักหน่อย ในสายตาของนางมีเพียงไทเฮาเท่านั้นหรือ ไม่มีองค์หญิงใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตาใช่หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ชินเทียนเจียน เหมือนฝ่ายโหรของไทย