ท่าทีที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้เหม่ยจื่อหน้ามุ่ยและเกิดความไม่พอใจ
ติงหร่วนก็ถูกเหม่ยจื่อจุดชนวนความโกรธขึ้นมาเสียแล้ว มองไปทางใครพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์
หลานจื่อเองก็รู้สึกโกรธ แต่นางก็ยังเอ่ยโน้มน้าวอย่างใจเย็น “พอแล้ว ไม่ต้องสนใจพวกนางหรอก แค่พวกฟูเหรินจากวังหลัง ชอบพูดลับหลังผู้อื่น อย่าไปใส่ใจนัก...พระชายาก็ไม่ต้องใส่ใจคนพวกนั้นนะเพคะ”
หลินหร่านไม่ใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย หรือจะพูดว่าไม่ค่อยรู้สึกอะไรก็ว่าได้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้จักคนเ่าั้อยู่แล้ว
“อื้อ พวกเราไปกันเถิด ติงหร่วน เหม่ยจื่อ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีก็พอ ทำตามที่หลานจื่อบอก ไม่ต้องไปใส่ใจ”
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
หลินหร่านกับคนของเขาเดินตามฟูเหรินน้อยใหญ่เ่าั้เข้าไป หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวเข้ามาก็พบกับสวนอวี้ฮวา
ดอกไม้นานาพรรณในสวนอวี้ฮวากำลังแข่งกันอวดโฉมความงาม
งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่านางกำนัลและขันทีต่างพากันเดินสำรวจและจัดวางข้าวของต่างๆ ให้เป็ระเบียบ
ที่ประทับของฮองเฮายังไร้ซึ่งเงาเ้าของที่นั่ง
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มหญิงสาวผู้เป็นางกำนัลในวังซึ่งสวมเสื้อผ้าพลิ้วไหวพลันเข้ามาเดินนำแขกในงาน
“เชิญพระชายาทางด้านนี้เพคะ” นางกำนัลนางหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทีเคารพ ก่อนนำหลินหร่านไปยังตำแหน่งที่นั่งของเขา
โต๊ะของหลินหร่านอยู่บริเวณขวามือ เป็โต๊ะแรกถัดจากที่นั่งของฮองเฮา
หลังจากหลินหร่านนั่งประจำที่เรียบร้อย หลายคนในงานก็เริ่มนั่งประจำที่นั่งของตนเองซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แล้วเช่นกัน
ทว่า กลับไม่มีใครพูดคุยกับหลินหร่านแม้แต่คนเดียว ผู้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่างคอยมองมาทางหลินหร่านเป็ครั้งคราว ถึงอย่างนั้นสุดท้ายก็หันไปก้มหน้ากระซิบกระซาบกับคนที่นั่งข้างกาย
หลินหร่านมีสถานะเป็ภรรยาที่เป็ชาย อีกทั้งยังเป็พระชายาของเทพเ้าแห่งา
เขาอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอ่อนไหว ดังนั้น แค่ถูกคนเ่าั้พูดจาลับหลัง ไม่จำเป็ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก
แต่หลินหร่านพลันสังเกตได้ว่า มีคนคนหนึ่งที่แสดงท่าทีผิดปกติต่อเขามากที่สุด
ตำแหน่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ไกลจากเขามากนัก เป็หญิงวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้หนึ่ง
หญิงผู้นั้นจ้องมองมาที่หลินหร่านอยู่ตลอด ริมฝีปากขยับไม่หยุด แต่ที่สำคัญคือหญิงสาวที่กำลังพูดคุยอยู่กับนาง ส่วนมากคือคนที่มองเขาด้วยแววตาไม่เป็มิตรเท่าไรนัก
“หลานจื่อ คนผู้นั้นคือใครหรือ” หลินหร่านรู้สึกว่าสายตาแบบนี้ต้องไม่ธรรมดาแล้ว จึงหันไปถามหลานจื่อที่อยู่ข้างกาย
หลานจื่อมองไปตามทิศทางที่หลินหร่านจ้องมองอยู่ แค่นางมองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็ใคร “พระชายาเพคะ คนผู้นั้นคือมารดาของพระชายาจ้านหวังที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อปีก่อน ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวเพคะ”
“...อ๋อ” หลินหร่านพยักหน้า มิน่าล่ะ
หลังจากบุตรสาวของตนเองอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องก็สิ้นพระชนม์ไป วันนี้คงรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่เห็นเขามานั่งอยู่ตรงนี้ นางคงคิดถึงบุตรสาวมากเป็แน่
ความคิดของหลินหร่านช่างไร้เดียงสา เขาคิดว่าที่ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวรู้สึกอึดอัดใจเช่นนั้นเป็เพราะนึกถึงบุตรสาว
ทว่า การที่ฟูเหรินลิ่นหยวนโหวได้เห็นหลินหร่านเช่นนี้ ทำให้ภายในใจนางลอบคิดว่า หากบุตรสาวของตนยังอยู่ ตำแหน่งพระชายาของเทพเ้าแห่งาต้องเป็ของบุตรสาวนางอยู่แล้ว
นั่นคือความรุ่งโรจน์ที่ใครต่อใครล้วนปรารถนา ดวงชะตาของท่านอ๋องผู้นี้กดทับผู้เป็พระชายา กดทับจนบุตรสาวของนางต้องจบชีวิต
หากเป็เช่นนั้นแล้ว เหตุใดหลินหร่านกลับไม่เป็อย่างบุตรสาว ไหนจะมีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับการให้กำเนิดทายาทได้อีก
เหตุใดถึงได้มีแต่เื่ดีๆ เช่นนี้กันล่ะ?
หลินหร่านยังคงนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สร้างความวุ่นวาย
หากคนพวกนั้นอยากมองก็ให้พวกนางมองไป เพราะมันไม่ได้ทำให้เขาเ็ปอะไร
ไม่นานนัก เหล่าสนมและนางบำเรอของฮ่องเต้ก็ได้มาถึงงานเป็ที่เรียบร้อย
นี่คงเป็เหล่านางในวังที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรมากมาย ภายหลังผู้คนคารวะทักทายเป็ที่เรียบร้อยแล้วก็นับว่าจบไป
จนกระทั่งมีเสียงของขุนนางในสวนอวี้ฮวาที่ะโขึ้นมาพร้อมกับมีผู้คนจำนวนหนึ่งเดินนำหน้ามาด้วย “แม่นางอวี้ฉีมาถึง!”
ทันใดนั้น ผู้คนทั้งหมดล้วนจ้องมองบริเวณหน้าทางเข้า
แม่นางอวี้ฉีคือผู้ที่มีความงดงามอันเป็เสน่ห์ดึงดูด
รูปลักษณ์ที่งามเย้ายวน ใบหน้าแตกต่างจากชาวเมืองทั่วไป เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่เหมือนประเพณีของต้าอวี้ แขนเสื้อเล็กแคบรัดรอบเอวโชว์สัดส่วน กระโปรงคลี่บานออกทั้งสี่ด้าน ั้แ่หัวจรดเท้าสวมใส่อาภรณ์สีแดงสด
มากไปด้วยเสน่ห์ ดึงดูดให้ผู้คนตกหลุมรัก ยามก้าวขาเดินทำให้เครื่องประดับเงินบนร่างกายกระทบกันจนเกิดเสียงดังกึกก้องไปมา
เสียงเ่าั้กระทับกันจนทุกคนได้ยินโดยทั่ว แม้แต่เหล่าหญิงสาวในงานต่างก็พากันตกอยู่ในภวังค์ราวกับกำลังหลงใหลในตัวนาง
กระทั่งอวี้ฉีก้าวเดินมานั่งลงข้างกายหลินหร่าน ทุกคนถึงได้สติกลับมาพร้อมรีบถวายความเคารพ
“คารวะแม่นางอวี้ฉี”
หลินหร่านลุกขึ้นก่อนก้มคารวะครึ่งตัวอย่างมีมารยาท
ถึงแม้หลินหร่านจะถือตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องผู้สูงส่ง ทว่า แม่นางอวี้ฉีอยู่ในตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็พิเศษ อีกทั้งยังเป็คนโปรดที่มักอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จึงไม่อาจเอาตำแหน่งพระชายาท่านอ๋องมาเทียบเคียงกันได้
แต่กระนั้น เหตุผลที่ฮองเฮาได้จัดที่นั่งให้พระชายาท่านอ๋องอยู่เหนือกว่าตำแหน่งที่นั่งของแม่นางอวี้ฉีนั้น ต้องเกิดจากความตั้งใจเป็แน่
ทำไมอวี้ฉีจะไม่รู้ความคิดของฮองเฮา
ฮองเฮาตั้งใจกดดันนางมาตลอด วันนี้คงอยากทำให้นางไม่พอใจในตัวพระชายาท่านอ๋อง คิดยืมมือนางให้เกิดเื่อะไรขึ้นแน่นอน
ถึงจะเป็อย่างนั้น อวี้ฉีก็ยังคงคิดว่า ต่อให้ฮองเฮาไม่ได้คิดจะทำการใด แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีให้กับหลินหร่านอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่นางแตกต่างจากฮองเฮาคือ นางไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะหักหน้ากันตามตรงเช่นนั้น
“ถวายบังคมพระชายา” นางยังคงไว้หน้าพระชายาอยู่
อวี้ฉีฉีกยิ้มก่อนก้มคำนับ แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่งลง เสียงของขุนนางผู้ดูแลความเรียบร้อยในงานก็ดังขึ้น “พระสนมลี่เสด็จ!”
ฉับพลัน ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ
“ถวายบังคมแด่พระสนมลี่!”
พระสนมลี่ก้าวเข้ามาอย่างเรียบง่าย นางสวมกระโปรงยาวสีอ่อนกับเครื่องประดับเรียบง่ายสีขาว ยังคงมีสีหน้าและท่าทีดังเดิม ช่างเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว
“ได้ยินมาว่าองค์ชายห้าแทบกระอักเืเพราะเื่ของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา”
“เห็นท่าทีของพระสนมลี่เช่นนี้แล้วคงจะเป็เื่จริง”
ผู้คนที่อยู่ด้านหลังต่างพากันกระซิบไปมา
หลินหร่านได้ยินชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น พระสนมลี่ย่อมได้ยินชัดเจนไม่ต่างกัน
พระสนมลี่หันมาจ้องทิศทางที่หลินหร่านอยู่เขม็ง ทำเอาหัวใจดวงน้อยของหลินหร่านแทบจะร่วงหล่น อีกฝ่ายมองมาโดยไม่กะพริบตา
ใครจะไปคิดว่าเมื่อลองมองดูดีๆ กลับกลายเป็ว่าพระสนมลี่ไม่ได้จ้องมองหลินหร่าน หากแต่เป็ฟูเหรินสองคนด้านหลังหลินหร่านที่กำลังเคี้ยวโคนลิ้น1 กันอยู่ต่างหาก
ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบง่าย แต่อารมณ์และท่วงท่าของพระสนมผู้เลอค่ายังคงอยู่ สายตาที่เฉียบคมราวกับมีดมองไปยังฟูเหรินสองคนนั้นก่อนที่ทั้งคู่จะหดหัว ไม่กล้าเอ่ยออกมาอีก
พระสนมลี่ไม่ได้เอ่ยโทษพวกนาง เพียงแสดงท่าทีตักเตือนก่อนไปนั่งประจำที่นั่งของตนเองซึ่งอยู่ด้านหน้าหลินหร่าน
เมื่อพระสนมลี่มาถึง ในสวนอวี้ฮวาพลันเงียบกริบ
เวลาต่อมา ตัวเอกของงานในครั้งนี้อย่างฮองเฮาก็เสด็จมาถึง
“ฮองเฮาเสด็จ!” ขุนนางผู้หนึ่งะโเสียงดัง พร้อมกับที่ฮองเฮาแห่งต้าอวี้ผู้สวมกวนดอกโบตั๋นก้าวเข้ามาในงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้
“ถวายบังคมฮองเฮา!”
ทุกคนในงานต่างพากันก้มโค้งคำนับ ถวายความเคารพ
หลังจากนั้น ฮองเฮาก้าวขึ้นแท่นสำหรับขึ้นไปยังที่ประทับประจำตำแหน่งก่อนเอ่ยปากขึ้น “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฮองเฮา”
ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นมอง
“ทุกคนนั่งประจำที่เถิด อย่าได้เกรงใจ”
เมื่อรอทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว…
“ไหน มาให้ข้าดูหน่อยสิว่ามีใครมาร่วมงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ของข้าบ้าง”
การถวายความเคารพนั้น ควรเริ่มจากตำแหน่งที่สูงสุดไปหาตำแหน่งต่ำที่สุด ดังนั้น ตำแหน่งสูงที่สุดเป็อันดับแรกคือพระสนมเอก หรือก็คือพระสนมลี่
ในขณะที่พระสนมลี่กำลังลุกขึ้น ฮองเฮาก็ได้เอ่ยปาก “่นี้พระสนมดูห่อเหี่ยวเชียวนะ ไม่ต้องขึ้นมาถวายความเคารพหรอก ถือเป็การไว้ทุกข์ให้แก่พี่ชายของพระสนมก็แล้วกัน”
ท่าทีที่เต็มไปความเมตตาของฮองเฮานั้น แสดงออกราวกับตนเองคอยดูแลพระราชวังทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น
พระสนมลี่พยายามสกัดความโกรธเคืองในใจ ต่อให้รู้ว่าฮองเฮากำลังเยาะเย้ยแล้วมันอย่างไรกันล่ะ เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ตนเองก็ทำได้เพียงดับไฟพิโรธภายในใจเท่านั้น
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่เป็ห่วงเพคะ”
น้ำเสียงของพระสนมลี่ฟังออกได้ไม่ยากว่าไม่ค่อยพอใจนัก
เมื่อพระสนมลี่ไม่ต้องขึ้นไปถวายความเคารพแล้ว ลำดับต่อไปก็ต้องเป็...
“พระชายา ออกไปสิเพคะ” หลานจื่อเอ่ยเตือนหลินหร่านอยู่ข้างกาย
หลินหร่านยืนขึ้น จากนั้นก้าวไปยังโต๊ะตรงกลางแล้วยกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย ก้มลงถวายความเคารพ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
-------------------------------------------------
1 เคี้ยวโคนลิ้น หมายถึง นินทาว่าร้าย พูดจาไร้สาระ
