หลินหยางเดินกลับไปที่พระตำหนักไท่เหอด้วยสีหน้าครุ่นคิดส่วนหลินเฮ่ายวนที่นั่งอยู่ด้านในก็กำลังมองมาที่ตัวเขาพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าคนผู้นี้ได้เห็นการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้หรือเปล่า
ส่วนหั่วเอ๋อร์นั้นเพิ่งจะเขมือบเกี๊ยวชิ้นสุดท้ายจากเกี๊ยวทั้งหมดจำนวนสองชั่งลงไปพร้อมกับส่งเสียงเรอออกมาด้วยความอิ่มเอม
“กลับได้แล้ว” หลินหยางคว้าหมับเอาตัวหั่วเอ๋อร์ไป
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้นั้นได้สร้างผลกระทบทางจิตใจให้เขาเป็อย่างมาก เขาจำเป็ต้องรีบกลับไปทบทวนและสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเขาก็ยังต้องเริ่มเตรียมตัวเพื่อที่จะออกเดินทางไปยังทะเลสาบฟ้าสมุทรด้วย
“เดินทางกลับกันดีๆ ล่ะ”คำพูดแบบกลางๆ ของหลินเฮ่ายวนลอยตามหลังมาเข้าหูของหลินหยางด้วยความอบอุ่น
หลินหยางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมา
ฝั่งของหลินเฮ่ายวนนั้นกลับหัวเราะฮ่าฮ่าไปพร้อมกับเงาร่างของหลินหยางที่ค่อยๆเลือนหายไป แล้วค่อยพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “รอบนี้เล่นแรงเกินไปรึเปล่านะ แต่ดูจากท่าทางการตอบสนองของเ้าหนูนี่แล้วถือว่าใช้ได้...”
ข้างกายเขานั้นมีต้วนเทียนหยาที่ไม่รู้ว่าโผล่มาั้แ่เมื่อไหร่กำลังยืนอยู่ตรงมุมอับสายตา
ซึ่งแววตาที่ดูลึกลับของต้วนเทียนหยานั้นก็ยังคงจ้องมองไปที่เงาหลังของหลินหยางที่เดินจากไปไกลแล้วราวกับว่าสามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลออกไปมากแค่ไหนก็ตาม
..................................
หลินหยางและหั่วเอ๋อร์พากันเดินทางกลับมายังคฤหาสน์ตระกูลเวิน
ระหว่างทางนั้น หั่วเอ๋อร์ก็ได้ยินว่าจะได้เดินทางออกไปผจญภัยจึงเกิดอาการตื่นเต้นยินดีสุดขีด จนแม้แต่คำขอที่จะเด็ดเอาขนนกอัคคีของปี้ฟังออกมามันยังตอบตกลงเลย
เมื่อกลับมาถึงห้องการช่างแล้วเ้าตัวตะกละน้อยนี่ก็เด็ดขนนกของตัวเองออกมาทีเดียว 4 เส้นถึงแม้มันจะเจ็บจนร้องจ้ากก็ตาม แต่หลินหยางสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเ้าหั่วเอ๋อร์ไม่ได้ดูหมดแรงเหมือนครั้งที่แล้ว
พลังของเ้านกนี้ก็กำลังค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาอยู่ตลอดเวลาเช่นกันถึงแม้ว่าในเวลาปกติแล้วจะเห็นมันทำตัวไร้สาระไปวันๆ แบบนี้แต่เกรงว่าภายในใจของมันก็คงไม่เคยคิดที่จะหยุดฟื้นฟูเอาพลังสุดแข็งแกร่งของตัวเองกลับมา
“มีอะไรมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม? หัวสิงโตเล่า?” หั่วเอ๋อร์เห็นสายตาที่มองมาด้วยความครุ่นคิดนั่นของหลินหยางแล้วก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับหลินหยางนั้นจะเกิดจากการที่ถูกจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วบังคับให้มาอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่พอได้อยู่ด้วยกันมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้วหั่วเอ๋อร์ก็ต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างจะรู้สึกดีที่ได้ติดตามหลินหยางไปแบบนี้
ของอร่อยให้กินก็เยอะมีสาวงามมารุมล้อม แถมยังได้วิวาทอย่างหนำใจอีก...
การดำเนินชีวิตแบบนี้ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูกราวกับว่าชีวิตของมันแต่เดิมก็ควรจะเป็แบบนี้อยู่แล้ว
“ไม่มีอะไรกลับไปพักผ่อนซะให้เต็มที่ ไม่เกินครึ่งเดือนเราจะออกเดินทางกัน”
“ครึ่งเดือน? ระดับข้าแค่สิบวันก็แข็งแรงเต็มสูบแล้ว!”
“อย่างนั้นเ้าก็เด็ดขนนกมาให้ข้าเพิ่มอีกสักสองเส้นสิ”
“เื่อะไร!!”
หั่วเอ๋อร์พลันรีบคาบหัวสิงโตไว้แล้วบินจากไปทันที
หลินหยางที่ยืนอยู่คนเดียวก็จมลงสู่ภวังค์แห่งความคิด
การเดินทางไปยังทะเลสาบฟ้าสมุทรนับเป็เื่ที่สำคัญมาก่เวลาเตรียมตัวอีกครึ่งเดือนนี้จะปล่อยให้เสียเปล่าไปไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว
เื่ที่เขาต้องทำมีค่อนข้างเยอะ
แต่เื่ที่สำคัญที่สุดก็คือการซ่อมแซมและยกระดับโล่หัวกะโหลกใช้ทักษะการช่างของเขาในการสร้างยุทธภัณฑ์ระดับวิถีราชันขั้นสูงที่แท้จริงขึ้นมาเพื่อใช้เป็ไพ่ตายในระหว่างการออกผจญภัยในทะเลสาบฟ้าสมุทร
รองลงมาก็คือการยกระดับความสามารถของตัวเองให้สูงขึ้น
เวลาครึ่งเดือนนี้ หากหลินหยางใช้โอสถระดับสี่ที่ไปหามาได้จากเมืองฮุยยื่อเมื่อก่อนหน้านี้แล้วเขาจะสามารถยกระดับพลังไปถึงระดับสูงสุดของเซียนเทียนขั้นท้ายได้เมื่อสวมใส่ชุดเกราะราชันเหล็กขาวแล้วพลังต่อสู้ของเขาจะสามารถเทียบได้กับระดับสูงสุดของอวิ้นหลิงขั้นกลางเลยทีเดียว
ซึ่งนั่นแทบจะเป็ระดับที่แข็งแกร่งมากที่สุดในทวีปชี่อู่แห่งนี้เเล้วแต่แน่นอนว่าหลินหยางจะไม่รู้สึกประหลาดใจเลยถ้าในกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าจะมีขุมพลังสุดแข็งแกร่งอย่างพวกยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงขั้นท้ายอยู่ด้วยแต่หลินหยางยังมีขนนกอัคคีของปี้ฟังอยู่ในมือ แถมยังมีโล่ที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยอีก ต่อให้ต้องประมือกันก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
อีกเื่ที่ต้องทำก็คือการฝึกฝนวิชาลับของต้วนเทียนหยา“เพลงดาบสามวิถี”
หลังจากการปะทะกันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้หลินหยางก็เหมือนได้เปิดประตูบานใหม่เพื่อก้าวเข้าสู่โลกของวรยุทธ์อันกว้างใหญ่นี้
เขาจะยังคงใช้งานเพลงดาบเฟิ่งอู่หวังหลีต่อไปแต่ใน่ครึ่งเดือนนี้อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนวิชา หนึ่งดาบผ่ามิติที่เป็หนึ่งในเพลงดาบสามวิถีให้สำเร็จให้ได้
นี่เป็จุดเริ่มต้นในการค้นหาวิถียุทธ์ตามแบบฉบับของตัวเองของหลินหยางถึงแม้นี่จะเป็ขั้นตอนที่ช้าและนานมากๆ ก็ตาม แต่พอได้เริ่มต้นแล้วมันก็นับเป็การเริ่มต้นที่ดูหน้าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
เขายังต้องวางกฎระเบียบเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างตระกูลเวินและสมาคมการค้าตระกูลจ้าวให้เรียบร้อยด้วย
การเดินทางครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนตระกูลเวินจะต้องขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันก็ต้องสร้างชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬและแหวนพระสุเมรุให้อาณาจักรชูอวิ๋นอีกจำนวนมากด้วยเพื่อที่จะสามารถยกระดับกำลังรบพื้นฐานของทั้งอาณาจักรนี้ให้สูงขึ้นในเวลาสั้นๆ ได้
ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้งานขุมพลังของสมาคมการค้าใต้หล้าและหอฟ้าสมุทรเพื่อช่วยในการพัฒนาขีดความสามารถของทั้งสองฝ่ายให้สูงขึ้นไปควบคู่กันด้วยเื่ทั้งหมดนี้เขาต้องรีบจัดการกำหนดทิศทางการทำงานให้เสร็จก่อนออกเดินทาง
หลินหยางถึงจะสามารถออกเดินทางได้อย่างสบายใจ
และท้ายที่สุดคือเื่ของการฝึกซ้อมให้กับลูกศิษย์ส่วนตัวอย่างหน่วยเกราะเหล็กดำทั้งยี่สิบคน
นี่คือกำลังรบที่หลินหยางลงแรงสร้างขึ้นด้วยตนเองตามแผนที่หลินหยางวางไว้นั้น คนเหล่านี้จะกลายเป็ยอดฝีมือระดับสูงสุดของทวีปชี่อู่ในอนาคตซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่สามคนจากทั้งหมดยี่สิบคนที่สามารถบรรลุไปถึงระดับเซียนเทียนได้แล้วพวกของเวินชิงชิงเองก็ไปถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะก้าวข้ามขอบเขตความสามารถระดับเดิมได้แล้ว
ก่อนจะออกเดินทางไปหลินหยางจะต้องค้นหาเอาทักษะเคล็ดวิชาบางส่วนที่เหมาะสมกับพวกเขาจากในความทรงจำด้านวิถียุทธ์ของจักรพรรดิฟ้าออกมาเพื่อให้พวกเขาสืบทอดต่อไป
เื่ทั้งหมดนี้ล้วนต้องใช้เวลาทั้งนั้น
เป็การใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อเตรียมตัวอย่างเร่งรีบจนแทบไม่ได้หลับได้นอนอีกครั้ง
ผู้คนต่างก็เคยเห็นแต่ภาพของเขาที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ะเืฟ้าะเืดินได้ด้วยตัวคนเดียวแต่จะมีใครบ้างเล่าที่จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของการที่ต้องแบกรับภาระอันใหญ่โตเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวจะมีใครบ้างที่รู้ว่าเื้ัความแข็งแกร่งเ่าั้ต้องแลกมาด้วยความทรหดมากแค่ไหน
แต่มันเป็ความรับผิดชอบที่เขาเลือกจะแบกรับเอาไว้เองเขาจึงไม่สามารถปริปากบ่นหรือรู้สึกเสียใจในภายหลังได้ได้แต่ลงมือปฏิบัติให้มันเสร็จสิ้นไปแต่นั่นก็ถือเป็การสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่าคนที่ศรัทธาในตัวเขาด้วยเหมือนกัน
ต้วนเทียนหยาเองก็เคยบอกไว้เหมือนกันว่า“ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง!!”
หลินหยางเริ่มลงมือปฏิบัติแล้ว
ในเวลาครึ่งเดือนนี้ หลินหยางทั้งสร้างอาวุธฝึกพลัง ฝึกวิชาหนึ่งดาบผ่ามิติ ประชุมหารือกับเวินติ่งเทียนเขียนจดหมายปรึกษาโต้ตอบกันทางไกลกับสวี่เหยา เขานั้นต้องหัวหมุนแทบจะตลอดเวลา
่เวลาเดียวที่เขาสามารถใช้พักผ่อนสมองได้ก็มีแค่ตอนที่เขาไปร่วมฝึกสอนกับหั่วเอ๋อร์ให้หน่วยเกราะเหล็กดำทั้งยี่สิบคนภายในห้องฝึกซ้อมลับเท่านั้น
และนั่นก็เป็่เวลาครึ่งเดือนที่โหดร้ายและดำมืดที่สุดของหน่วยรบนี้ซึ่งมีเวินเทาเป็ผู้นำด้วยเช่นกันก่อนหน้านี้แค่หั่วเอ๋อร์ตัวเดียวก็ทำเอาพวกเขาแทบจะร้องขอชีวิตกันไม่ทันอยู่แล้วมาคราวนี้มีหลินหยางแถมเพิ่มอีกคนเรียกได้ว่าดุเดือดสะใจราวกับจะได้ขึ้น์ไปจริงๆ เลยทีเดียว
แต่มีแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่สภาพแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างชัดเจน คนๆ นั้นย่อมต้องเป็เวินชิงชิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ณ ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็ดูออกว่าหลินหยางนั้นดูแลเวินชิงชิงดีเป็พิเศษแต่เ้าชายผู้นี้กับงานยุ่งมากเสียเหลือเกิน ยุ่งมากจนอย่าว่าแต่จะจับมือกันหรือออกไปเดินเล่นด้วยกันเลยแค่เวลาจะพูดคุยกันยังไม่มีด้วยซ้ำไป
ทางเดียวที่ทั้งสองคนจะได้ไกล้ชิดกันก็คือการที่หลินหยางฝึกสอนวิชานารีใจพิสุทธิ์ให้นางเท่านั้นแต่ที่น่าประทับใจก็คือ หลังจากที่เวินชิงชิงที่ผ่านเื่ราวต่างๆ มามากมายแล้ว นางดูจะเติบโตขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ
นอกจากนางจะไม่ไปรบกวนหลินหยางตอนกำลังยุ่งแล้วนางยังคอยบรรจงต้มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายไปมอบให้กับหลินหยางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วยส่วนเวลาที่เหลือนางก็จะเอาแต่ฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
สาวน้อยหัวใสผู้นี้ทราบดีว่าหนทางเดียวที่จะทำให้นางสามารถเข้าใกล้หลินหยางได้มากขึ้นกว่านี้ก็คือนางต้องเพิ่มระดับความสามารถของตัวเองให้สูงนางถึงจะสามารถเข้าใกล้เขาได้มากขึ้นทีละน้อยๆ
หลินหยางทำงานหัวหมุนอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลาจนในที่สุดก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ในที่สุดก็มาถึงวันที่เขานัดกับจีหยูยี่เอาไว้แล้วเสียทีเื่ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็สำเร็จไปแล้วระดับหนึ่งด้วย
ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกเดินทางแล้ว
เช้าวันนั้นเองภายในห้องฝึกซ้อมลับของตระกูลเวินเวินติ่งเทียนและเหล่านักรบเหล็กดำทั้งยี่สิบคนก็ได้มายืนมองหลินหยางเดินจากไปพร้อมกับหั่วเอ๋อร์แบบเงียบๆ
พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าสถานที่ที่หลินหยางกำลังจะไปนั้นค่อนข้างจะเสี่ยงอันตรายแต่หลินหยางไม่ได้บอกรายละเอียดให้ใครได้รู้เลยแม้แต่คนเดียว
“เอาละก่อนหน้านี้ข้าได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาศักดิ์ศิทธิ์ขั้นกลางกับพวกเ้าไปคนละชุดแล้ว หากพวกเ้าสามารถบรรลุถึงขั้นเซียนเทียนได้แล้วละก็เมื่อรวมกับชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬแล้วพวกเ้าจะสามารถแสดงพลังในระดับที่เทียบเท่ากับระดับเซียนเทียนขั้นท้ายได้เลยทีเดียวดังนั้นตอนนี้พวกเ้าต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไปถึงขั้นนั้นกันด้วย!”
ก่อนจากไป หลินหยางยังได้มอบคำสั่งสุดท้ายทิ้งเอาไว้ให้เหล่าลูกศิษย์ อีกด้วย
“ขอรับท่านผู้าุโหลิน!”
พวกเขาต่างก็มองไปที่หลินหยาง อย่างไรแล้วพวกเขาก็ถนัดที่จะเรียกหลินหยางว่าผู้าุโหลินมากกว่า
ภายในแววตาของพวกเขาต่างก็เป็ประกายถึงแม้ว่าหลินหยางจะพูดอยู่เสมอว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไรน่าเป็ห่วงแต่ในใจของพวกเขาก็ยังคงอวยพรให้กับหลินหยางแบบเงียบๆอยู่ดี
“ดี อย่างนั้นข้าไปละ”สายตาสุดท้ายของหลินหยางนั่งจ้องมองข้ามหัวเวินติ่งเทียนไปสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเวินชิงชิง
เขาจ้องมองเวินชิงชิงแบบเงียบๆสายตาของทั้งสองนั้นประสานกันอยู่นานหลายวิ หลินหยางแย้มยิ้มออกมาเบาๆ “รอข้ากลับมา”
พอกล่าวจบ เขาก็บีบไข่มุก...ในมือจนแตกเละ หลังจากนั้นก็ช่องว่างแห่งมิติที่ไม่รู้ว่าจะนำพาไปยังสถานที่แห่งใดช่องหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศ
หลินหยางไม่ลังเลอีกต่อไปเขาหันหลังกลับไปเพื่อจะออกเดินทาง
แต่ในจังหวะที่กำลังหันหลังอยู่นั่นเองก็มีเสียงพูดที่ปนด้วยเสียงสะอื้นเสียงหนึ่งดังขึ้น “รอก่อน!!”
หืม?
ในจังหวะที่หลินหยางกำลังยืนชะงักอยู่นั่นเอง
เรือนร่างอันอบอุ่นนุ่มนวลของสตรีนางหนึ่งพลันโถมเข้าใส่อ้อมอกของเขา
ริมฝีปากที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันเร่าร้อนของหญิงสาวประทับหนักๆลงไปบนใบหน้าของหลินหยาง
จุ๊บ!
หลินหยางรู้แต่เพียงว่าใบหน้าของตัวเองไม่เคยร้อนผ่าวแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
เกิดความรู้สึกแปลกๆ แบบที่ยากจะอธิบายได้เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ค่อยๆ ไหลผ่านไปทั่วร่างกายจนรู้สึกชาไปหมดทำเอาในหัวของเขานั้นขาวโพลนไปทันที
เป็ความรู้สึกประหลาดที่ไม่รู้จะอธิบายมันออกมาอย่างไรจริงๆ
หลังจากหอมแก้มเสร็จเวินชิงชิงก็กุมมือสองข้างของตัวเองไขว้หลังไว้พร้อมกับก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวจ้องมองไปที่หลินหยางด้วยสีหน้าที่ดูเขินอายแต่ก็หนักแน่นเข้มแข็ง
“รับปากข้าสิ ว่าเ้าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับภัยอันตรายอะไรข้ารอเ้าอยู่นะ...”
หือ?
อื้อ!
หลินหยางพยักหน้ารับแบบงุนงง
หัวใจอันแสนเ็าและแข็งกระด้างเพราะความโกรธแค้นของเขา บัดนี้มันได้ถูกจุมพิตอันเร่าร้อนและตรงไปตรงมาของเวินชิงชิงเข้าไปทำให้มันเริ่มเกิดความอ่อนไหวขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว
ในที่สุดหลินหยางก็ก้าวเข้าไปข้างในช่องว่างแห่งมิติแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความห่วงใยและคำอวยพรจากคนจำนวนมหาศาลที่ส่งมอบไปให้กับเขา
..................................
ทวีปชี่อู่อันกว้างใหญ่นี้หลังจากผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานานนับพันนับหมื่นปีแล้วบัดนี้มันได้ถูกแบ่งออกเป็ทั้งหมดห้าภูมิภาคใหญ่ๆ ดังนี้
พื้นที่ป่าทึบภาคตะวันออกดินแดนทุ่งหิมะภาคเหนือ ผืนทะเลทรายภาคตะวันตก ทะเลสาบขนาดั์ภาคใต้และภาคกลางที่เป็พื้นที่ราบอันเป็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทวีป
อาณาจักรชูอวิ๋นที่หลินหยางอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่บนชายแดนระหว่างพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคใต้ ส่วนราชอาณาจักรโล่ยื่อที่อยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรชูอวิ๋นนั้นเป็หนึ่งในอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดของพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้
แต่อาณาจักรที่ดูทรงอำนาจมากๆ แบบราชอาณาจักรโล่ยื่อนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าอาณาจักรมหาอำนาจที่แท้จริงของภาคตะวันตกและภาคใต้แล้วก็ดูจะยังอ่อนแอกว่าอยู่บางส่วน
ในพื้นที่ภาคตะวันตกนั้นมีอยู่ราชอาณาจักรหนึ่งที่มีฉายาว่า “ราชอาณาจักรทองคำ” ตั้งอยู่ มีชื่อจริงๆ ว่าราชอาณาจักรเทียนฉาง ผืนดินบริเวณนั้นเป็ผืนดินศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการดูแลโดยสรวง์ใต้ผืนแผ่นดินนั้นมีทองคำจำนวนมหาศาลจนนับไม่ถ้วนถูกเก็บซ่อนเอาไว้
มีคำร่ำลือกันว่าความมั่งคั่งร่ำรวยของราชอาณาจักรเทียนฉางเพียงอาณาจักรเดียวก็สามารถเทียบได้กับความั่งคั่งของทวีปชี่อู่ครึ่งทวีปได้เลยประชาชนของที่นั่นทุกคนล้วนเกิดขึ้นท่ามกลางกองเงินกองทอง ได้เสพสุขกับชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่ามากที่สุดในโลกั้แ่เกิดเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหนึ่งอาณาจักรที่ถูกเรียกว่า“พญาหมาป่าแห่งมหาทะเลทราย” อย่าง ราชอาณาจักรเิจี๋เลี่ยซึ่งเป็อาณาจักรอันทรงพลังที่สามารถยืนหยัดอยู่บนทะเลทรายขนาดใหญ่ที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมอันแสนโหดร้ายได้อย่างห้าวหาญ
ในประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานนั้น ทุกๆร้อยปีก็มักจะมียอดฝีมือสะท้านภพที่ก้าวออกมาจากราชอาณาจักรเิจี๋เลี่ยและสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของวิถียุทธ์แห่งทวีปชี่อู่ได้
ทางด้านภาคใต้ของทวีปชี่อู่นั้นก็เป็ทะเลสาบไร้ขอบขนาดมหึมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถข้ามผ่านทะเลสาบั์แห่งนี้ไปได้เลย และก็ยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าบริเวณสุดขอบของทะเลสาบั์แห่งนี้ได้เก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้มากมายขนาดไหน