“ต้าไห่ เรียกตัวหลี่จงิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จงิใจร้อนเป็ไฟเพราะเื่ของหลี่ลั่ว ทว่าฉีอ๋องได้เรียกกำลังจากจวนว่าการและทหารม้าห้าเมืองออกตามหาแล้ว ในเมืองหลวงนี้นับเป็อำนาจอันสูงสุดแล้ว ริมแม่น้ำมีหลี่ฉางเฉิงที่ลงน้ำไปหาด้วยตนเอง หลี่จงิจึงรอข่าวอยู่ในจวน เกรงว่าเมื่อมีข่าวส่งมาทางจวนโหวจะไม่มีผู้ใดอยู่รอ
ไฉนเลยจะรู้ว่าบ่าวรับใช้ในบ้านของตนวิ่งมาแจ้งว่า ฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง
ณ ห้องทรงพระอักษร
“ข้าผู้น้อยหลี่จงิ ราชองครักษ์ขั้นห้า ถวายบังคมฝ่าา”
“ลุกขึ้น” จ้าวหนิงฮ่องเต้มององครักษ์ผู้จงรักภักดี ชายวัยกลางคนผู้ไม่เคยห่างจากกายหลี่ซวี่แม้เพียงครึ่งก้าว เหมือนที่ต้าไห่ปฏิบัติต่อตนเอง ซื่อสัตย์และจงรักภักดี หลี่ลั่วต้องไปเติบโตอยู่ข้างนอกเป็เวลาสี่ปี เขาตามไปอารักขาความปลอดภัยโดยไม่ปรากฏตัวอยู่สี่ปี “เ้าวางใจเถิด ลั่วเอ๋อร์ไม่เกิดเื่อันใด”
ดวงตาของหลี่จงิสว่างวาบขึ้นทันที แต่ทว่ากลับสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว “ฝ่าาทรงมีความคืบหน้าของคุณชายแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นยังไม่มี แต่เมื่อวานเจิ้นไปวัดก่วงเปยให้ก่วงฉือไต้ซือคำนวณดวงชะตาให้ลั่วเอ๋อร์แล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดแล้วทนไม่ไหวหัวเราะออกมา ช่างเป็คนตัวเล็กที่แปลกประหลาดนัก ทำร้ายกันยิ่งนัก หลี่ซวี่หนอ...หลี่ซวี่ ไฉนจึงให้กำเนิดลูกชายเช่นนี้ออกมาได้เล่า? “ที่เจิ้นเรียกเ้ามาครั้งนี้ เพราะอยากจะถามเกี่ยวกับเื่ของลั่วเอ๋อร์”
หลี่จงิมีท่าทางเหมือนเม่นก็ไม่ปาน เขาเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันที ฝ่าาถามเื่นี้หมายความว่าอย่างไร?
“นิสัยของหลี่ซวี่เป็เช่นใดนั้นเจิ้นเข้าใจดี ซีเป่ยเป็สถานที่เช่นใด? หลี่ซวี่เลี้ยงหลี่ลั่วอยู่ที่นั่นเกือบจะหนึ่งปี ช่างเหลือเชื่อนัก” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัส “ผู้ที่คอยปรนนิบัติขุนนางทหารมีเพียงสองชนิด ชนิดแรกคือโสเภณีทหาร อีกชนิดคือแม่นางที่เป็สาวชาวบ้านละแวกชายแดนซีเป่ย หลี่ซวี่ย่อมไม่ทำผิดกฎทหาร มารดาผู้ให้กำเนิดของเด็กคนนี้ย่อมไม่ใช่โสเภณีทหาร หากเป็โสเภณีทหาร เช่นนี้บิดาผู้ให้กำเนิดของเด็กผู้นี้ย่อมไม่ใช่หลี่ซวี่เช่นกัน”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวโหวเหฺยเป็เืเนื้อเชื้อไขของโหวเหฺย เป็... เป็มารดาของเขาตั้งครรภ์สิบเดือนคลอดออกมาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่จงิคุกเข่าลงกับพื้น “ข้าน้อยขอยอมเอาหัวเป็ประกัน ชาติกำเนิดของเสี่ยวโหวเหฺยนั้นบริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าไม่ต้องตื่นเต้น เจิ้นเพียงแค่้าทำความเข้าใจให้มากสักหน่อย” จ้าวหนิงฮ่องเต้ให้เขาลุกขึ้น “หากไม่ใช่โสเภณีทหาร เช่นนั้นเป็ลูกสาวของชาวบ้านชายแดนซีเป่ยใช่หรือไม่?”
“เื่นี้...” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ทั้งสงบนิ่งและพูดจาเรียบเรื่อย แต่ทว่ากลับมีอำนาจบารมีน่าเกรงขาม หลี่จงิไม่กล้าพูด
“เ้าคิดว่าหากเจิ้นพระราชทานสมรสให้ลั่วเอ๋อร์เป็เช่นใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เห็นความลังเลใจของหลี่จงิในสายตา จึงเอ่ยสืบไปว่า “เจิ้นคิดว่าเขาเหมาะสมกับจวิ้นเฉิน อยากจะพระราชทานสมรสให้พวกเขา แต่เจิ้นควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมารดาผู้ให้กำเนิดลั่วเอ๋อร์ให้มากสักหน่อย”
“พระราชสมรสยกคุณชายให้แก่ฉีอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่จงิตกตะลึงพรึงเพริด “แต่...แต่ว่า...”
“เ้ากังวลเื่หลงหยาง[1]หรือ? วางใจเถิด เจิ้นยังไม่คิดมาก เ้าจะกังวลอันใดเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้ ความหมายของข้าน้อยคือ...ความหมายของข้าน้อยคือคุณชายยังเล็กนัก” หลี่จงิใเสียจนเหงื่อไหลเป็น้ำ เขาไม่กลัวทหารนับพันม้านับหมื่น แต่เขาเกรงกลัวฮ่องเต้องค์นี้ ครั้งนั้นเมื่อเขาและหลี่ซวี่เพิ่งไปถึงกองทัพนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้มีชื่อเสียงอยู่ในกองทัพยิ่ง สำหรับท่านอ๋องหนุ่มท่านนี้ พวกเขาย่อมเคารพนับถือและยกย่อง การเชื่อฟังและยอมรับเข้าไปในกระดูกเช่นนั้นมันช่างลึกซึ้งนัก ซ้ำในยามนี้ท่านอ๋องหนุ่มผู้นั้นกลับได้กลายมาเป็ฮ่องเต้แล้ว
“ประทานพระราชทานสมรสเถิด ยังมิใช่แต่งงาน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ “หรือว่าฝ่ายมารดาของลั่วเอ๋อร์มีความลับที่ผิดต่อศีลธรรมจรรยารึ” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามเื่นี้เพื่อทำความเข้าใจเื่มารดาผู้ให้กำเนิดหลี่ลั่ว หากมีความยุ่งยากก็จะได้แก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าที่เขาถามไปโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น กลับถามถึงข้อสงสัยที่ทำให้หลี่จงิหยุดชะงักไม่เอ่ยคำออกมาอีก ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา จ้าวหนิงฮ่องเต้หรี่ตาลง ในแววตานั้นปรากฏความเหี้ยมโหดราวกับพญาอินทรี
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ มารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายเกิดในครอบครัวนายพราน มีครั้งหนึ่งข้าไปล่าสัตว์กับเหล่าโหวเหฺย ด้วยความที่มืดค่ำจนเกินไป จึงได้ขอพักอาศัยอยู่ในบ้านนายพรานคืนหนึ่ง เหล่าโหวเหฺยจึงได้รู้จักกับคนผู้นั้นครั้งแรกที่นั่น ต่อมาจึงรู้ว่าบิดามารดาของคนผู้นั้นตายหมดแล้ว ในบ้านมีเขาเพียงคนเดียว แต่เสี่ยวโหวเหฺยเป็คนๆ เดียวกันกับเขาเมื่อใดนั้น ข้าน้อยกลับไม่รู้เื่พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอนใจโล่งอก หญิงสาวที่ดีย่อมไม่นัดพบชายหนุ่มลับหลัง แต่ว่าคนได้ตายไปแล้ว จะให้พูดอันใดได้อีก “ในเมื่อเจิ้นรู้แล้ว เ้าก็กลับไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จงิออกจากวังหลวง พบว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งชุดของตนเปียกชุ่มไปหมด คำพูดของฝ่าาหมายความว่าอย่างไร? เหตุไฉนจึงต้องพระราชทานสมรสให้คุณชายและฉีอ๋อง เื่ที่ทั้งสองคนต่างเป็ผู้ชายนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่คุณชายเพิ่งจะอายุได้ห้าขวบ? หรือว่าฝ่าาจะล่วงรู้ถึงความลับของชาติกำเนิดของคุณชายแล้ว?
เป็ไปไม่ได้ ความลับนั้นมีเพียงเขาและเหล่าโหวเหฺยเท่านั้นที่รู้ เหล่าโหวเหฺยจากไปแล้ว ในโลกนี้ไม่มีทางที่คนที่สามจะรู้ได้ ทว่าคำพูดของฮ่องเต้ ไฉนเขาจึงไม่เข้าใจ
ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบหาตัวคุณชายให้พบโดยเร็วที่สุด ต้องบอกเื่นี้กับคุณชาย และต้องบอกเื่เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคุณชายด้วย
แม้ว่าจะมีการคำนวณดวงชะตาของก่วงฉือไต้ซือมาแล้วว่าหลี่ลั่วไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากที่ได้รู้ข่าวคราวของหลี่ลั่วจริงๆ ใจของกู้จวิ้นเฉินถึงจะสามารถสงบนิ่งลงได้ หลายวันมานี้เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาหยุดเต้น
เมื่อยามที่เห็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าแบบธรรมดาสามัญคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้าน กู้จวิ้นเฉินรอไม่ไหวแล้ว “เตรียมม้า ออกเดินทางทันที” พูดแล้วจึงถามชายหนุ่มผู้นั้น “เ้าขี่ม้าเป็หรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ข้าน้อยขี่ม้าไม่เป็พ่ะย่ะค่ะ...ข้าน้อยขี่ม้าไม่เป็”
“จวิ้นอี เ้าพาเขาไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“องครักษ์ทั้งห้าออกเดินทางพร้อมกัน พ่อบ้านไปบอกจวนว่าการและทหารม้าห้าเมืองให้พวกเขาสลายตัว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังทหารจากทหารม้าห้าเมืองและจวนว่าการสลายตัว ทางวังหลวงก็ได้รับข่าวนี้ หลี่ลั่วถูกชาวบ้านช่วยเอาไว้ ช่างเป็ข่าวที่น่ายินดียิ่งนัก จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดในใจ เด็กน้อยห้าขวบคนหนึ่ง ลอยไปตามน้ำหนึ่งคืน ยังสามารถถูกช่วยกลับมาโดยไม่เสียหายอันใด ช่างเป็คนที่ชะตาชีวิตดียิ่งนัก
ยามนี้ เขาพลันคิดถึงคำพูดของก่วงฉือไต้ซือ หงส์ัขับขาน ์กำหนด เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในราชสำนักในเวลานี้ จ้าวหนิงฮ่องเต้พลันบังเกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
“ต้าไห่ เขียนราชโองการ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ประทานราชโองการ ฮ่องเต้พระราชทานสมรส จงหย่งโหว หลี่ลั่ว เป็พระชายาเอกในฉีอ๋อง กู้จวิ้นเฉิน หลังจากหลี่ลั่วอายุครบสิบห้าปีให้กำหนดวันเข้าพระราชพิธี สิ้นสุดราชโองการ” ไห่กงกงกลายเป็หินไปเสียแล้ว ฝ่าาผู้สูงศักดิ์ของข้า หากท่านยังเอาแต่ก่อกวนเช่นนี้ละก็
“จวิ้นเฉินออกจากเมืองหลวงแล้ว ลั่วเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ รีบไปจวนฉีอ๋องและจวนจงหย่งโหวส่งราชโองการเถิด” รอให้หลังจากพวกเขากลับมา ทุกอย่างก็ได้กำหนดจุดจบไว้แล้ว
การดูดวงชะตาของก่วงฉือไต้ซือ จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่เชื่อไม่ได้เช่นกัน
เมื่อพระราชโองการถูกส่งออกไป ทั่วทั้งเมืองหลวงก็สั่นคลอน
สองวันต่อมา
กู้จวิ้นเฉินไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน เขาควบม้าเข้ามาในหมู่บ้านที่ห่างไกลยิ่ง ค่อยๆ ลดความเร็วลง ตามชายหนุ่มมาถึงหน้าบ้านเรือนที่แสนเรียบง่ายของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะราวกับเสียงระฆังเงินของเด็กน้อยที่ลอยออกมาจากข้างใน แต่เสียงหัวเราะของเด็กน้อยกลุ่มนั้น เขาสามารถแยกแยะออกได้อย่างชัดเจนว่าเสียงไหนเป็เสียงของเ้าสารเลวตัวเล็กที่อยู่ในใจของเขา
กู้จวิ้นเฉินพลิกตัวลงจากม้า หัวใจไม่เคยเต้นเร็วเช่นนี้มาก่อน
หลี่ลั่วกำลังเล่นลูกบอลกับเด็กพวกนั้นด้วยกัน เป็ลูกบอลที่ท่านน้าใช้เสื้อผ้าที่ชำรุดแล้วมาทำ เด็กน้อยหลายคนเตะไปเตะมาเป็การฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่แผดเผาราวกับไฟที่จับจ้องมองมา หลี่ลั่วค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาสดใสคู่นั้นเบิกกว้างทันที แววตาพาดผ่านไปด้วยความยินดี ชัดเจนยิ่งนัก นาทีถัดมา ร่างเล็กๆ ของเขาก็วิ่งเข้ามา “ท่านพี่ฉีอ๋อง”
ตลอดมาเขาไม่เคยสงสัยอันใดในตัวคนผู้นี้ เขาเชื่อเหลือเกินว่าเขาจะต้องมาอย่างแน่นอน
กู้จวิ้นเฉินอ้าแขนทั้งสองข้างออก อุ้มเ้าลูกะเิน้อยๆ ที่พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของเขา “ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมาแน่นอน” เขาฟังเ้าสารเลวตัวน้อยใช้น้ำเสียงดีอกดีใจพูดอย่างยินดี
“อืม” กู้จวิ้นเฉินทำหน้าเ็า พูดออกมาเพียงคำเดียว
หลี่ลั่วกะพริบตาปริบๆ นี่เป็การพบกันหลังจากการจากกันในชั่วระยะเวลาสั้นๆ น้ำเสียงเช่นนี้ช่างเ็านัก แต่ไม่เป็ไร เขามีหัวใจที่อบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ “ท่านพี่ฉีอ๋อง หลายวันมานี้ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านมีคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?” แก้วตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ไม่มี” กู้จวิ้นเฉินตอบ
จวิ้นอีและคนอื่นๆ ทำราวกับว่าไม่ได้ยินคำตอบนายท่านของตน แต่ต่างก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง ไม่มีหรือ? เมืองหลวงแทบจะถูกพลิกตลบออกมาแล้ว
หลี่ลั่วฟังแล้วรู้สึกไม่ยินดี คนผู้นี้แม้แต่คำพูดปลอบประโลมใจผู้อื่นก็พูดไม่เป็เช่นนั้นหรือ หากไม่มี แล้วจะเร่งเดินทางมาจนฝุ่นตลบหรือไร? เฮ้อ...แม้ในใจจะเข้าใจแต่ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะไม่คิดถึงท่านเช่นกัน”
กู้จวิ้นเฉินชะงัก “เพราะเหตุใด?”
“คิดอยู่เพียงแค่ฝ่ายเดียว เสียเปรียบเพียงใดเล่า” ตลอดมาหลี่ลั่วไม่เคยเสียเปรียบ ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือคำพูด
กู้จวิ้นเฉินนั่งยองๆ สบตาระดับเดียวกันกับหลี่ลั่ว ดวงตาลุ่มลึกของเขาราวกับพูดจาได้ เขามองหลี่ลั่วนิ่งๆ จากนั้นริมฝีปากบางๆ ของเขาก็ค่อยๆ ขยับ “เปิ่นหวางยุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิด” หรือว่าฉีอ๋องจะไม่เคยพูดความในใจของตนกับผู้อื่นกันนะ ติ่งหูของเขาค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมาแล้ว
หลี่ลั่วแปลกใจยิ่งนัก จากนั้นจึงหัวเราะออกมา ดวงตาวาวใสทั้งคู่มองเขา คนผู้นี้ แม้ว่าน้อยนักที่จะใช้คำพูดมาแสดงความคิดของตน แต่การกระทำนั้นจะกระทำอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสมอ หลี่ลั่วซุกเข้าไปในอ้อมกอดเขา ใบหน้าเล็กๆ แนบไปกับแผงอกของกู้จวิ้นเฉิน “ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายเสียแล้ว หลายวันมานี้นอนไม่หลับ กินไม่อิ่ม สวมใส่อาภรณ์ไม่ดี แล้วยังมียุงกัดข้าอีก” พูดแล้ว หลี่ลั่วก็เลิกแขนเสื้อของตนขึ้นมา แขนเล็กๆ ขาวผ่องปรากฏจุดแดงๆ ให้เห็น “ท่านดูสิ ข้าคันจะตายอยู่แล้ว พูดแล้วเขาก็เลิกอาภรณ์ของเขาขึ้นมา ท้องเล็กๆ กลมๆ นั้นก็มีรอยที่ถูกยุงกัดจนเป็ตุ่มแดงๆ
กู้จวิ้นเฉินมองเห็นอาภรณ์หยาบๆ ที่อย่างไรก็บดบังรัศมีของเด็กน้อยที่ส่องประกายความสดใสเอาไว้ไม่ได้ มองเขาระบายความในใจและเอ่ยถึงความยากลำบากของตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก “กลับบ้านเถิด นอนเตียงที่สบายที่สุด กินของว่างของห้องเครื่อง สวมอาภรณ์ผ้าไหม มีสาวใช้ค่อยปัดยุงให้เ้า ให้เมิ่งเต๋อหลางเทียบยาน้ำไล่ยุงให้เ้า”
“อื้ม”
กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้น ทว่ากลับพบว่าเด็กน้อยไม่ยอมเดิน “เป็อันใดเล่า?”
หลี่ลั่วกางแขนทั้งสองข้างออก “อุ้ม”
กู้จวิ้นเฉินอุ้มหลี่ลั่วขึ้นหลังม้า “ย่าห์...”
หลี่ลั่วหันหน้าไปโบกมือให้กับบ้านหลังนั้น “ท่านน้า เสี่ยวโก่วต้าน เสี่ยวเมาเจี่ย มีเวลาว่างก็ไปเล่นกับข้าที่จวนฉีอ๋องนะ”
“เ้าเป็ของจวนจงหย่งโหว” กู้จวิ้นเฉินท้วงติง ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข
“จริงหรือ?” หลี่ลั่วไม่โต้แย้ง ริมฝีปากเล็กๆ ของเขาเชิดขึ้น “ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านต้องขี่ม้าช้าลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ ก้นของข้านุ่ม ข้ากลัวเจ็บ”
กู้จวิ้นเฉินกำมือที่ถือสายบังเหียนเอาไว้แน่น มีความรู้สึกอยากจะจับเ้าสารเลวตัวน้อยโยนลงจากหลังม้าในทันทีทันใด
[1] หลงหยาง (龙阳) เป็คำที่ใช้เรียกแทนชายหนุ่มที่รักเพศเดียวกันในสมัยโบราณ