ร่างสูงของนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ยืนทอดสายตามองไปทั่วบริเวณใต้ตึกเรียนของคณะศิลปกรรมฯที่มีนักศึกษามากมายเดินสวนกันไปมา รองเท้าหนังราคาแพงเคาะลงบนพื้นเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง ไม่นานนักร่างบางของใครบางคนที่เขารอคอยอยู่ก็ปรากฏขึ้นในสายตา ปลื้มจับจ้องสายตาไปยังแทนที่กำลังเดินคุยกับเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็อย่างดีอยู่ และเมื่อหญิงสาวที่เดินคู่มากับร่างบางมองเห็นเขาก็รีบสะกิดเพื่อนตัวเองให้หันมามองทางเขาทันที แทนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะเดินแยกตัวออกไป
“เดี๋ยวแทน” ร่างสูงเอ่ยเรียกร่างบางหวังให้อีกคนได้ยินและหยุดเดินแต่อีกฝ่ายก็แกล้งทำเป็หูทวนลมเดินหายไปกับฝูงชน ในที่สุดก็คาดสายตาของเขาไปจนได้
เดินหนีกันอีกแล้ว...
แต่จะโกรธอีกฝ่ายก็ไม่ได้หรอกเขาเองก็เคยทำตัวไม่น่ารักแบบนี้กับเหมือนกันนี่นา ชีวิตเขาในตอนนี้มันคงอยู่ใน่กรรมตามสนองสินะ
“เฮ้อ...” ร่างสูงรอบถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนจัดตัดสินใจก้าวขาเดินไปในทิศทางเดียวกับที่แผ่นหลังบางนั้นหายไปจากสายตาแต่ก็ถูกมือของใครบางคนรั้งเอาไว้เสียก่อน “ขิม?”
“ไม่ต้องตามไปหรอก” หญิงสาวเอ่ยบอกกับปลื้ม
“?”
“ยิ่งตามมันก็จะยิ่งหนี เชื่อสิ”
สักครู่นี้ก่อนที่จะแยกกันแทนบอกกับเธอว่าฝากบอกให้ปลื้มเลิกมาหาหรือตามตอแยสักที เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่กลับไปยุ่งกับปลื้มอีกแล้ว แต่เธอก็รู้ว่าที่เพื่อพูดออกมาน่ะปากไม่ตรงกับใจทั้งนั้นเลยไม่ได้ส่งสารที่เพื่อนฝากมาบอกให้อีกคนฟัง แต่ก็ยังเห็นใจเพื่อนจึงรั้งตัวปลื้มไว้ไม่ให้เดินตามไป
“แล้วต้องทำอย่างไงถึงจะได้คุยกับแทน”
“ทำใจ”
“...”
“...” ขิมยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของอีกคน หล่อเสียเปล่า พอโดนเมินเข้าหน่อยก็หงอยเป็หมาเชียวพอหนุ่มฮอตคณะรัฐศาสตร์ “พยายามเข้านะ” ถึงเธอจะแอบเชียร์ปลื้มอยู่ในใจแต่เธอก็ต้องเข้าข้างแทนที่เป็เพื่อนมากกว่า
“มีคำแนะนำที่ดีกว่าทำใจมั้ย”
“ง้อไอ้แทนมันต้องอดทน เพราะมันหายงอนยากมากกกกก” ขิมลากเสียงยาว “ทำกับมันไว้ ก็ใช้คืนให้มันหน่อยแล้วกันนะ” หญิงสาวเอ่ยทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะแยกตัวเดินจากไปบ้าง
ปลื้มยืนนิ่งอยู่กับที่พักหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเองที่ยืนรออยู่ด้านนอกตัวตึก เขาหันกลับไปมองที่ด้านหลังอีกครั้งหวังว่าจะได้เห็นอีกคนในสายตาแต่มันก็เป็เพียงการคาดหวังที่ลมๆแล้งๆเท่านั้น
“หูลู่หางตกมาเลยเพื่อนกู” พีคเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นสภาพที่ห่อเหี่ยวของเพื่อนสนิท
“รอบนี้ไม่เจอหรือเขาเดินหนีอะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามาเป็เพื่อนปลื้มเพื่อดักรอเจอแทนที่คณะ แต่เป้าหมายที่ปลื้มตั้งใจมาหาก็มักจะหลบหน้าหลบตาปลื้มไปได้ทุกครั้งเหมือนอย่างที่ปลื้มเองก็เคยทำกับแทนเช่นกัน ใน่แรกที่ปลื้มขอให้ช่วยพวกเขาก็เลือกที่จะช่วยไม่มากเพราะคิดว่าปลื้มควรพยายามด้วยตัวเองเหมือนที่แทนทำ แต่พอเห็นเพื่อนหงอยเหมือนหมามันก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้
“เดี๋ยวกูโทรหาทิมมี่แป๊ป” จีนบอกก่อนจะเดินแยกตัวออกไปไม่ไกลนักเพื่อคุยโทรศัพท์
(ไงครับที่รัก) รอไม่นานปลายสายก็กดรับ
“ที่รักเหี้ยไร ใครเขาที่รักมึง”
(เคลิ้มให้กันหน่อยก็ไม่ได้) คนที่อยู่ปลายสายเอ่ยขึ้นอย่างตัดพ้อ
“อยู่ไหน” แต่จีนก็ไม่ได้สนใจความไร้สาระนั้นเลย
(อยู่ในใจเสมอฮู้บ่)
“เพื่อนเล่นมึงหรอ” ขยันทำตัวให้น่าหงุดหงิดตลอดถ้าคบกันไปจริงๆจีนคงไม่พ้นเป็ไมเกรนทุกวันเป็แน่
(ถ้าเธอให้ฉันเป็เพื่อนเล่น อย่าเล่นเกินกว่านั้นได้ไหม ถ้าฉันเล่นเกินเส้นไป เธอรับได้ไหม)
“มึงรู้ว่ากูจะถามอะไรถึงได้กวนตีนเพื่อให้กูวางสายใช่มั้ย” คนตัวเล็กเอ่ยอย่างรู้ทัน
(ผมเปล่านะ)
“ถ้าไม่อยากคุย มึงก็ควรไม่รับสายกูั้แ่แรกนะ”
(เฮ้ย อย่าคิดแบบนั้นดิ) อีกฝ่ายเริ่มร้อนร้นเมื่อได้ยินคนตัวเล็กพูดจาเหมือนกำลังรู้สึกน้อยใจ
“ขอโทษที่รบกวนแล้วกัน”
(จีน เดี๋ยว ห้ามวางนะ) ปลายสายเอ่ยอย่างกระวนกระวายในขณะที่คนที่คนตัวเล็กพยายามกลั้นยิ้มขำอยู่
“...”
(จีนค้าบ ยอมแล้วครับ)
“อยู่ไหน”
(ไม่บอกเป็สถานที่ได้มั้ยมันจะดูทรยศเพื่อนเกินไป)
“งั้นอยากบอกอะไรก็บอกมา”
(กินข้าวเปิ้บอยู่)
“ร้านไหน”
(ก็บอกว่าไม่อยากทรยศเพื่อน)
“โอเค”
(เดี๋ยวๆ)
“อะไร”
(ไม่งอนใช่ป่ะ)
“มึงเห็นกูเป็คนขี้งอนขนาดนั้นเลยหรอไง กูรู้ว่ามึงก็ต้องเข้าข้างเพื่อนมึง ช่วยแค่นี้ก็ขอบใจมึงมากแล้ว น่ารักมาก”
(ฮะ! มึงว่า....)
ติ๊ด!
นิ้วเรียวกดตัดสายก่อนที่อีกคนจะพูดจบ ดวงตากลมจับจ้องไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นรายชื่อที่ถูกบันทึกเอาไว้ก่อนจะเผยยิ้มออกมา ความรู้สึกของจีนที่มีให้อีกฝ่ายตอนนี้เหมือนจะเลยคำว่าหวั่นไหวไปไกลแล้วสิ
มันเหมือนกับว่าจะเผลอชอบเข้าให้แล้วจริงๆ
“ไปกินข้าวกัน” โอเมก้าตัวเล็กเดินกลับไปหาเพื่อนทั้งสามคน
“กินที่ไหน” เก่งเองก็เริ่มหิวแล้ว
“พวกทิมมี่อยู่ไหน”
“ไม่รู้สิ แต่มึงรู้จักร้านที่ขายข้าวเปิ้บมั้ย กูอยากกิน” จีนหันไปบอกกับปลื้ม
“ข้าวเปิ้บอย่างนั้นหรอ” นั่นมันเป็อาหารที่แทนเคยพาเขาไปกินนี่นา
“ข้าวเปิ้บคืออะไรวะ” พีคไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
“รู้ดิ รู้ดีเลยด้วยว่าร้านไหนอร่อย”
ใช้เวลาไม่นานเพื่อนรักทั้งสี่คนก็เดินทางมาถึงร้านอาหารที่แทนเคยพาปลื้มมา ร่างสูงเอ่ยสั่งเมนูที่เคยมากินกับป้าเ้าของร้าน ก่อนจะเดินนำเพื่อนเข้าไปนั่งรอด้านใน อัลฟ่าหนุ่มกวาดสายตามองไปทั่วร้านแล้วหยุดลงที่โต๊ะยาวตัวหนึ่งที่มีคนกลุ่มใหญ่กำลังนั่งอยู่
“เชี่ยมาได้ไงวะ” เสียงของบาสดังขึ้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับชายหนุ่มสี่คนที่คุ้นหน้าค่าตากันเป็อย่างดี
“ใครวะ”
“พวกมึงอย่าพึ่งหันไป”
และแน่นอนว่าทุกครั้งที่มีคนเอ่ยประโยคนี้ออกมาการกระทำของเพื่อนในกลุ่มมักจะตรงข้ามเสมอ ทั้งโต๊ะพร้อมใจกันหันไปมองในทิศทางที่บาสกำลังจับจ้องไม่เว้นแม้แต่แทนเองก็ยังอยากรู้ด้วยเช่นกัน คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของใครบางคนที่กำลังมองมาทางพวกเขา
“อิทิมมี่” เจสซี่กดเสียงต่ำพร้อมกับยกมือขึ้นมาหยิกสีข้างของเพื่อนสนิทจนอีกคนนั้นต้องตัวงอด้วยความเจ็บ
“กูเปล่านะ” ชายหนุ่มรีบเอ่ยปฏิเสธ
“ไม่ใช่มึงแล้วจะใคร กูเห็นนะที่อิน้องจีนโทรหามึงอะ”
“แต่กูสาบานได้เลยว่ากูไม่ได้บอกว่าเราอยู่ไหน” บอกแค่ว่ากินข้าวเปิ้บอยู่ก็เท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่าแม่งจะมาถูกร้านล่ะวะ
“เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” แทนเอ่ยบอกกับเพื่อนร่วมโต๊ะ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินแยกตัวออกไปยังด้านหลังร้านที่มีห้องน้ำไว้สำหรับบริการลูกค้า ปรรณกรเปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนชักโครกอย่างใช้ความคิด ทั้งที่พยายามหนีแล้วทำไมยังต้องมาตามตื๊อกันแบบนี้ด้วย เขาบอกว่าอยากพอแล้วไม่ฟังบ้างเลยหรือไง
แขนเรียววางตั้งศอกกับหน้าขาของตัวเองพร้อมกับมือขาวที่กุมขมับของตัวเองเอาไว้ ทั้งที่เฝ้าบอกตัวเองว่าให้ตัดใจได้แล้วแต่ใจเ้ากรรมแม่งก็ยังเสือกเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของอีกคน แค่เห็นหน้าใจก็อ่อนไปขนาดนี้แล้วถ้าอีกคนเปิดปากพูดเขาคงพร้อมจะเดินกลับไปอย่างไม่คิดอะไรเลยแน่นอน เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าทำไมถึงต้องแพ้ให้กับคนคนนี้ตลอด
ปลื้มที่มองร่างบางมาั้แ่เข้าร้านพอเห็นอีกคนแยกตัวไปเขาก็รีบลุกขึ้นและเดินตามอีกคนไปโดยไม่ได้บอกอะไรเพื่อนเลย ทิ้งให้ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ร่างสูงหยุดยืนอยู่ด้านหน้าห้องน้ำเสียงด้านในยังคงเงียบเขาคิดว่าแทนคงไม่ได้จะเข้ามาทำธุระอะไรในนี้หรอกเพียงแค่อยากหลบหน้าเขามากกว่า
แกร๊ก...
ไม่นานบานประตูห้องน้ำก็เปิดออก พร้อมกับร่างของใครบางคนที่ก้าวออกมา แทนเห็นว่ามีเงาคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูก็เข้าใจว่าคงจะเป็ลูกค้าสักคนในร้านที่้าจะมาทำธุระส่วนตัวแต่พอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็ใครขาเรียวก็ก้าวถอยหลังกลับเข้าไปอีกครั้ง
ตึ่ง!
ยังไม่ทันที่แทนจะได้ปิดประตูอย่างที่ใจนึก ฝ่ามือหนาก็ดันประตูห้องน้ำเอาไว้พร้อมกับแทรกตัวเข้าไปด้านใน เขาใช้มือข้างเดิมผลักประตูให้ปิดลงแล้วใช้แขนข้างที่ว่างเกี่ยวเข้ากับเอวบางก่อนจะหมุนตัวอีกคนให้ไปยืนชิดอยู่ฝั่งประตูและใช้แผ่นหลังบางดันประตูเอาไว้ไม่ให้เปิดออก
ดวงตากลมโตเบิกกว้างนิดหน่อยด้วยความใเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะค่อยๆปรับเป็แววตาเรียบเฉยขึ้นเมื่อได้มองหน้าของอีกคนใกล้ๆ ปลื้มพยายามมองเข้าไปในดวงตาของแทนแต่สายตาว่างเปล่าที่ได้รับกลับมานั้นมันทำให้เขาปวดใจไม่น้อย แขนหนาทั้งสองข้างโอบรอบเอวบางเอาไว้ ใบหน้าหล่อซบลงกับลาดไหล่แคบ เปลือกตาหนาปิดลงพร้อมกับริมฝีปากหยักที่เริ่มพึมพำคำพูดออกมา
“คิดถึง”
“...”
“โคตรคิดถึงมึงเลยว่ะ”
แทนยืนนิ่งให้อีกคนกอดเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาหรือไม่ได้พยายามดิ้นให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมแขนของอีกคน เพราะการที่ยืนนิ่งๆเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรนั้นดูใจร้ายมากกว่าการพยายามบอกให้อีกคนปล่อยตัวเขาออกเสียอีก
แม้ในใจจะอยากบอกกลับไปว่าคิดถึงไม่ต่างกันแต่เขาก็ต้องสะกดกลั้นทุกอย่างเอาไว้
“ไม่หนีกันแล้วได้มั้ย” เสียงทุ้มฟังดูเหนื่อยล้ากว่าทุกครั้งที่เคยคุยกัน “รู้ตัวแล้วว่าผิด”
“...”
“ขอโทษครับ”
“...”
“แทนปลื้มขอโทษนะ” รู้อยู่เต็มอกว่าคำขอโทษไม่ได้ช่วยอะไรแต่ก็ยังคาดหวังให้มันช่วยทำให้อีกคนใจอ่อนลงได้บ้าง
“แค่นี้ใช่มั้ยที่จะพูด” ในที่สุดร่างบางก็ยอมเอ่ยปากพูดออกมาสักที มุมปากหยักยกยิ้มโดยที่ใบหน้าหล่อยังคงซุกซบอยู่ที่ไหล่บางเช่นเดิม
แค่ได้ยินเสียงใจแม่งก็ฟูแล้วว่ะ
“กูผิดไปแล้ว กูไม่น่าพูดแบบนั้นกับมึงเลย ทั้งที่รับปากไว้แล้วแท้ๆว่าอะไรที่เป็มึงกูก็รับได้ทั้งนั้น” คำพูดของปลื้มเหมือนไปสะกิดแพ้ในใจของแทนให้เปิดออกทั้งที่มันกำลังจะตกสะเก็ดแล้วเชียว
“แค่เป็มึงจะแบบไหนกูก็ยอมรับมึงได้ทั้งนั้นแหละ”
นั่นสิทั้งที่เป็คนพูดออกมาเอง แต่ก็ยังจะดูถูกกันเหมือนกับคนอื่นๆอยู่ดี
“ปล่อย”
“ไม่จนกว่ามึงจะยอมกลับมาเป็เหมือนเดิม”
“กูก็กำลังทำให้เราเป็เหมือนเดิมอยู่นี่ไง” เมื่อได้ยินร่างบางเอ่ยออกมาแบบนั้นร่างสูงก็รีบผละใบหน้าออกมาสบตากับอีกคนทันที ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มดีใจออกมาจนลักยิ้มที่อยู่ข้างแก้มบุ๋มลึกลงไป
ปลื้มแม่งขี้โกงชะมัด
“จริงนะ”
“กลับไปเป็คนที่ไม่รู้จักกันเหมือนเดิมไง” มือบางผลักแผ่นอกกว้างเต็มแรงจนอีกคนเซถอยไปด้านหลัง ก่อนจะใช้จังหวะนั้นเปิดประตูห้องน้ำออกแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าวะ กูเห็นไอ้ปลื้มเดินตามมึงไป”
“ไม่มี” แทนหันไปตอบบาสก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดนู่นนี่เล่นเหมือนไม่้าที่จะพูดถึงเื่นี้อีก
ไม่ใช่ว่าแทนอยากจะให้เื่มันเป็แบบนี้นักหรอก เพียงแต่เขาแค่หวาดกลัว กลัวว่าถ้ากลับไปอยู่ในจุดเดิมเวลาที่ปลื้มโมโหหรือไม่พอใจอะไรก็จะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจกันอีก
ถ้าเป็คนอื่นที่ใช้คำพูดทำร้ายกันแทนคงจะไม่เจ็บมากสักเท่าไรเพราะอย่างไงเขาก็รู้จักเราจากคำพูดของคนอื่นและตัดสินเราจากสิ่งที่เขาได้รับฟังมาข้างเดียว แต่พอเป็คนที่สำคัญกับหัวใจคนที่เราแสดงทุกอย่างที่เป็เราให้เขาเห็นทั้งหมดมาพูดแบบนั้นมันย่อมเ็ปกว่าหลายเท่าเพราะมันอดจะคิดไม่ได้ว่าหรือเราจะเป็อย่างที่เขาพูดจริงๆ
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ระหว่างปลื้มกับแทนจะตึงเครียดมากแค่ไหนแต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนทั้งสองกลุ่มนั้นยังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิม พวกเขายังคงนัดเจอกันบ้างเป็บางโอกาสและนัดเตะฟุตบอลกันเหมือนปกติ วันนี้เองก็เช่นกัน ปลื้มวางกระเป๋าเป้ที่มักแบกมาด้วยเสมอตอนมาเล่นฟุตบอลลงบนพื้นใกล้ตัวก่อนจะหันไปมองทางกลุ่มของแทน เขาเห็นร่างบางนั่งคุยกับเพื่อนอยู่
มือหนาหยิบเจลประคบเย็น ยานวดแล้วก็ผ้ายืดออกมาจากในกระเป๋า เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาร่างบางแล้วยื่นมันไปตรงหน้าของอีกคน แทนมองของที่อีกคนถืออยู่ในมือก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ยืนอยู่
“กูเอามาให้”
“ไม่เอา”
“จะได้ไม่ปวดเข่าตอนวิ่งเสร็จ”
“ไม่ปวด” แทนเถียง
“อย่าดื้อได้มั้ย” ปลื้มเริ่มดุเมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่ยอมรับของออกไปจากมือของเขา
“กูไม่ได้ดื้อ แล้วที่กูไม่เอาก็เพราะว่ากูไม่ได้เตะแค่มานั่งดูเฉยๆ” นั่นหมายความว่าแทนไม่มีความจำเป็อะไรที่จะต้องใช้ของที่ปลื้มเอามาให้เลย
“น่าสงสารฉิบหาย”
“อุตส่าห์แบกมาให้เขา” พีคกับบาสที่ยืนกอดคอกันอยู่ได้แต่เอ่ยออกมาด้วยความเห็นใจ
“คุยไรกันอยู่ว่ะ”
“เฮ้ย! ไอ้ปลื้ม!” บาสสะดุ้งตัวใเมื่อเห็นว่าปลื้มยื่นหน้าโผล่ออกมาจากไหล่ของเขา เมื่อกี้แม่งยังยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลยไม่ใช่หรอวะ แล้วมาตรงนี้ั้แ่เมื่อไรเนี่ยไอ้เหี้ย
“No, I’m not Pluem”
“นี่ไอ้ปลาบ แฝดพี่ของไอ้ปลื้ม” เก่งที่เดินตามหลังปลาบมาเอ่ยบอกกับบาสที่ยังคงทำหน้าใอยู่
“ฝาแฝดแม่งจำเป็ต้องเหมือนกันขนาดนี้เลยหรอวะ”
“ไม่เหมือนนะ กูหล่อกว่ามันนิดหนึ่ง” ปลาบบอกพลางยกมือขึ้นมาทำท่าประกอบคำพูดว่านิดหนึ่งของตัวเอง
“อิเจส” ขิมสะกิดแขนของเพื่อนสนิท “ทำไมมีปลื้มสองคนวะ” เจสซี่หันไปตามนิ้วชี้ของเพื่อนก่อนจะเห็นว่ามีใครคนหนึ่งที่หน้าเหมือนกับปลื้มกำลังยืนคุยกับพวกพีคอยู่
“คนนี้ปลื้ม”
“...”
“แต่คนนั้นไม่ใช่ปลื้ม”
“มึงรู้ได้ไงวะ” สกาวฟ้าถามขึ้นด้วยความสนใจ
“กูเคยเจอมันเมื่อวันเสาร์ ตอนแรกก็คิดว่าเป็อิปลื้มนี่แหละเลยเดินเข้าไปทักตามประสาคนรู้จักมักจี่ ที่ไหนได้ไม่ใช่ แถมแม่งยังโวยวายหาว่ากูไปแต๊ะอั๋งมันอีก อิดอก มั่นมาก คนสวยๆแบบกูน่ะหรอจะไปแต๊ะอั๋งผู้ชายก่อน”
“เอ้าไม่ใช่หรอ กูว่าเขาก็เข้าใจถูกแล้วนะ”
“เอ๊ะอินี่ กูไม่ใช่คนที่ชอบคุกคามคนอื่นนะคะ”
“แต่ลุคมึงให้มากนะ”
“อย่าตัดสินคนจากภายนอกมึงไม่เคยได้ยินหรอ”
“แล้วมึงทำยังไง”
“ก็ไม่ทำอะไร เดินหนีแม่งเลย แต่ก็เสือกตามกูมาอีกบอกจะพาไปหาตำรวจวุ่นวายมาก กูเลยโทรหาอิน้องจีนแล้วให้ยืนยันว่ากูรู้จักกับอิปลื้มจริงๆถึงรอดชีวิตมาได้ ปวดหัวไม่ไหว”
“พรหมลิขิตป่ะเนี่ย” สกาวฟ้าว่าพลางเบียดตัวกระแซะเข้าหาเจสซี่
“กรรมลิขิตน่ะสิ บอกกูว่าเป็คู่เวรคู่กรรมยังน่าเชื่อมากกว่า”
“ฮ่าฮาฮ่า อิเหี้ยขำไม่ไหว”
“มองอะไรนี่หล่ออะดิ” ปลาบที่เหลือบตาไปเห็นเจสซี่พูดขึ้น
“ภัยความมั่น”
“รู้จักกันหรอวะ” พีคหันไปถามปลาบ
“ไม่เชิงอะ เคยเจอกัน เขาเข้าใจว่ากูเป็ไอ้ปลื้มเลยเดินเข้ามาทัก”
“เป็กูก็คงทักผิดเหมือนกัน” บาสบอก เล่นเหมือนกันขนาดนี้ใครจะไปแยกออกวะ
“ว่าแต่มึงชื่อไรเนี่ย”
“ไอ้นี่ชื่อบาส เพื่อนไอ้แทนที่น้องมึงตามง้อเป็หมาอยู่น่ะ”
“บอกเพื่อนมึงอย่าใจแข็งมากดิวะ สงสารน้องกูหน่อยหงอยเป็หมาขี้เรื้อนเชียว”
“แค่หมาธรรมดาก็แย่แล้วมึงยังจะให้น้องมึงเป็ขี้เรื้อนอีกหรอ”
“อ่าฮะ ความหมั่นไส้ส่วนตัวล้วนๆ”
“เื่นี้กูช่วยอะไรไม่ได้เลยว่ะ”บาสบอกพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างเนือยๆ
หลังจากวันนั้นปลื้มก็ยังคงไม่ย่อท้อที่จะตามง้อแทน เขาสรรหาสารพัดวิธีมาใช้เพื่อทำให้อีกคนใจอ่อนแต่ก็เดินคอตกกลับไปหาเพื่อนทุกรอบ ไม่ว่าจะเป็ซื้อดอกไม้ไปง้อตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกที่แทนยอมรับคิดว่าคงพอมีหวังขึ้นมาบ้างแล้วแต่ที่ไหนได้อีกคนกลับเดินเอาไปให้ป้าแม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดอยู่แล้วบอกสุขสันต์วันเกิดนะครับ ซื้อน้ำไปให้แทนก็ไม่ยอมแตะมันเลยสักหยด รีบไปที่โรงอาหารคณะศิลปกรรมฯเพื่อไปต่อแถวซื้อข้าวร้านโปรดให้แทนก็โดนเขี่ยจานทิ้งแถมอีกคนยังเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินแทนต่างหาก
“เฮ้อ...” ปลื้มถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เหมือนคนที่หมดหนทางมืดมนไปทั้งแปดด้าน
“เอาน่า” จีนตบบ่าของเพื่อนสนิทเพื่อให้กำลังใจ
“กูหมดปัญญาจะตามง้อแล้วนะมึง วิธีไหนก็ไม่เวิร์คสักวิธี”
“แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นความจริงใจของมึงนะ คิดในแง่ดีเข้าไว้” เก่งให้กำลังใจเพื่อนอีกแรง
“วิธีง้อมึงมันอาจจะธรรมดาไป มึงลองคิดวิธีที่มันพิเศษง้อครั้งเดียวแล้วประทับใจลืมไม่ลงดูดิ”
คำแนะนำของพีคทำให้ปลื้มต้องนั่งนิ่งเพื่อนึกถึงวิธีง้อแบบที่ว่า ก่อนในหัวจะผุดนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้
“มึงเคยได้ยินเื่เขียนชื่อของคนที่ชอบบนดาวมั้ย”
“ไม่เคยอะ”
“กูเคยได้ยินมาว่าถ้าเราเขียนชื่อคนที่เราชอบกับดาวบนท้องฟ้าแบบที่วาดเป็ราศีได้ เราจะสมหวัง”
“กูรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
“ขอบใจทีนมากนะ” ร่างสูงหันไปบอกคนอายุน้อยกว่าที่ยืนกอดอกพิงประตูห้องนอนของพี่ชายตัวเองอยู่ “ถ้าไม่ใช่เพราะไวท์ขอทีนไม่มีทางช่วยพี่แน่”
“เธอขาของไวท์น่ารักที่สุด”
หลังจากที่นึกได้ว่าควรจะใช้วิธีไหนเพื่อง้อแทน ร่างสูงก็เริ่มวางแผนการทันที เขาติดต่อหาไวท์เพื่อให้ช่วยเขาในการทำภารกิจนี้ ตอนแรกไอ้ลูกพี่ลูกน้องตัวดีก็อิดออดเหมือนไม่อยากจะช่วยเนื่องจากไม่อยากมีปัญหากับแฟนตัวเองแต่พอเจอปลื้มยกเื่ในอดีตขึ้นมาตัดพ้อ ไวท์ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงสุดท้ายก็ยอมอ้อนแฟนของตัวเองให้มีจิตคิดเมตตากับพี่ชายของเขาบ้าง ทีนเองก็เห็นใจทั้งแทนแล้วก็ปลื้มถึงได้ยอมช่วย
มองแวบเดียวทีนก็รู้แล้วว่าแทนไม่มีทางตัดใจจากปลื้มได้เลย การที่เอาแต่หนีก็เหมือนหนีใจตัวเอง ก็ได้แต่คิดว่าการที่เขาตัดสินใจช่วยปลื้มมันจะเป็สิ่งที่ถูกต้องและสามารถทำให้พี่ชายของเขามีความสุขได้
“ถ้าพี่ทำพี่แทนเสียใจทีนจะจัดการพี่แน่ จำไว้” คนตัวเล็กชี้หน้าขู่ปลื้ม
“สัญญาเลยว่าจะไม่มีอีกแน่นอน” จากนี้เวลาจะพูดอะไรจะคิดก่อนพูดและคิดถึงใจคนฟังเยอะๆไม่สักแต่พูดไปตามอารมณ์อีกแล้ว แทนน่ะเจอคำพูดแย่ๆของคนอื่นมาเยอะเขาจะใช้คำพูดของเขาไปแทนที่คำพูดพวกนั้นเองไม่รู้ว่าจะทำได้มากแค่ไหนแต่ก็จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาคนนี้จะทำได้
ร่างบางที่พึ่งกลับมาจากเลิกเรียนเดินผ่านโซนของห้องนั่งเล่นไปยังห้องครัวเพื่อดื่มน้ำดับความกระหายที่เกิดขึ้น ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านโดยที่ขวดน้ำในมือก็ยังคงถูกยกขึ้นกระดกดื่มเรื่อยๆจนเกือบหมดขวด มือบางกำเข้าที่ลูกบิดก่อนจะออกแรงดันประตูห้องให้เปิดออก ภายในห้องของเขาค่อนข้างมืดกว่าปกติจนเ้าตัวเองก็ยังสงสัย มือบางคลำหาสวิตช์ไฟหวังจะให้ความสว่างขับไล่ความมืดมิดออกไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกดเปิดสวิช์อย่างที่ใจนึก แสงไฟก็ปรากฏขึ้นมาเสียก่อน
มันไม่ใช่ไฟที่สว่างวาบไปทั้งห้องเป็เพียงแค่เป็แสงไฟจากดวงดาวที่ถูกแปะเรียงกันเป็คำว่า ‘TAEN’ อยู่เบื้องหน้าของเขา
“มึงบอกว่าถ้าดาวมีมากพอที่จะเขียนชื่อของคนที่ชอบ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวบางเอวไว้จากทางด้านหลัง “วันนี้กูจะสมหวังหรือเปล่า”
“...”
“กูขอโทษสำหรับคำพูดที่ไม่คิดของกู”
“...”
“ขอโทษที่เข้าใจมึงผิด”
“...”
“แต่แทน” ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “กูชอบมึงจริงๆ การที่ได้รู้จักกับมึง ได้มาชอบมึง ได้ใกล้ชิดมึงมันเป็เื่ที่ดีมากในชีวิตของกูเลยนะ ได้โปรด...อย่าบอกให้กูพอหรืออย่าบอกให้ตัวเองพอเลย”
“...”
“อย่าบอกให้กลับไปเป็เหมือนเดิม เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน”
“...”
“เพราะกูทำไม่ได้หรอก”
แพ้ แพ้อีกแล้ว แพ้อย่างราบคาบเลยด้วย พอเป็คนที่ชอบต่อให้เขาจะทำร้ายจิตใจเรามากแค่ไหนเราก็ยังแพ้ให้เขาอยู่ดี แย่ชะมัด
ใบหน้าหล่อซุกไซร้ลงบนท้ายทอยขาวจมูกโด่งคมฝังลงไปบนเนื้อนุ่มสูดดมกลิ่นหอมของไอฝนที่เฝ้าโหยหามาตลอดเข้าไปเต็มปอด ยิ่งเห็นว่าอีกคนไม่มีท่าทีผลักไสก็ยิ่งเหมือนได้ใจ ริมฝีปากหยักอ้าออกกว้างใช้ฟันคมขบกัดลงไปบนเนื้อขาวจนทิ้งรอยฟันเอาไว้จางๆ
“มึงยอมรับเื่เรนกับกูได้หรือไง”
“กูจะพยายามมองข้ามไปให้ได้”
หลังจากที่ไปจัดการเื่ระหว่างเขากับเรนในอดีตที่เคยเข้าใจผิดกัน มันก็ทำให้ปลื้มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเื่ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นนั้นเราไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขมันได้เลย ไม่ว่าจะเขาหรือเเทนก็ไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขมันได้ทั้งนั้น สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือเก็บมันเอาไว้เป็หนึ่งในเื่ราวที่เราได้เดินผ่านมาแล้ว พวกเขาควรจะโฟกัสที่ปัจจุบันและอนาคตต่อจากนี้มากกว่า ดังนั้นเขาเองก็ควรที่จะก้าวผ่านเื่ราวในอดีตของแทนไปให้ได้เหมือนที่เ้าตัวได้ผ่านมันมาแล้วเช่นกัน
“กูจะไม่สนใจแล้วว่าในอดีตมึงเป็ยังไง มีอะไรที่เกิดขึ้นบ้าง กูจะสนใจแค่ปัจจุบันมึงมีกูอยู่แค่นั้นก็พอ แล้วเราค่อยมาสร้างอดีตที่มันเป็อดีตของเราด้วยกันนะ แต่ต้องมีปัจจุบันและอนาคตด้วยนะ ไม่เอาแค่อดีตอย่างเดียว”
“...” แทนหลุดยิ้มออกมาในท้ายประโยคที่คนด้านหลังพูด
“แน่ใจหรอว่าจะทำได้ วันหนึ่งอาจจะมีคนเดินมาตบกูแบบวันนั้นอีกก็ได้นะ”
“กูก็จะยื่นหน้าไปให้เขาตบแทนแบบวันนั้นแหละ”
“ชอบเจ็บตัวหรือไง”
“เปล่า แต่โอเคที่ได้ปกป้องมึง”
“...”
“ช่วยทำให้ดาวที่เขียนเป็ชื่อมึงได้สมหวังทีเถอะนะ” ร่างสูงเอ่ยขออย่างออดอ้อน
“แค่เป็มึง กูก็แพ้ให้หมดเลย ขี้โกงสัด” ร่างบางเอ่ยออกมาก่อนจะพลิกตัวหันไปเผชิญหน้ากับปลื้ม “ชอบก่อนแม่งเสียเปรียบฉิบหาย”