เนื้อหาต่อไปนี้เป็เื่ Short story นะคะ เนื้อหาจะไม่ติดต่อกัน
เพื่อไม่ให้งงแนะนำให้อ่าน #แซคจานิน ก่อนคับ!
วิธีที่ 2
รับมือกับความบ๊อกแบ๊ก
“สูบบุหรี่อีกแล้ว” น้ำเสียงที่ได้ยินมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ทำให้คนที่กำลังทำตัวเป็สิงห์อมควันตวัดสายตาไปมองด้วยความไม่พอใจ พายฮึดฮัดยกใหญ่แต่กระนั้นก็จี้ปลายบุหรี่ลงบนที่เขี่ยจนมั่นใจว่ามันดับสนิทแล้วจึงค่อยโยนทิ้ง ความจริงเขาไม่จำเป็ต้องสนใจเสียงนกเสียงกาแต่เพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายโผล่หน้ามา ใบหน้าหมา ๆ ของมันมักจะมาพร้อมกับเสียงไอค่อกแค่กแสนระคายแก้วหู…
“เสือก”
“พูดไม่เพราะ”
“เื่ของกู”
“เค้ เดี๋ยวเจอกัน”
“ทำไม มึงจะต่อยกู?”
“ไม่รู้ แต่เปิดประตูด้วยครับ” ว่าจบมันก็เดินกลับเข้าไปในห้องปล่อยให้เขายืนงงอยู่ตรงระเบียงเพียงลำพัง หากไอ้เด็กนี่คิดจะต่อยกันจริง ๆ แน่นอนว่าพายสู้ไม่ได้แน่เพราะแค่สรีระร่างกายก็เสียเปรียบแล้ว เขาน่ะสังเกตอีกฝ่ายั้แ่ครั้งก่อน นอกจากชอบสวมเสื้อสีชมพูเป็ชีวิตจิตใจ ตัวยังใหญ่เกินเบอร์อีก :- (
ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ ว่าทรงนี้มีเพศรองเป็อัลฟ่าชัวร์
คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าห้อง พายแสดงสีหน้าหวาดหวั่นอยู่ครู่หนึ่งแต่กระนั้นก็รีบเดินเร็ว ๆ ไปคว้าคีย์บอร์ดมาซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อเป็อาวุธ ก่อนจะแง้มบานประตูเล็กน้อยโผล่เพียงลูกกะตาต้อนรับใครบางคนด้วยท่าทีระแวดระวัง
“ทำไมมองผมแบบนั้นอะครับ”
“อะไร”
“อย่าบอกนะว่ากลัวผมจะต่อยจริง ๆ” แม้หน้ากากอนามัยจะปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่เพราะดวงตาที่หยีลงจนเหลือเพียงเสี้ยวพระจันทร์เล็ก ๆ ทำให้พายรู้ได้ทันทีว่าไอ้เด็กนี่กำลังหัวเราะเขาอยู่
“กวนตีน…แล้วสรุปมีอะไร?”
“แม่ผมส่งไส้อั่วกับน้ำพริกหนุ่มมาให้ ผมเลยเอามาแบ่งครับ…ที่บ้านผมทำเองเลยนะ รสชาติกลาง ๆ ไม่เผ็ดมาก ไม่ใส่สารกันบูด—”
“เดี๋ยว ๆ อันนี้คือยังไง มาขายตรงเหรอ?” เพราะเด็กมันอยู่ ๆ ก็มาแรปใส่ อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูอู้อี้เพราะสวมหน้ากากอนามัย ทำให้พายรีบเบรกอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนอะไร ๆ มันจะเลยเถิดไปไกล
“พี่หูไม่ดีเหรอครับ ผมก็บอกอยู่ว่าแบ่งให้” หัวคิ้วสีเข้มที่ขมวดเข้าหากันมุ่นทำเอาเขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังแสดงสีหน้างอง้ำอยู่เป็แน่
“พูดช้า ๆ หน่อยสิ ใครมันจะไปฟังทัน”
“…”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วย” น้ำเสียงติดเหวี่ยงถูกปรับให้เป็ปกติเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กนี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย—พายรับของมาถือเอาไว้อย่างทุลักทุเลและอาจจะเป็เพราะใบหน้าเหวอ ๆ ของเขาทำให้คนตรงหน้าหลุดหัวเราะเสียงดังจนพายอดไม่ได้ที่จะใช้เท้าเตะขาอีกฝ่ายเบา ๆ เป็เชิงทำโทษ
“เจ็บครับ ขาจะหักไหมเนี่ย”
“อย่าเว่อร์ กูเตะเบา ๆ”
“ด่าน้อง”
“ก็น้องมันน่าด่า…แล้วนี่กินข้าวหรือยัง” แม้จะรู้สึกกระดากปากที่ต้องถามเหมือนหาเื่ชวนคุย แต่หากไล่เด็กมันกลับห้องไปเฉย ๆ ก็คงจะดูใจจืดใจดำอยู่ไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายอุตส่าห์หอบของกินมาแบ่งปันทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้จำเป็เลยด้วยซ้ำ
“ยังครับ”
“อืม งั้นไปกินข้าวกัน เดี๋ยวเลี้ยง”
“พี่จะไปกินข้าวกับผมเหรอ”
“เออ”
“ขอบคุณครับ”
…ถึงจะงง ๆ ว่ามันขอบคุณทำไม แต่พายก็เลือกที่จะพยักหน้ารับเพราะไม่อยากให้เ้าตัวเสียน้ำใจ—ทว่านั่นดูเหมือนจะเป็ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เพราะหลังจากวันนั้นอีกฝ่ายก็เดินตามตูดเขาต้อย ๆ ซ้ำยังเรียก พี่ครับ พี่ค้าบ วนไปมาจนพายหลอนหูไปหมด
“พี่ค้าบบบบ” นั่นไง มันมาอีกแล้ว…พายที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานใช้ฝ่ามือลูบหน้าตัวเองแรง ๆ ก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตูรับใครบางคนที่ยืนยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวแทบจะครบทุกซี่ เขากลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ครั้งหนึ่งเคยเมินมันด้วยการไม่เปิดประตูให้ ก่อนที่ในสิบนาทีถัดมาจะพบว่าอีกฝ่ายนั่งกอดเข่ารอหน้าประตูประหนึ่งลูกหมาถูกทอดทิ้งก็มิปาน ฉะนั้นนี่เป็อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาเมินมันไม่ได้เสียที!
“อะไร”
“กินข้าวกันครับ”
“ไม่ว่าง”
“เข้าใจแล้วครับ” รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ หุบลงเหลือเพียงอาการหงอยหูลู่หางตก และคนที่เคยตั้งปณิธานเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าให้ตายยังไงก็จะไม่ยอมใจอ่อนเป็อันขาดเริ่มไขว้เขว
อย่าใจอ่อน!
อย่าใจอ่อน!
“เฮ้อ เข้ามาก่อน เดี๋ยวทอดไส้อั่วให้กิน”
เออ ใจอ่อนก็ได้วะ :- (
ไส้อั่วที่ถูกทำเป็ชิ้นแบบค็อกเทลเพื่อให้ง่ายต่อการกิน ถูกเทลงในหม้อทอดไร้น้ำมัน ส่วนไอ้เด็กข้างห้องที่ถูกเชิญมาเป็แขกร่วมโต๊ะอาหารวันนี้วิ่งกลับไปยังห้องตัวเองเพื่อหอบของกินรวมถึงผลหมากรากไม้มาเต็มสองมือ
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
“ช่วยนั่งเฉย ๆ อย่าพันแข้งพันขาก็พอ” คำว่าพันแข้งพันขาไม่เกินจริงเลยสักนิด เพราะอีกฝ่ายยัดเยียดตัวเองเข้ามาอยู่ในเคาน์เตอร์ครัว ซ้ำยังชะโงกหน้ามองนู่นมองนี่จนพายเผลอถอนหายใจใส่หน้ามันไปหลายรอบ
“ก็อยากช่วย”
“ไม่เห็นหรือไงว่ามันวุ่นวายกว่าเดิม?” สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยดุเสียงเข้ม
“…”
“ถ้าไม่นั่งเฉย ๆ ก็ออกจากห้องไป” พายเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่สังเกตสีหน้าของเด็กข้างห้องเลยแม้แต่น้อย รู้ตัวอีกทีััที่เคยบดเบียดบริเวณหัวไหล่ก็หายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า พายส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจเพราะนอกจากเื่ของจานินแล้วเขาก็ไม่สามารถอดรนทนกับเื่อะไรได้อีกเลย…
ช่างแม่ง กลับไปก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมาทนนั่งรำคาญหน้า
ไส้อั่วหอมกรุ่นพร้อมกับเครื่องเคียงที่มักจะซื้อติดตู้เย็นถูกนำมาจัดจานแล้ววางลงบนโต๊ะอาหาร พายตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จานทั้งสองใบที่เตรียมมาก่อนจะชะงักเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนไล่ไอ้เด็กนั่นกลับห้องไปแล้ว…เอาเถอะ กินเองก็ได้วะ—
ฟุดฟิด ฟุดฟิด
เสียงสูดดมกลิ่นอาหารทำให้คนที่กำลังจะทิ้งตัวนั่งลงชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่กำลังเอาคางเกยชั้นวาง มองจานอาหารด้วยสายตาที่เป็ประกาย พายหลุดขำกับท่าทีเ่าั้ทว่าทันทีที่ได้สติก็รีบกระแอมไอแก้เก้อแล้วจึงเอ่ยชวนใครอีกคนให้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน
“มากินข้าว”
“ค้าบ”
“…”
“หู้ววว พี่ทำไส้อั่วอร่อยมากกก” ยังไม่ทันจะเคี้ยวหมดปากสารพัดถ้อยคำเยินยอก็ถูกเอ่ยออกมาจนคนฟังถึงกับต้องกลอกตามองบนเพราะความเวิ่นเว้อไม่มีสิ้นสุดของอีกฝ่าย
“ได้ข่าวว่าแม่มึงทำเนาะ”
“แหะ ๆ งั้น…พี่หุงข้าวอร่อยมากเลยครับ”
“ไปเรื่อย”
บทสนทนาถูกตัดจบเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วต่างคนก็ต่างตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทีที่เป็ธรรมชาติ แม้จะไร้ซึ่งเสียงพูดคุยแต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับกันมวลความสบายใจที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกลับลอยฟุ้งอยู่รอบ ๆ ตัวของสองเรา
หลังจากสิ้นสุดมื้อเย็นเด็กข้างห้องก็อาสาทำหน้าที่ล้างจานให้ ซึ่งพายก็ไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจแต่อย่างใด ดีเสียอีกเพราะเขาน่ะเกลียดการล้างจานที่สุดในบรรดาของงานบ้านเลยล่ะ…
“เอ่อ พี่ครับ”
“…”
“คือผม…ผมมีคำถามครับ!” ในจังหวะที่เตรียมจะปิดประตูหลังจากส่งอีกฝ่ายเป็ที่เรียบร้อย คนที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ั้แ่อยู่ในครัวก็โพล่งขึ้นมาเสียงดังจนพายตกอกใ
“มึงจะะโเพื่อ!?”
“แหะ ขอโทษครับ”
“…”
“อา พี่ชื่ออะไรครับ แบบกินข้าวด้วยกันเกือบทุกวันแต่ดันไม่รู้จักชื่อมันแปลก ๆ ยังไงชอบกล”
“พาย กูชื่อพาย”
“…”
“แล้วมึงอะ ชื่อไร”
“เบ๊บครับ ที่จริงแล้วผมมีสองชื่อ…สมัยที่ไปแลกเปลี่ยน ‘ที่รัก’ มันเรียกยากเพื่อนต่างชาติเลยเรียกว่าเบ๊บแต่พี่จะเรียกที่รักก็ได้นะครับ—อุ๊บ!” ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปปิดปากเด็กตรงหน้าอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ เขาอยากรู้แค่ชื่อไม่ได้อยากรู้ประวัติความเป็มา แล้วอีกอย่างน่ะนะ…
“เก็บไว้ให้แฟนมึงเรียกเหอะที่รักอะ”
“ซ้อมไว้ไงครับ เผื่อวันนึงได้ใช้จริง” ไอ้ท่าทางเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้างจนตาหยีเนี่ย คนอื่นเห็นคงจะหวั่นไหวไปตาม ๆ กัน เว้นก็แต่พายที่แม้จะรู้จักอีกฝ่ายเพียงไม่กี่วันแต่กระนั้นก็รู้ไส้รู้พุงเป็อย่างดีว่าไอ้ท่วงท่าเหล่านี้แม่งมีเจตนากวนตีนกันชัด ๆ
“เหอะ เอากับมึง กูเอากับหมาดีกว่า”
“บ๊อก ๆ”
เด็กเวร
เด็กเหี้ย
ชาติเปรต
:- (
/
ตามทฤษฏีของคาราบาวแล้วความเหงาเป็ขั้วบวกขั้วลบ แต่สำหรับไอ้เบ๊บแล้วมันเป็ห่าอะไร เพราะวันหยุดแทนที่เขาจะได้พักผ่อนนอนเล่นเกมตามอัธยาศัยต้องลุกจากเตียงั้แ่สิบโมงเช้าเพื่อมาเปิดประตูให้ไอ้เด็กข้างห้อง ซึ่งกำลังยืนหอบของพะรุงพะรังยิ้มกว้างจนตาหยี ทำเอาพายที่เตรียมคำด่ามามากมายถึงกับต้องหุบปากฉับ
“มาทำเหี้ยไรแต่เช้า”
“พูดไม่เพราะ”
“แล้วมึงจะทำไมกู?”
“กินข้าวกันครับ ผมซื้อโจ๊กมาให้ มีน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ด้วย เดี๋ยวผมเอาไปเวฟให้นะ” ใบหน้าที่งัวเงียเริ่มตื่นเต็มตาเมื่อสังเกตเห็นถึงความใส่ใจเล็ก ๆ ก่อนร่างโปร่งจะเบี่ยงกายเพื่อให้เด็กหนุ่มที่รูปร่างโตกว่าแทรกตัวเข้ามาในห้องได้อย่างถนัดถนี่มากขึ้น
“โห ผมไม่ได้มาสามวันทำไมห้องรกงี้อะ”
“ยุ่งน่า”
“ผมเก็บให้ปะ ผมทำงานบ้านเก่งนะเห็นแบบนี้ ซักผ้า ล้างจาน กวาดห้อง ถูห้อง อ๋อ! แล้วก็—”
“โอ๊ยพอ! จะทำอะไรก็เื่ของมึง แต่กูไม่มีค่าจ้างให้หรอกนะ” พายเอ่ยตัดบทอย่างปลง ๆ เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ไอ้เด็กนี่พูดต่อ สามชั่วโมงคงไม่จบเป็แน่
“ไม่เอาค่าจ้างครับ แค่กินข้าวเป็เพื่อนผมก็พอ”
“มักน้อยเนาะ”
“ถ้ามักเยอะพี่จะยอมไหมล่ะ”
“ตีนกูนี่”
เบต้าหนุ่มเดินกลับเข้าห้องเพื่อทำการล้างหน้าล้างตาให้สะอาดสดชื่น โดยปล่อยให้ใครอีกคนจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาเฉกเช่นทุกครั้ง—พายไม่รู้ว่าเขากับเบ๊บสนิทกันได้ยังไง จุดเริ่มต้นอาจจะเป็เพราะไส้อั่วกับน้ำพริกหนุ่มที่อร่อยจนแสงออกปาก จึงทำให้คนที่ไม่ค่อยเปิดรับคนนอกเช่นเขายินยอมให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้อย่างง่ายดาย
แก้มฟู ๆ ตาหยี ๆ เวลายิ้มกว้าง ไหนจะท่าทางบ๊อกแบ๊กเหมือนหมาโกลเด้นเนี่ยอยากรู้ฉิบหายว่าใครสอน…เออ ยอมรับก็ได้ว่าเอ็นดูมัน
“พี่พายเสร็จยังค้าบ” นั่นไง มันเอาอีกแล้ว
“เออ แป๊บนึง” ใต้ตาดำคล้ำซึ่งเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอปรากฏอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ไหนจะสิวอักเสบตรงหน้าผากที่เผลอปัดมือไปโดนทีไรก็ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ อยากบีบก็ไม่กล้า เลยเลือกที่จะเก็บไว้ให้แม่งหลุดเอง
ร่างสมส่วนส่ายหัวขับไล่ความคิดไร้สาระก่อนจะเดินตามกลิ่นโจ๊กหอมกรุ่นไปยังโต๊ะกินข้าวขนาดกะทัดรัดซึ่งบัดนี้มีทั้งน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋รวมถึงสังขยาใบเตย ขนมปังชุดกลาง ที่เพียงพอต่อการกินด้วยกันสองคน
“หมดนี่กี่บาท”
“ทำไมครับ”
“จะโอนให้”
“ไม่เป็ไรครับ ผมเลี้ยงได้”
“เลี้ยงได้ก็เหี้ยแล้ว อย่าลืมดิว่ามึงยังขอเงินพ่อแม่อยู่ เดี๋ยวมื้อนี้กูจ่ายเอง วันหลังค่อยหารครึ่ง ถ้าไม่โอเคออกจากห้องกูไปเลย”
“คิก—ขอโทษครับ”
“ขำเหี้ยไร” ตั้งใจจะสั่งสอนให้สมกับคนอายุมากกว่าแต่ดันโดนเด็กสบประมาทด้วยการหัวเราะเยาะ เวรเอ๊ย! ถ้ามึงจะกลั้นขำจนตัวงอขนาดนั้นก็ขำให้แม่งไปเหอะ
“ก็…นี่เป็ครั้งแรกที่พี่พูดประโยคยาว ๆ”
“…”
“อีกอย่างหน้าพี่ตอนหงุดหงิด มันน่ารักดีครับ”
“ลามปามละมึงอะ”
“ผมพูดจริง ๆ ไม่ได้โกหกเลยครับ สาบานได้”
“ไร้สาระ “
หลังจากมื้อเช้าในเวลาสิบโมงครึ่งจบลง พายที่รู้สึกว่าลึก ๆ ตัวเองกำลังเอาเปรียบเด็กข้างห้องอยู่จึงอาสาล้างจาน โดยบอกให้มันไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นและไม่ลืมกำชับว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เป็อันขาด แน่นอนว่าเด็กหนุ่มร่างโตที่กลัวจะถูกโยนออกจากห้องรับคำอย่างหนักแน่นไม่ยอมเดินเฉียดเข้าใกล้ห้องครัวแม้แต่ครึ่งก้าว…
“ทำไร” ร่างโปร่งที่เพิ่งล้างจานเสร็จยืนเท้าเอวมองสิ่งมีชีวิตที่กำลังเก็บซองขนมและขยะอีกมากมายใส่ถุงพลาสติกสีดำอย่างขะมักเขม้น ปากก็พึมพำบางอย่างเบา ๆ จนฟังแทบไม่เป็ภาษาแต่ก็พอจะเดาได้ว่าไอ้เด็กนี่มันกำลังบ่นเขาอยู่อย่างแน่นอน
“เก็บขยะให้พี่ไงครับ” มือเรียวยกขึ้นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ ดีที่พายดูดฝุ่นทุก ๆ สองวันห้องเลยดูสะอาดปลอดโปร่ง จะเหลือก็เพียงแต่พวกซองขนมกับกระดาษร่างแบบนี่แหละที่เขาโยนไม่เคยเข้าถังขยะเลยสักครั้ง
“กูพูดเล่นไหมล่ะ”
“ถือว่าเป็ค่าข้าวไงครับ”
“เออ แล้วแต่เหอะถ้างั้น “พายส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจกับความดื้อดึงของเด็กมัน ก่อนจะเริ่มกวาดสายตามองหาซองบุหรี่กลิ่นโปรดเพราะอยู่ ๆ ก็เกิดอาการเสี้ยนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
แกร๊ก!
เสียงบานประตูระเบียงถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสมส่วนที่คาบมวนบุหรี่เอาไว้คาปากก่อนจะใช้ไฟแช็กที่มีรูปดาราเอวีจุดมันอย่างชำนาญ—พายไม่แน่ใจว่าเขาติดบุหรี่ั้แ่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีก็ติดมันเรื่อยมาราวกับเป็อวัยวะที่สามสิบสามของร่างกาย
ในระหว่างที่กำลังทอดสายตามองอย่างไร้จุดโฟกัส ประกายไฟเล็ก ๆ ก็เริ่มเผาไหม้จนริมฝีปากสีคล้ำรับรู้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวอยู่เนือง ๆ พายใช้ส่วนปลายเขี่ยลงบนถาดแก้ว จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งในจังหวะที่กำลังจะหยิบแมคบุ๊กออกไปทำงานด้านนอกนั้นก็ดันนึกขึ้นได้ว่าเด็กข้างห้องมันแพ้บุหรี่ ได้กลิ่นแค่ครู่เดียวแม่งก็ไอจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว
เสื้อและกางเกงที่มีกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ถูกถอดออกจากร่างกายและแทนที่ด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อโปรด โดยไม่ลืมพรมน้ำหอมดับกลิ่นบุหรี่ที่เคยซื้อเก็บเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แม้ลึก ๆ จะแปลกใจว่าตัวเองทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทั้ง ๆ ที่ความเป็จริงแค่เอ่ยปากไล่อีกฝ่ายกลับห้อง ทุกอย่างแม่งก็จบแล้ว
“สูบบุหรี่เสร็จแล้วเหรอครับ”
“อือ”
“งั้นเดี๋ยวผมกลับห้องไปเอาแมสก์แป๊บนึง—”
“ไม่ต้อง ตอนนี้ไม่มีกลิ่นแล้ว” เอ่ยพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดดมร่างกายตัวเองก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อพบว่าบัดนี้ไร้ซึ่งกลิ่นไม่พึงประสงค์
“ไม่เชื่อครับ”
ในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากด่า เด็กหนุ่มที่รูปร่างค่อนข้างกำยำก็สาวเท้าเข้ามาใกล้จนพายเผลอถอยหลังหนีด้วยความใ…
ฟอด
” โอเคครับ เชื่อแล้ว”
ไอ้เหี้ยยยย มันหอมหัวกู๊ววว :- (
Tbc
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้