จ้านอู๋มิ่งหยิบเสื้อผ้าบนราวแขวนมาสวมใส่ ผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง พึมพำกับตนเองว่า “ชีวิตช่างสวยงามสดใสเช่นนี้เอง จะให้สูญเปล่าได้อย่างไร” ขณะพูดจาก็แผ่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ ควบแน่นเป็ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ ดึงประตูห้องลับออก หากมีคนในตระกูลจ้านมาเห็นเข้าจะต้องตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ที่มีรูปลักษณ์เป็รูปธรรม นี่มันระดับปรมาจารย์นักยุทธ์แล้ว และยังเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสี่ดาวอีกด้วย จะต้องเป็นักยุทธ์ระดับผู้นำในหมู่ผู้เยาว์เมืองมู่เหย่อย่างแน่นอน
เมื่อออกจากห้องลับ แสงแดดแรงกล้าสาดส่อง ทำให้จ้านอู๋มิ่งรู้สึกมิสบายตาอยู่บ้าง
ระยะเวลาเข้าด่านกักตัวนานเกินไปแล้ว หากมิใช่ท่านลุงใหญ่จ้านชิงหลงช่วยกันไว้ให้ เกรงว่าภายในจวนคงวุ่นวายไปหมดแล้ว ดูแล้วสมควรไปแจ้งข่าวให้ท่านลุงใหญ่ทราบสักคำก่อน
คิดไปพลาง จ้านอู๋มิ่งก็มุ่งหน้าเดินไปทางหอน้อยของจ้านชิงหลง ในหอโอสถมีแต่หอน้อยโดดเดี่ยวของจ้านชิงหลงเพียงหลังเดียว จ้านชิงหลงเป็อาจารย์นักหลอมโอสถระดับสี่เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลจ้าน กำลังจะทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับห้า นับเป็บุคคลสำคัญของตระกูลจ้านเลยทีเดียว
……
ในห้องโถงบรรพบุรุษ ห้องโถงหลักขนาดใหญ่สถานที่สำคัญของตระกูลจ้าน ทุกครั้งที่มีเื่ราวหรืองานเลี้ยงวันหยุดที่สำคัญจึงจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอน หากมีอาคันตุกะสำคัญมาเยือนเป็ครั้งคราว ก็จะต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ในห้องโถงใหญ่นี้ วันนี้ห้องโถงใหญ่ตระกูลจ้านคลาคล่ำด้วยบุคคลสำคัญระดับผู้นำตระกูลและผู้ใหญ่ระดับาุโของตระกูลจ้าน เนื่องจากคนของตระกูลเจิ้งมาเยือน
ตระกูลเจิ้งและตระกูลจ้านถือเป็ญาติโดยการสมรส เพราะคือตระกูลที่ให้กำเนิดเจิ้งรุ่ยเหนียง ฟูเหรินลำดับสี่ของจ้านชิงเผิง ผู้นำตระกูลจ้านนั่นเอง
แน่นอน หากเป็แค่ความสัมพันธ์ระหว่างการสมรส ย่อมมิเพียงพอให้ตระกูลจ้านให้การต้อนรับในห้องโถงใหญ่ เหตุผลสำคัญอีกประการคือตระกูลเจิ้งเป็ตระกูลชั้นนำของราชวงศ์ต้าเหยียน
ในสายตาของตระกูลเจิ้ง ตระกูลจ้านในอดีตเป็เพียงตระกูลเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจ แต่คาดมิถึงอย่างยิ่งว่าพวกเขายอมให้รุ่ยฟูเหรินแต่งกับจ้านชิงเผิง มาเป็อนุภรรยาคนที่สี่ของจ้านชิงเผิง
แม้แต่ตระกูลจ้านเองก็มิเข้าใจ ตระกูลระดับสูงอย่างตระกูลเจิ้ง ไฉนจึงยอมให้บุตรสาวตนเองมาเป็ภรรยาน้อยในตระกูลเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจได้อย่างไร
เื่ราวที่มิเข้าใจ ตระกูลจ้านก็คร้านไปขบคิดให้เปลืองสมอง ไม่ว่าตระกูลเจิ้งจะมีความคิดอย่างไรกับการแต่งงานของบุตรสาว ตระกูลจ้านก็ปฏิบัติต่อรุ่ยฟูเหรินอย่างให้เกียรติยิ่งนัก สามารถได้บุตรสาวตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเจิ้งมาเป็อนุภรรยา นี่เป็การเชิดหน้าชูตามากมายเพียงใด เป็เกียรติขนาดไหน ด้วยเหตุนี้ คนทั้งระดับบนและล่างในตระกูลจ้านมิมีผู้ใดไม่เคารพต่อรุ่ยฟูเหริน ถึงแม้จะเป็เพียงแค่อนุภรรยาคนหนึ่ง ก็ยังเป็ที่เคารพนับถือมากกว่าภรรยาหลวงของจ้านชิงเผิงและบรรดาภรรยาต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ที่หาได้ยากคือแม้รุ่ยฟูเหรินจะกำเนิดในครอบครัวตระกูลใหญ่ กลับมิคิดว่าการแต่งเข้าตระกูลเล็กกว่าเป็ความอัปยศ หลายปีมานี้อุทิศตนทำหน้าที่จัดการงานบ้านงานเรือนอย่างตั้งใจ อยู่ร่วมกับฟูเหรินคนอื่นๆ อย่างกลมเกลียว ได้รับความชื่นชมจากทุกคนทั้งระดับบนล่างในตระกูลจ้าน ถึงแม้จะให้กำเนิดนายน้อยที่ชอบพูดพล่าม มิค่อยเต็มเต็งคนหนึ่ง แต่่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายน้อยคนนี้กลับกลายเป็ผู้มีความดีความชอบมากที่สุด ทำให้ตระกูลจ้านเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วราวติดปีก ดังนั้นเมื่อคนตระกูลเจิ้งมาเยือน ตระกูลจ้านจึงให้การต้อนรับอย่างเป็ทางการ ปฏิบัติตนด้วยข้อกำหนดสูงสุดและมารยาทที่รอบคอบที่สุด เพียงเพื่อน้ำใจของการแต่งงานของตระกูลเจิ้งในปีนั้น
รุ่ยฟูเหรินแต่งเข้าจวนตระกูลจ้านมายี่สิบกว่าปี คนตระกูลเจิ้งไม่เคยแวะมาเยือน ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีบุตรสาวคนหนึ่งอยู่ในเมืองมู่เหย่ และรุ่ยฟูเหรินก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเกิด กลับแต่ละครั้งก็รีบไปรีบกลับ คนในตระกูลจ้านมีความรู้สึกว่ารุ่ยฟูเหรินมิค่อยมีความผูกพันกับบ้านเดิมนัก จ้านชิงเผิงก็ปฏิบัติต่อฟูเหรินไม่เท่าเทียมกัน ตลอดหลายปีมานี้ เขารักใคร่รุ่ยฟูเหรินมากที่สุด เพราะนางคือสตรีที่ควรค่าแก่การเคารพรัก
คนตระกูลเจิ้งที่มาเยือนคือเจิ้งอวี้ฟู พี่สามของรุ่ยฟูเหรินและเจิ้งซื่อหรง หลานชายของนาง หลายปีก่อนจ้านชิงเผิงเคยพบหน้าเจิ้งอวี้ฟูมาก่อนครั้งหนึ่ง หลายปีมานี้ พี่สามของภรรยาคนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เค้าหน้ามีอาการป่วย ั์ตาขวาง สายตาทะมึน สีหน้าท่าทางเฉกเช่นคนทั่วหล้าล้วนมิสบอารมณ์ข้า มักลูบเคราหร็อมแหร็มสีเขียวเป็ระยะๆ โดยมิรู้ตัว บุคลิกคล้ายดั่งสง่างามอย่างยิ่ง แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูเสแสร้งแกล้งทำยิ่งนัก ทุกคนรู้สึกเป็เื่ยากที่จะเชื่อมโยงเจิ้งอวี้ฟูและรุ่ยฟูเหรินเข้าด้วยกัน
เจิ้งซื่อหรงสีหน้ากลับหยิ่งผยองยิ่งกว่า ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้ารุ่ยฟูเหรินที่เป็ท่านน้าคนนี้ ก็เหมือนกับกำลังอยู่ต่อหน้าหญิงชาวนาในชนบทคนหนึ่งก็ไม่ปาน ทั้งขมวดคิ้ว สายตาเ็า สีหน้าเหยียดหยามดูแคลน จุดนี้ทำให้จ้านชิงเผิงรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็อย่างยิ่ง เจิ้งอวี้ฟูเป็เช่นนี้ แต่อีกฝ่ายเป็พี่ชายของภรรยา ทว่าเ้าในฐานะหลานชายทำตัวเช่นนี้ก็คือไร้มารยาท ขาดการอบรมสั่งสอนแล้ว
“น้องเล็ก เ้าต้องกลับไปกับข้า ตอนมาพี่ใหญ่ได้พูดไว้แล้ว หากน้องสามยืนกรานมิยอมกลับไป ให้ฝากสิ่งของ มอบให้ข้านำกลับไปก็ได้ เช่นนี้น้ำใจความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของเรายังคงอยู่” เจิ้งอวี้ฟูมิแยแสสนใจสีหน้าของคนตระกูลจ้าน คล้ายดั่งคนในห้องโถงใหญ่นี้มิมีผู้ใดอยู่ในสายตาเขา
สีหน้าคนตระกูลจ้านล้วนแปรเปลี่ยน โบราณว่าอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี ถึงอย่างไรรุ่ยฟูเหรินก็เป็สะใภ้ของตระกูลจ้าน มิว่าเื่ราวใดก็ต้องว่ากันตามเหตุผล เจิ้งอวี้ฟูกำลังพูดจากับน้องสาวที่ไหนกัน เขากำลังใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างชัดเจน ทั้งผู้าุโและผู้เยาว์ของตระกูลจ้านสงสัยเป็อย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของคนตระกูลเจิ้งเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่ารุ่ยฟูเหรินมิใช่บุตรแท้จริงของตระกูลเจิ้ง?
“ข้าไม่กลับไป คำพูดของพี่สาม ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ั้แ่ข้า รุ่ยเหนียงแต่งเข้าตระกูลจ้าน มิเคยนำสิ่งของใดมาจากบ้าน หรือว่าตระกูลเจิ้ง้าให้รุ่ยเหนียงนำสิ่งของในตระกูลจ้านไปจุนเจือบ้านเดิมของข้า? ตระกูลเจิ้งตกต่ำถึงขนาดจำเป็ต้องรับการเกื้อหนุนจากผู้อื่นั้แ่เมื่อใด?” รุ่ยฟูเหรินตอบเสียงเ็า
“ฮึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ตอนที่ท่านแม่สองเสียชีวิต สิ่งของหากมิใช่มอบแก่เ้า แล้วจะมอบให้ผู้ใด?” เจิ้งอวี้ฟูแค่นเสียงเ็า สีหน้าแปรเปลี่ยนจนน่าเกลียดอย่างยิ่ง สายตาเจิ้งซื่อหรงฉายแววเย้ยหยัน
“ข้ากลับคิดจะถามว่า ท่านแม่ข้าเสียชีวิตอย่างไร? ผู้ใดกันแน่ที่ลงมือกับบุตรชายข้าอย่างโหดร้ายในป่าสัตว์อสูรเมื่อห้าปีก่อน?” รุ่ยฟูเหรินตบที่เท้าแขนลุกขึ้นยืน สีหน้าทุกคนในตระกูลจ้านแปรเปลี่ยนใหญ่หลวงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จ้านชิงเผิงสีหน้าเขียวคล้ำ ห้าปีก่อนในป่าสัตว์อสูรมีคนลงมือกับจ้านอู๋มิ่ง บีบบังคับเขาตกลงไปในผาน้ำตกเหวลึกร่วมร้อยวา ถึงแม้โชคดีรอดชีวิต แต่กลับทำให้ทุกคนในตระกูลจ้านโกรธเคืองยิ่งนัก ผ่านการตรวจสอบมาหลายปี ไม่พบเบาะแสใดๆ ตลอดมา มิคาดคิดว่าวันนี้รุ่ยฟูเหรินกลับกล่าวคำพูดนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ารุ่ยฟูเหรินสงสัยตระกูลเจิ้งมาั้แ่แรกแล้ว
เื่นี้ทำให้ตระกูลจ้านไม่เข้าใจ ตระกูลเจิ้งไฉน้าสังหารหลานนอกของตนเอง หลังจากรุ่ยฟูเหรินถามคำถามนี้ออกมา สีหน้าเจิ้งอวี้ฟูล้วนแปรเปลี่ยนแล้ว คนตระกูลจ้านทราบทันทีว่ารุ่ยฟูเหรินคาดเดาถูกต้องแล้ว
“พี่สาม นี่คือเื่ราวใดกันแน่?” จ้านชิงเผิงทราบว่าเวลานี้ตนสมควรกล่าววาจาแล้ว เขาคือบุตรเขยตระกูลเจิ้ง เป็บิดาของจ้านอู๋มิ่ง รุ่ยฟูเหรินขัดแย้งกับตระกูลเจิ้งไม่น้อย ในฐานะสามี มิว่าเวลาใดล้วนสมควรยืนอยู่เคียงข้างภรรยา ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่ก็ตาม
“เื่พวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลจ้าน นี่คือเื่ราวของตระกูลเจิ้งเรา” เจิ้งอวี้ฟูมิเห็นแก่หน้าจ้านชิงเผิงแม้แต่น้อย ตอบเสียงเ็า
“หากเป็เช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นเชิญพี่สามกลับไปเถิด ที่นี่คือตระกูลจ้าน รุ่ยเหนียงคือสะใภ้ของตระกูลจ้าน ก็คือเป็คนของตระกูลจ้าน เื่ราวของตระกูลเจิ้ง ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวได้ แต่เื่ของรุ่ยเหนียง ตระกูลจ้านจำเป็ต้องดูแล” จ้านชิงเผิงลุกขึ้นอย่างโกรธเคือง หากเป็หลายปีก่อน ตระกูลจ้านอาจยังต้องเกรงใจตระกูลเจิ้ง แต่ระยะเวลาห้าปีนี้ ตระกูลจ้านรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะเป็ตระกูลชั้นหนึ่งของราชวงศ์ต้าเหยียน จ้านชิงเผิงในฐานะหัวหน้าตระกูลจ้าน มีความทระนงของตนเอง คนของตระกูลเจิ้งแล้วจะเป็อย่างไร หากว่าแม้แต่บุตรและภรรยาตนเองยังมิมีปัญญาปกป้อง ก็มิคู่ควรเป็ชายชาตรี แล้วจะเป็ผู้นำตระกูลจ้านได้อย่างไร
“หลานเจิ้ง กล่าววาจาต่อกันดีๆ เถิด ตระกูลจ้านและตระกูลเจิ้งเกี่ยวดองเป็ญาติทางการสมรส สมควรมีการไปมาหาสู่และช่วยเหลือกันให้มากไว้ ไยต้องเป็เช่นนี้ มีเื่ราวใดที่มิสามารถพูดบ้าง ข้าผู้าุโขอมิประมาณตนสักครั้ง หลานเจิ้งลองเล่าเื่ราวมาให้ชัดเจน หากรุ่ยเหนียงเป็ฝ่ายมิถูกต้อง ข้าย่อมต้องให้รุ่ยเหนียงชดใช้ สมควรจัดการอย่างไรก็จัดการตามนั้น ข้าคิดว่าเื่ราวในห้าปีก่อน มิ่งเอ๋อร์ประสบอันตรายคงเป็เื่เข้าใจผิดกัน หลานเจิ้งมีวาจาใดสามารถเปิดอกพูดออกมาตรงๆ” จ้านเทียนสิงพูดจาอ้อมค้อมวกวนรอบหนึ่ง
เจิ้งอวี้ฟูสีหน้าแข็งค้าง เขาไม่เคยเห็นตระกูลจ้านอยู่ในสายตามาก่อน เป็เพียงคนบ้านนอก เป็เศรษฐีใหม่ที่บังเอิญร่ำรวยขึ้นมาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดว่าวันนี้การพูดจาของจ้านชิงเผิงจะแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ มิ้าพูดจากับเขาให้มากความด้วยซ้ำ
ตระกูลจ้านให้เกียรติต้อนรับอย่างสูง กลับเสียหน้าไม่มีชิ้นดี อย่างไรก็ตามตระกูลจ้านก็เป็ตระกูลเก่าแก่ยาวนานร่วมร้อยปีอยู่ในเมืองมู่เหย่ และตอนนี้เป็ตระกูลใหม่ที่กำลังมาแรงและสำคัญของราชวงศ์ต้าเหยียน ตระกูลเจิ้งต่อให้มิเห็นความสัมพันธ์ทางญาติสมรส ก็ไม่มีคุณสมบัติอาละวาดในห้องโถงใหญ่ตระกูลจ้าน
เจิ้งอวี้ฟูสีหน้าเขียวคล้ำ มิได้ตอบรับคำพูดของจ้านเทียนสิง และไม่มองจ้านชิงเผิง แต่มองเจิ้งรุ่ยเหนียงด้วยสายตาเ็า พูดเสียงเฉยชาว่า “น้องเล็ก เ้าไม่ยอมตามข้ากลับเมืองหลวงจริงๆ หรือ?”
“ไม่มีทาง!” เจิ้งรุ่ยเหนียงตอบอย่างเด็ดขาด
“น้องเล็กก็จะไม่มอบของออกมาเช่นกัน?” เจิ้งอวี้ฟูถามอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าพี่สามกำลังพูดถึงสิ่งใด” เจิ้งรุ่ยเหนียงตอบเด็ดขาดกว่าเดิม
เจิ้งรุ่ยเหนียงเพิ่งพูดจบ ทันใดด้านหลังเจิ้งอวี้ฟูก็แผ่ความหนาวเย็นแข็งแกร่งออกมาระลอกหนึ่ง อุณหภูมิในห้องโถงใหญ่ลดฮวบลง หนาวเย็นคล้ายดั่งกลายเป็น้ำค้างแข็งก็มิปาน
“ราชันา!” จ้านชิงเผิงสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง เขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้ากำเริบเสิบสานในห้องโถงหลักของตระกูลจ้าน อีกทั้งยังเป็คนของฝ่ายญาติภรรยาตน เขาจ้องสองคนด้านหลังเจิ้งอวี้ฟูที่แผ่พลังกดดันออกมาอย่างเ็า ชายชราที่แผ่รังสีฆ่าฟันออกมากดดันเจิ้งรุ่ยเหนียง เขาบันดาลโทสะแล้วจริงๆ แม้ฝ่ายตรงข้ามสองคนจะเป็ถึงราชันา
“ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” จ้านชิงหลงและจ้านเทียนสิงตบที่เท้าแขนลุกขึ้น ห้องโถงใหญ่เกิดความร้อนวูบขึ้นทันใด พลันเปลวไฟสีม่วงสว่างขึ้นบนร่างของจ้านชิงหลงในทันที ขับไล่ความหนาวเหน็บในห้องโถงใหญ่มลายหายไปจนหมดสิ้น บนศีรษะจ้านเทียนสิงก็แผ่รังสีปราณสีน้ำเงินออกมาสายหนึ่ง เหมือนัพิโรธพุ่งใส่เจิ้งอวี้ฟูก็มิปาน
“ตูมมม…” กลางอากาศเกิดเสียงะเิดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เจิ้งอวี้ฟูสีหน้าซีดขาว ชายชราสองคนที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงครางออกมาคำหนึ่ง ถอยหลังออกไปหลายก้าว ชนฉากกั้นที่อยู่ด้านหลังจนพังพินาศ
“แค่ราชันาสองดาวเพียงคนเดียวยังกล้ากำแหงในตระกูลจ้านของข้า ถ้ามิใช่เพราะเห็นแก่หน้าผู้เฒ่าเจิ้ง วันนี้ิญญาของพวกเ้าต้องดับสูญที่นี่ ตระกูลจ้านเราไม่ต้อนรับพวกเ้า โปรดไสหัวออกจากจวนตระกูลจ้าน!”
เส้นผมและเคราของจ้านเทียนสิงขยับโดยไม่มีลม วันนี้ตระกูลจ้านต้อนรับตระกูลเจิ้งด้วยมารยาท ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่รับน้ำใจ ยังบังอาจลงไม้ลงมือกับสะใภ้ตระกูลจ้าน จะไม่ทำให้จ้านเทียนสิงบันดาลโทสะได้อย่างไร แต่เขาก็ทราบดีว่าคนจากตระกูลเจิ้งในวันนี้ไม่สามารถใช้เป็ตัวแทนความแข็งแกร่งของตระกูลเจิ้งได้ แม้ว่าตระกูลจ้านจะรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเจิ้งแล้วยังมีห่างไกลอีกมาก ยอดฝีมือมิใช่เื่ง่ายที่จะฝึกฝนบ่มเพาะ
ตระกูลเจิ้งเป็ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายพันปี ทักษะและภูมิหลังมิใช่สิ่งที่ตระกูลจ้านสามารถเปรียบเทียบได้ ตำนานเล่าว่าตระกูลเจิ้งมีทักษะการต่อสู้ขั้นสูงในขอบเขตพสุธาและทักษะการต่อสู้ที่ดีที่สุดของตระกูลจ้าน่หลายปีที่ผ่านมาคือขอบเขตพสุธาระดับต่ำ นี่คือช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่าย
“ท่านอา พวกเราไปกันเถอะ” ใบหน้าของเจิ้งอวี้ฟูเขียวคล้ำ ตอนแรกเขาคิดว่าราชันาทั้งสองที่คนที่ตนนำมาเพียงพอที่จะกวาดล้างตระกูลจ้านแล้ว แต่มิได้คาดคิดว่าจะมีราชันาเจ็ดดาวในหมู่ผู้เฒ่าของตระกูลจ้าน คนประเภทนี้แม้จะอยู่ในตระกูลเจิ้ง ก็ยังเป็ขั้นพลังสูงสุด ขืนอยู่ต่อไปรังแต่จะได้รับความอัปยศ ความทระนงสร้างขึ้นจากความแข็งแกร่ง เจิ้งอวี้ฟูหยิ่งทระนงเพราะเมื่ออายุสี่สิบปีก็บรรลุขั้นราชันาแล้ว แม้ตอนนี้ยังเป็ราชันาระดับหนึ่งดาวก็ตาม แต่ถือว่าเป็คุณสมบัติชั้นยอดในราชวงศ์ต้าเหยียน เป็ความทระนงของตระกูล แต่เมื่อเขาเห็นเพลิงโอสถสีม่วงของจ้านชิงหลง และกลิ่นอายที่ออกมายังเป็ราชันาระดับหนึ่งดาวอีกด้วย อีกทั้งยังเป็อาจารย์นักหลอมโอสถระดับห้า ความสามารถสูงส่งล้ำเลิศกว่าเขา ความหยิ่งผยองทระนงของเขาพังทลายไปทันที ไม่อาจแบกหน้าอยู่ในตระกูลจ้านอีกต่อไป ได้แต่กลับไปคิดหาวิธีการอื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้