เล่มที่ 4 บทที่ 105
ใช้เวลาสี่ชั่วยามในการเดินในถ้ำสลัว หลังออกจากถ้ำก็เห็นดวงดาวบนท้องฟ้า และวันนี้ได้ผ่านไปอีกหน
“เ้านาย ในบ้านได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เ้านายจะอาบน้ำหรือกินข้าวก่อนดี?”
ในคืนอันมืดมิด มองเห็นภูมิประเทศไม่ชัดเจนนัก มู่หรงฉิงยังคงใช้ความพยายามอย่างหนักในการแยกแยะทิศทาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากความมืด
“มู่หรงฉิง เ้า้าทำอะไรเป็อันดับแรก?” จ้าวจื่อซินไม่ตอบแต่หันไปมองมู่หรงฉิง “ถ้าหิว ก็กินก่อน แต่ถ้าเ้าอยากจะอาบน้ำก่อนก็ได้ น้ำได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว”
สิ้นสุดคำถาม มู่หรงฉิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยู “ท่านพี่หิวแล้วหรือไม่? ้ากินอาหารเย็นก่อนหรือไม่?”
คนในความมืดเอ่ยถามจ้าวจื่อซิน ส่วนเขาก็เอ่ยถามมู่หรงฉิง แต่มู่หรงฉิงกลับถามเฉินเทียนหยู เฉินเทียนหยูครุ่นคิด จากนั้นกลับไปถามมู่หรงฉิงว่า “น้องหญิงจะทำอะไรก่อน? น้องหญิงเหนื่อยหรือหิวแล้ว? น้องหญิง้าอะไรก็อย่างนั้น ข้าเชื่อฟังน้องหญิงเสมอ”
ระหว่างทางก็ใช่ว่าไม่ได้ทานอาหาร ชิงยวี่นำอาหารแห้งและน้ำมาให้ ในระหว่างเฉินเทียนหยูสอนมู่หรงฉิงขี่ม้า เขาได้ใช้เวลาทานขนมของว่างไปด้วย แม้ว่าเวลานี้เขาจะหิวเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาแค่อยากให้น้องหญิงตัดสินใจ
หัวใจของมู่หรงฉิงอบอุ่น ปกติเขามักจะเป็คนแรกที่ร้องจะทานอาหารอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เขาสามารถปล่อยให้นางตัดสินใจทำให้นางรู้สึกประทับใจ นางจับมือของเขาแน่นมากขึ้น และนางพูดกับจ้าวจื่อซินว่า “กินข้าวก่อนเถอะ”
จ้าวจื่อซินไม่ได้ตอบ แค่เบี่ยงสายตาไปทางอื่นอย่างเ็าพลางสาวเท้าเดินไปข้างหน้า
มู่หรงฉิงไม่เข้าใจว่าจ้าวจื่อซินเป็อะไร? ั้แ่เขาเข้าไปในถ้ำ ทำไมเขาถึงได้ทำตัวเหมือนเป็ูเาน้ำแข็งซึ่งมีหิมะตกลงมาอย่างช้าๆ? ทั้งแววตาและน้ำเสียงมีแต่ความเ็า
“น้องหญิงระวังด้วย ถนนที่นี่เดินไม่ง่ายเลย” เห็นมู่หรงฉิงก้าวเท้าเดิน เฉินเทียนหยูจึงคว้านางไว้ หลังจากนิ่งคิดเล็กน้อย เขาก็อุ้มผู้เป็ภรรยาขึ้น
มู่หรงฉิงประหลาดใจ “ท่านพี่ มองเห็นทางชัดเจนหรือ?”
แม้ว่าจะมีแสงจันทร์ แต่ในูเาลึกมีทั้งวัชพืชและต้นไม้รกชัฏ เป็เื่ยากมากที่จะมองเห็นถนนได้อย่างชัดเจนในพื้นที่ที่ปราศจากแสงไฟ
“เห็นได้ชัดเจน เ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาถือคบเพลิงมาแล้ว?” เฉินเทียนหยูมองไปข้างหน้า และยิ้มให้มู่หรงฉิงอีกหน “น้องหญิงโง่มาก ไม่ได้ยินจ้าวจื่อซินเรียกใครสักคนให้มาจุดไฟหรือ?”
“...” นางไม่ได้ยินจริงๆ หรือว่าจ้าวจื่อซินพูดด้วยเสียงที่เบามาก?
ถูกคนโง่เช่นเฉินเทียนหยูบอกว่าโง่อยู่หลายหนในหนึ่งวัน มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกว่าความโง่เขลาและโง่งมนั้นคงสามารถติดต่อกันได้ บางทียิ่งนางอยู่กับเฉินเทียนหยูนานเท่าไร นางคงจะยิ่งโง่เพิ่มมากขึ้นกระมัง?
มู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูอุ้มไว้ราวกับเด็กทารก นางมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ท่ามกลางแสงไฟด้วยความอุ่นใจ
สถานที่นี้รกร้างและลึกมากจริงๆ เฉินเทียนหยูมาที่นี่ในตอนแรก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังเหลือเชื่อเกินไป
ต้นไม้รอบๆ มีขนาดใหญ่โตขนาดสองสามคนโอบ ส่วนวัชพืชบนถนนมีน้อยกว่าที่อื่นเป็อย่างมาก คิดว่าเนื่องจากมีคนใช้ถนนเส้นนี้ออกจากูเาบ่อยๆ กระมัง
ใช้เวลาไม่นานนักก็เห็นเรือนไม้หลังเล็กๆ อยู่ด้านหน้า ไฟในเรือนสั่นไหววูบวาบซึ่งไม่ได้ทำให้คนรู้สึกหดหู่ แต่กลับทำให้บรรยากาศเย็นสบายมากยิ่งขึ้น
ในที่รกร้างมีบ้านประหลาดๆ ตั้งอยู่ ใครเห็นย่อมรู้สึกแปลกๆ
“หอมจัง” ก่อนเข้าเรือนกลับได้กลิ่นอาหารหอมหวนน่าอร่อย พิจารณาจากกลิ่นนี้แล้ว น่าจะเป็อาหารประเภทเนื้ออบ
เฉินเทียนหยูถึงกับน้ำลายสอเนื่องจากกลิ่นหอม เขาสับเท้าเข้าไปในเรือนโดยอุ้มมู่หรงฉิงไว้ในอ้อมแขน
ทันทีที่เข้าไปในเรือน ก็เห็นโต๊ะยาวที่มีอาหารเครื่องเคียงหลายจาน และตรงกลางโต๊ะเป็หมูหันหนึ่งตัว เฉินเทียนหยูได้เห็นหมูหัน ดวงตาของเขาเป็ประกายทันควัน มู่หรงฉิงเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็รีบดึงไว้พร้อมพูดว่า “เดินมาเป็เวลานานแล้ว จนมีหยาดเหงื่อชุ่มทั้งตัว ไปล้างมือและล้างหน้าก่อนกินอาหารเถอะ”
เฉินเทียนหยูมองไปที่หมูหันบนโต๊ะอย่างลังเล จากนั้นจึงเลื่อนสายตามองมู่หรงฉิงที่ไม่ยอมประนีประนอม เขากัดฟันและปล่อยให้มู่หรงฉิงดึงเขาอย่างไม่เต็มใจโดยเดินไปที่ชั้นวางของตรงมุมห้อง
บนชั้นวางของมีอ่างไม้ที่มีน้ำอุ่นอยู่ มู่หรงฉิงค่อนข้างพอใจกับการจัดเตรียมของจ้าวจื่อซิน หลังจากทำความสะอาดมือและใบหน้าของนางกับเฉินเทียนหยู ทั้งคู่ก็นั่งลง
ทันทีที่นั่งลง เฉินเทียนหยูก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขายกมือไปฉีกขาหมูหันออกและกัดคำใหญ่
“อืม เวลานี้ได้แสดงอุปนิสัยของตัวเองออกมาแล้ว ก่อนที่ตนเองจะได้รับความพึงพอใจ น้องหญิงอย่างไร อย่างไรนั้นก็ทิ้งไว้ด้านข้างแล้ว” จ้าวจื่อซินเห็นเฉินเทียนหยูที่สนใจแต่การกินหมูหัน น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเย้ยหยัน แต่มู่หรงฉิงค่อนข้างไม่ชอบถ้อยคำนั้น เฉินเทียนหยูเป็เช่นนี้แล้ว จ้าวจื่อซินยังจะเยาะเย้ยเขาเป็ครั้งคราวอีกได้อย่างไรกัน?
หลังจากฟังคำพูดของจ้าวจื่อซิน เฉินเทียนหยูจึงใช้มืออีกข้างดึงขาหมูหันใส่ลงไปในชามของมู่หรงฉิง “น้องหญิงกิน มันอร่อยมากเลย”
ลูกหมูตัวนี้เป็หมูป่าที่คนของจ้าวจื่อซินล่ามาได้ เนื่องจากมาถึงูเาลึกจึงเป็เื่ปกติที่จะกินสัตว์ป่าบางอย่างถึงจะเรียกได้ว่ามาที่นี่ มู่หรงฉิงเห็นว่าเฉินเทียนหยูรับประทานอาหารด้วยความปีติยินดี นางพลอยส่ายศีรษะเบาๆ “ท่านพี่ช้าลงเล็กน้อย ไม่มีใครแย่งท่านพี่กินเสียหน่อย”
หลังจากรับประทานอาหารและอาบน้ำโดยมีปี้เอ๋อร์คอยดูแลรับใช้ เฉินเทียนหยูได้เข้ามาในเรือนพร้อมใบหน้ามู่ทู่
ก่อนหน้านางเกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปหาจ้าวจื่อซินเพื่อหลีกเลี่ยงเขา จะได้สะดวกในการอาบน้ำ คิดว่าเฉินเทียนหยูไปหาจ้าวจื่อซินแล้วคงไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ได้ทำ เขาจึงกลับมาด้วยสีหน้าไม่มีความสุข
“ท่านพี่ เป็อะไรหรือ?” แม้ว่าจะเดาได้หลายส่วน ถึงกระนั้นก็อยากได้ยินเขาบอกด้วยตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็อยากได้ยินสิ่งที่จ้าวจื่อซินทำให้เขาโกรธด้วย?
“จ้าวจื่อซินบอกว่าเขาหน้าตาดีกว่าข้า และยังบอกด้วยว่าข้าไม่คู่ควรกับน้องหญิง” เปล่งเสียงฮึ เฉินเทียนหยูคว้าแขนของมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าคับข้องใจ “น้องหญิง ข้าหน้าตาดีหรือว่าจ้าวจื่อซินหน้าตาดี?”
มู่หรงฉิงมองเฉินเทียนหยูด้วยอาการปวดศีรษะ นางไม่เข้าใจว่าผู้ชายร่างกำยำสองคนนี้พยายามเปรียบเทียบหน้าตากันเพื่ออะไร? หรือพวกเขาจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกสามบุรุษผู้หล่อเหลาในเมืองหลวง? “ท่านพี่พูดกับจ้าวจื่อซินว่าอย่างไรหรือ?”
ปวดศีรษะก็ยกให้เป็เื่ของปวดศีรษะ มู่หรงฉิงรู้ว่าจ้าวจื่อซินไม่ใช่คนที่น่าเบื่อเช่นนั้น คิดว่าเนื่องจากเฉินเทียนหยูพูดอะไรที่ทำให้เขาไม่มีความสุข เขาถึงได้ใช้คำพูดเพื่อทำให้เฉินเทียนหยูหายใจไม่ออก
เฉินเทียนหยูจับมือของมู่หรงฉิง และพูดอย่างน้อยใจเป็อย่างมาก “ข้าบอกว่าเขามีรอยแผลเป็บนแผ่นหลัง และมันไม่สวยเลย วันข้างหน้าเขาจะไม่สามารถหาผู้หญิงที่ชอบเขาได้ จากนั้นเขาก็พูดว่า ข้าไม่ได้หล่อเหลาเหมือนเขา ทั้งยังบอกอีกว่า ข้าไม่คู่ควรกับน้องหญิง...”
เฉินเทียนหยูพูดเช่นนั้น มู่หรงฉิงถึงเข้าใจแล้ว ขณะที่นางอาบน้ำอยู่ในเรือน จ้าวจื่อซินพาเฉินเทียนหยูไปอาบน้ำเย็นๆ ริมแม่น้ำ คิดว่าเฉินเทียนหยูเห็นรอยแผลเป็บนแผ่นหลังของจ้าวจื่อซิน ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปซึ่งเป็สาเหตุที่ทำให้จ้าวจื่อซินไม่สบอารมณ์ แต่ไม่คาดคิดเลยว่า จ้าวจื่อซินจะใส่ใจคำพูดของเฉินเทียนหยูเป็อย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้เฉินเทียนหยูถึงกับหายใจไม่ออก
ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ และดึงเฉินเทียนหยูให้นั่งลงบนเตียง “ดึกมากแล้ว วันรุ่งขึ้นยังต้องไปเก็บผลไม้ พวกเราพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”
ทันทีที่ได้ยินว่าเขาจะสามารถเก็บผลไม้ได้ในวันรุ่งขึ้น เฉินเทียนหยูจึงไม่ได้หงุดหงิดเพราะคำพูดของจ้าวจื่อซินที่ว่าเขาหน้าตาไม่ดีและไม่คู่ควรกับน้องหญิงแล้ว เขาพูดว่า ‘อืม’ อย่างมีความสุขและเข้านอน
มู่หรงฉิงเห็นปี้เอ๋อร์นั่งเย็บเสื้อผ้าของเฉินเทียนหยู นางจึงหัวเราะด้วยเสียงเบา “เ้านำชุดเย็บผ้าติดตัวมาด้วยจริงๆ หรือ?”
“บ่าวคิดว่า พวกเราจะเข้ามาในูเา คงไม่อาจรับรองได้ว่าเสื้อผ้าจะไม่ถูกเกี่ยว และชุดเย็บผ้านี้ก็ใช้พื้นที่ไม่มากนัก จึงนำมันมาด้วย และไม่คาดคิดเลยว่า เสื้อผ้าของคุณชายรองถูกเกี่ยวขาดจริงๆ”
“เ้ารอบคอบมาก” มู่หรงฉิงหัวเราะอีกหน ก่อนที่จะพูดต่อ “ดึกมากแล้ว เ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ”
มีเตียงเล็กๆ อยู่ใกล้กำแพง ปี้เอ๋อร์วิตกกังวลว่าจะมีสัตว์ร้ายในูเาลึก ดังนั้นนางจึงขอนอนบนเตียงเล็กๆ นี้ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือสถานการณ์ที่สายเกินไปจะลงมือป้องกัน
มู่หรงฉิงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับปี้เอ๋อร์ ถ้าอีกฝ่ายอาศัยอยู่ในห้องด้านข้างคนเดียว ดังนั้นนางจึงเห็นด้วย
นอนหลับทั้งคืนโดยปราศจากความฝัน ครั้นตื่นขึ้น ปี้เอ๋อร์ได้ดูแลรับใช้เฉินเทียนหยูชำระล้างและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เมื่อเห็นนางลืมตาตื่นขึ้นมา เฉินเทียนหยูก็ปรี่เข้ามาหาที่เตียงอย่างมีความสุข และดึงนางลุกขึ้น “น้องหญิงลุกขึ้นมาเร็วเข้า พวกเราจะไปเก็บผลไม้กัน”
หลังจากชำระล้างร่างกาย อาหารเช้าได้ถูกจัดเตรียมไว้ด้านนอกแล้ว หลังจากทานผักป่ากับข้าวต้ม เฉินเทียนหยูก็เหมือนจะสิ้นสุดความอดทน เขาดึงมู่หรงฉิงและเร่งเร้าจ้าวจื่อซินให้ขึ้นไปบนูเา
“ที่นี่อันตรายมาก มักจะมีสัตว์ป่าออกมาอยู่บ่อยครั้ง แต่โชคดีที่ต้นของผลไม้นั้นไม่ใช่ต้นไม้ที่สัตว์ป่าชื่นชอบ กอปรกับผลผลิตที่ยอดเยี่ยมมาก ผลไม้จะออกผลตลอดปี นั่นเป็สาเหตุที่คุณชายรองสามารถกินผลไม้สดได้ทุกวัน” แม้คำพูดของจ้าวจื่อซินจะเ็า แต่สามารถจัดได้ว่าเป็การอธิบาย หลังจากได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงพยักหน้ารับ “ผลไม้ชนิดนี้น่าทึ่งมากพอ คิดไม่ถึงว่าจะออกผลได้ตลอดทั้งปี”
พูดได้หรือไม่ว่า มีคนจงใจปลูกผลไม้นี้? และความประสงค์ก็คือ การทำให้มันกลายเป็อาวุธทรงพลัง?
เส้นทางบนูเานั้นยากต่อการเดิน ท้ายที่สุดมู่หรงฉิงถึงตระหนักได้ว่า คงเป็เื่ยากจริงๆ ที่จะขึ้นไปบนูเาท่ามกลางวัชพืชรกชัฏ ถึงกระนั้นนางก็แปลกใจเป็อย่างมาก เนื่องจากคนของจ้าวจื่อซินมักจะเข้าไปในูเาเพื่อเก็บผลไม้ แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่เปิดทางออกล่ะ?
ทันทีที่ความคิดนั้นปรากฏ มู่หรงฉิงรู้สึกว่าตนเองโง่เกินไป คิดว่าเนื่องจากจ้าวจื่อซินไม่้าให้สถานที่นี้ถูกคนอื่นค้นพบ ดังนั้นจึงไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้?
เส้นทางบนูเายากต่อการเดิน และยากต่อการเดินไปข้างหน้าโดยเฉพาะวัชพืชสูงครึ่งความสูงของคน ยิ่งน่าอายไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน
“น้องหญิง ข้าจะอุ้มน้องหญิง” ทุกคนลดความเร็วของฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อรอมู่หรงฉิง แต่มู่หรงฉิงยังคงตามความเร็วของฝีเท้าคนอื่นไม่ทัน เฉินเทียนหยูวิตกกังวลว่ามู่หรงฉิงจะล้ม เขาหมายจะอุ้มนางระหว่างพูด
มู่หรงฉิงโบกมือให้เฉินเทียนหยูพร้อมพูดอย่างหายใจไม่ออก “ไม่ต้องแล้ว จ้าวจื่อซินบอกว่ากำลังจะถึงในเร็วๆ นี้แล้วใช่หรือไม่? ท่านแค่จับข้าก็เพียงพอแล้ว”
ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ราบ หากเฉินเทียนหยูอุ้มนางไว้ จะทำให้เสียเวลาในการสังเกตใต้เท้าของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงเวลานั้นทั้งสองคนอาจตกลงจากูเา มันคงจะเป็ปัญหามากยิ่งกว่า
หลังจากเดินราวครึ่งชั่วยาม พุ่มไม้ทั้งสองข้างทางก็ค่อยๆ เตี้ยลง ต้องเดินต่ออีกราวชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย พวกเขาก็เดินออกจากเนินหญ้า
เมื่อเห็นต้นไม้สองต้นที่ออกผลอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งจากระยะไกลซึ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้นไม้นั้นไม่ได้ใหญ่และแข็งแรงอย่างที่จินตนาการไว้ มันคล้ายกับต้นท้อธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้ มันยังเตี้ยกว่าต้นท้อเป็อย่างมาก หากเทียบกับความสูงของจ้าวจื่อซินแล้ว ต้นไม้นั้นสูงกว่าจ้าวจื่อซินเพียงครึ่งหนึ่งของความสูงของเขา ผลไม้สีแดงก่ำยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำค้างในตอนเช้า ภายใต้แสงแดดที่ส่องประกาย ผลไม้นั้นฉายชัดถึงความฉ่ำและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น
แม้อยู่ในระยะไกล ทว่ากลิ่นผลไม้กลับดูเหมือนจะโอบล้อมผู้คนด้วยรสหวานซึ่งอธิบายเป็คำพูดไม่ได้
เฉินเทียนหยูเห็นผลไม้มากมายตรงหน้า เขาย่อมมีความสุขถึงกับไม่สามารถบอกทิศทางได้ั้แ่ก่อนหน้า เขาพุ่งตัวไปทางซ้าย จากนั้นไปดึงผลไม้ทางด้านขวา จนเขาแทบไม่สามารถถือมันไว้ในมือได้อีกต่อไป กระนั้นเขาจึงวางมันลงบนพื้น ส่วนผลไม้ที่เด็ดออกมานั้น เขาก็คร้านเกินกว่าที่จะล้างแล้วจึงนำมันใส่เข้าปากและเริ่มกิน
มู่หรงฉิงเห็นว่าเฉินเทียนหยูถูกผลไม้ดึงดูดสายตาจนสูญเสียสติปัญญา นางทำได้เพียงส่ายศีรษะและปลงอนิจจัง นางไม่สนใจเขาอีกต่อไป นอกจากฝังศีรษะงมหาหญ้าชิงโยวรอบๆ ต้นไม้ตามเจตจำนงของตนเอง