"ข้าเพียงรู้สึกว่า...ท่านก็หน้าตาดีไม่น้อยนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขา พลันรู้สึกว่าั์ตาคู่นั้นดำขลับลึกล้ำ จมูกโด่งเป็สัน โครงหน้าคมคาย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆ ร่ำลือกันเลย ออกจะ...ดูองอาจสง่างามเสียด้วยซ้ำ
พอได้ยินคำชมนั้น จางเจิ้นอันก็หัวเราะในลำคอเบาๆ พลางกวาดตามองอันซิ่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน แล้วเอ่ยถามเสียงแ่ "เหตุใดท่านถึงต้องสวมงอบและใช้ผ้าดำปิดหน้าอยู่ตลอดเวลาหรือเ้าคะ? หรือว่าดวงตาของท่านาเ็จนไม่อาจทนแสงได้?"
จางเจิ้นอันไม่คาดคิดว่านางจะทายถูกได้ง่ายดายเพียงนี้ จึงพยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับว่า "ถูกต้อง ดวงตาของข้าเคยาเ็เมื่อครั้งยังเยาว์ ไม่อาจสู้แสงจ้าได้"
"เป็เช่นนี้นี่เอง" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ แล้วจึงเอ่ยถามต่อ "เช่นนั้นสายตาของท่าน...ได้รับผลกระทบกระเทือนบ้างหรือไม่เ้าคะ?" พลางยื่นมือไปโบกไปมาตรงหน้าเขา "ตอนนี้ท่านมองเห็นข้าชัดเจนหรือไม่?"
จางเจิ้นอันเห็นนางโบกมือขาวผ่องไปมาตรงหน้า ก็อดหัวเราะหึๆ ในลำคอไม่ได้ เขารู้ดีว่าชาวบ้านในละแวกนี้เรียกขานเขาว่า ‘จางตาบอด’ นางคงสงสัยว่าเขาตาบอดจริงๆ กระมัง?
อันที่จริง ถึงแม้ดวงตาเขาจะไม่อาจทนต่อแสงจ้าได้ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ฝึกฝนจนคุ้นชินแล้ว แต่ในความมืด สายตาของเขากลับเฉียบคมเป็พิเศษ เขามองเห็นแววห่วงใยระคนกังวลในดวงตาของนางได้อย่างชัดเจน
ห่วงใยงั้นหรือ? ช่างเป็สตรีที่จิตใจดีงามเสียจริง เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นอีกครั้ง ครอบครัวของนางขายนางให้เขาเพื่อแลกกับเงินทอง ทว่าเมื่อนางมีโอกาสจะได้ไปกับผู้อื่น นางกลับเลือกที่จะแต่งงานกับเขาอย่างแน่วแน่ นั่นทำให้เขาอดชื่นชมนางอยู่ในใจไม่ได้ เดิมทีเขาเพียง้าหาภรรยาไว้เพื่อรับมือกับคนเ่าั้เท่านั้น เขามองทะลุถึงธาตุแท้ของชาวบ้านแถบนี้แล้วว่าร้ายกาจเพียงใด ถึงเวลานั้น คงจะสามารถทำให้พวกนั้นโกรธจนกระอักเืได้เป็แน่
แต่ยามนี้ เมื่อได้มองสตรีร่างเล็กบอบบางตรงหน้า ดวงตาคู่สวยของนางอ่อนโยนราวแสงจันทร์กระจ่างใส หัวใจของเขาก็พลันเต้นแรงขึ้นมาหลายส่วน จนแทบไม่กล้าสบตานางตรงๆ ได้แต่ก้มหน้าลง แต่ในแววตากลับฉายประกายเ็ปจางๆ ออกมา
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ เขาเก็บถ้วยชามไปล้าง แล้วตักน้ำสะอาดมาให้อันซิ่วเอ๋อร์ล้างหน้าล้างตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากว่า "คืนนี้เ้านอนพักผ่อนในห้องนี้เถิด ข้าจะไปนอนบนเรือ"
พอได้ยินเช่นนั้น มือที่กำลังจะบิดผ้าเช็ดหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันกำแน่นขึ้น นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม "เพราะเหตุใดหรือเ้าคะ? หรือว่าข้าทำสิ่งใดผิดไป?"
"เปล่า" จางเจิ้นอันตอบ พลางหันไปเห็นนางยังคงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนทำความผิด ในใจก็อ่อนยวบลงเล็กน้อย จึงเอ่ยต่อ "เพียงแต่เ้ารู้ดีว่าข้าเป็คนสันโดษ ไม่คุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น"
"แต่ข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะเ้าคะ ข้าเป็ภรรยาของท่าน" อันซิ่วเอ๋อร์รีบก้าวเข้ามาสองสามก้าว คว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วกระซิบเสียงเบา
"ในห้องนี้มืดมิดน่ากลัวเหลือเกิน ท่านโปรดอยู่เป็เพื่อนข้าที่นี่เถิดนะเ้าคะ อีกอย่าง หากชาวบ้านรู้ว่าคืนส่งตัวท่านกลับไปนอนบนเรือ เื่คงไปถึงหูท่านพ่อท่านแม่ของข้า พวกท่านคงต้องเป็กังวลมากแน่ๆ"
เมื่อรู้สึกถึงััจากมือเล็กๆ ที่ไร้กระดูกของนางบนข้อมือ ในใจเขาก็อ่อนยวบลงอีกครา พอได้ยินนางกล่าวต่อว่า "ท่านวางใจเถอะเ้าค่ะ ปกติข้านอนหลับเงียบมาก จะไม่ส่งเสียงรบกวนท่านเลย ท่านทำเหมือนว่าในห้องนี้มีเพียงท่านคนเดียวก็ได้"
"แต่ว่า..." จางเจิ้นอันเอ่ยอย่างลังเล
อันซิ่วเอ๋อร์จึงรีบเสนอ "หรือถ้าเช่นนั้น ท่านนอนบนเตียงก็ได้เ้าค่ะ ส่วนข้าจะปูที่นอนนอนกับพื้นเอง รับรองว่าจะไม่รบกวนท่านแน่นอน"
เมื่อนางกล่าวถึงเพียงนี้ จางเจิ้นอันก็จำต้องยอมตกลง "เช่นนั้นก็สุดแท้แต่เ้าเถิด"
พอได้ยินคำตอบรับที่ชัดเจนของเขา อันซิ่วเอ๋อร์ก็แย้มยิ้มออกมาได้ ในใจรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
จางเจิ้นอันออกไปเก็บล้างถ้วยชาม แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์จึงเอ่ยถาม "ในบ้านของเราพอจะมีผ้าห่มสำรองบ้างหรือไม่เ้าคะ?"
จางเจิ้นอันส่ายหน้า อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวด้วยความรู้สึกผิด "เป็ความผิดของข้าเองเ้าค่ะ ลูกสาวบ้านอื่นเวลาออกเรือนล้วนมีผ้าห่มผ้านวมติดตัวมาด้วยทั้งสิ้น แต่ครอบครัวของข้ายากจน ทั้งตัวข้าเองก็ไม่ได้เก็บหอมรอมริบไว้แต่เนิ่นๆ พอแต่งงานมาอยู่กับท่าน จึงไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืนติดตัวมาเลย"
พอเห็นท่าทางเหมือนนางจะร้องไห้ออกมาอีก จางเจิ้นอันก็เกาศีรษะ รู้สึกหงุดหงิดระคนจนใจขึ้นมา "ไม่เป็ไร เ้านอนบนเตียงเถิด ข้าจะนอนบนม้านั่งนี่ก็ได้"
อันซิ่วเอ๋อร์พลันหยุดสะอื้น แล้วเอ่ยว่า "เช่นนั้นท่านจะไม่หนาวแย่หรือเ้าคะ? เดิมทีข้าก็ตั้งใจจะนอนบนม้านั่งอยู่แล้ว"
พูดพลางก็ลุกขึ้นยืน จัดเรียงม้านั่งยาวสองตัวเข้าด้วยกัน เตรียมจะเอนกายลงนอนทั้งชุด แต่จางเจิ้นอันกลับไวกว่านาง ตอนที่นางจัดม้านั่งเสร็จ เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนม้านั่งนั้นเสียแล้ว
จางเจิ้นอันเห็นนางทำท่าตกตะลึง ก็เอ่ยว่า "เ้าไปนอนบนเตียงเถิด"
"ก็...ได้เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแววตาจริงจังของเขา จึงไม่ได้ดึงดันต่อ เพียงนั่งลงข้างเตียง แล้วถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา จางเจิ้นอันเหลือบไปเห็นเท้าเล็กๆ คู่นั้นของนางพอดี นางไม่ได้รัดเท้า แต่เท้าของนางก็เล็กนิดเดียว ขนาดพอๆ กับฝ่ามือของเขา ผิวขาวผุดผ่องราวหยกเนื้อดี ในใจพลันเตลิดคิดไปไกล อยากจะลองเอื้อมมือไปััดูสักครั้ง
เขาพยายามข่มความปรารถนานั้นลง หลับตาลง แต่ในสมองกลับยังคงปรากฏภาพเท้าขาวคู่นั้นวนเวียนอยู่ ในใจพลันมีปีศาจน้อยตนหนึ่งก่อตัวขึ้น กำลังหัวเราะเยาะเขาอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่ใช่คนที่นี่ อย่าได้ทำลายพรหมจรรย์ของนางเลย หากเขายังยับยั้งชั่งใจได้ ไม่ทำให้นางมัวหมอง วันข้างหน้า นางก็ยังสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่งงานมีครอบครัวที่ดีได้
ทว่าเสียงอ้อนวอนน่าสงสารนั้นกลับดังขึ้นข้างหู "ท่านพี่ ท่านนอนบนม้านั่งหนาวหรือไม่เ้าคะ?"
"ไม่หนาว" จางเจิ้นอันตอบกลับ เสียงแหบพร่าเล็กน้อย
"ตอนนี้อากาศยังเย็นอยู่ ท่านจะไม่หนาวได้อย่างไร? ดูสิ เสียงของท่านยังแหบไปเลย หากเป็เช่นนั้น ท่านก็ขึ้นมานอนบนเตียงเถิดนะเ้าคะ ข้าดูแล้วเตียงกว้างขวางมาก ข้านอนด้านใน ท่านนอนด้านนอก ข้าสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินท่าน ข้านอนหลับเงียบมากจริงๆ แม้แต่จะขยับตัวก็จะไม่ทำ"
"ไม่ต้องแล้ว" จางเจิ้นอันปฏิเสธเสียงแข็ง
เขาไม่ใช่หลิ่วเซี่ยฮุ่ย [1] ผู้เป็ยอดบุรุษ ที่สามารถอยู่ร่วมห้องกับสตรีงดงามโดยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย การควบคุมตนเองของเขาก็นับว่าดีเยี่ยมแล้วมิใช่หรือ?
"คนโบราณว่าสามีภรรยาเปรียบดังร่างกายเดียวกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เช่นนั้นข้าก็นอนบนม้านั่งเป็เพื่อนท่านพี่ด้วยแล้วกันนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าว พลางลุกจากเตียง จางเจิ้นอันคิดว่านางคงแค่พูดเล่น ทว่านางกลับเดินไปเปิดประตู แล้วยกม้านั่งยาวเข้ามาอีกสองตัวจริงๆ
นางวางม้านั่งลงไม่ไกลจากเขา จางเจิ้นอันไม่ได้กล่าวว่ากระไร อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เขารู้สึกว่านางคงทนอยู่ได้ไม่นาน ทว่าผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางกลับยังคงนอนตัวตรงนิ่งอยู่บนม้านั่งแคบๆ นั้นอย่างสงบเสงี่ยม
"เฮ้อ" จางเจิ้นอันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง "เ้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?"
"ข้าไม่ลำบากเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า "การได้นอนบนม้านั่งร่วมกับสามี ข้ากลับรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก"
จางเจิ้นอันได้ยินเสียงหัวเราะของนาง ใสราวเสียงกระดิ่งแก้ว ฟังดูคล้ายมีความสุขจริงๆ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ลมหนาวพัดโชยมาจากนอกหน้าต่าง แม้แต่เขายังรู้สึกเย็นเยียบ แต่นางกลับยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็หมดหนทาง ลุกขึ้นยืนตรงหน้านาง แล้วเอ่ยว่า "เอาเถิด ข้ายอมเ้าแล้ว กลับไปนอนบนเตียงเถิด" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ตอบ จางเจิ้นอันจึงกล่าวเสริม "ข้าก็จะนอนบนเตียงด้วย"
พอได้ยินเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์จึงลืมตาขึ้น ในแววตามีรอยยิ้มพาดผ่าน กำลังจะใช้มือยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทว่ากลับลืมไปว่าตนเองนอนอยู่บนม้านั่ง ร่างกายจึงเสียหลัก หงายหลังตกลงไปจากม้านั่งทันที
จางเจิ้นอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรืดออกมา ก่อนจะรีบกลับมาทำหน้าขรึมตามเดิม แล้วยื่นมือไปหานาง
อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วน้อยๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยื่นมือออกไป วางลงบนฝ่ามือของจางเจิ้นอัน เขาออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็ดึงร่างนางขึ้นมาจากพื้นได้อย่างง่ายดาย
ฝ่ามือของเขาหยาบกร้าน แต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก จนกระทั่งเขาปล่อยมือไปแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าว โชคดีที่เป็เวลากลางคืน เขาจึงมองไม่เห็น นางทำทีเป็สงบเสงี่ยมเดินไปยังข้างเตียง แล้วเอ่ยว่า "ข้านอนหลับเงียบมาก ข้าจะนอนชิดด้านใน จะไม่ขยับไปไหนแน่นอนเ้าค่ะ"
"อืม" จางเจิ้นอันยังคงนอนอยู่ด้านนอก รอจนกระทั่งนางนอนลงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเปิดผ้าห่มขึ้นมุมหนึ่ง แล้วเอนกายลงนอนบนเตียง
อันซิ่วเอ๋อร์นอนชิดขอบเตียงด้านใน เขานอนห่างจากนางมาก แทบจะเรียกได้ว่านอนอยู่ริมขอบเตียงอีกด้าน ทว่าถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกราวกับมีร่างนุ่มนิ่มเย็นๆ กำลังเบียดชิดเข้ามาใกล้ ทำให้ร่างกายเขาร้อนผ่าวไปหมด เขาเบิกตากว้าง แต่กลับไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
รุ่งเช้าเมื่อตื่นขึ้นมา กลับพบว่าในอ้อมแขนของตนมีร่างนุ่มนิ่มอบอุ่นซุกอยู่ เขามักจะตื่นเช้าตรู่เป็ปกติอยู่แล้ว แต่สตรีในอ้อมแขนกลับยังคงหลับสนิท เมื่อเขาก้มหน้าลง ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนาง จางเจิ้นอันรู้สึกว่ายากจะหักห้ามใจ
เขาพยายามข่มความคิดฟุ้งซ่านนั้นลง แล้วค่อยๆ แกะมือของนางที่กอดเอวตนเองอยู่ออก ทว่าสตรีผู้นี้กลับดูเหมือนจะดื้อรั้นยิ่งนัก กอดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขาแกะมือออก นางก็กอดใหม่ แถมยังยกขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นมาพาดทับร่างเขาไว้อย่างแแ่
ไหนบอกว่าตอนนอนหลับจะสงบเสงี่ยม ไม่ขยับเขยื้อนอย่างไรเล่า?
จางเจิ้นอันรู้สึกจนปัญญา แสงอรุณยังไม่สว่างนัก เขาจึงถือโอกาสเบิกตากว้าง พิจารณารูปร่างหน้าตาของสตรีในอ้อมแขนอย่างละเอียด ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และงดงามหมดจด จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อ แม่สื่อฮวาไม่ได้หลอกลวงเขาจริงๆ อันซิ่วเอ๋อร์เมื่อเทียบกับสตรีในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้แล้ว นับว่าเป็สาวงามล่มเมืองได้เลยทีเดียว
เส้นผมดำขลับเป็เงางามของนางสยายลงบนหมอน ดูนุ่มลื่นน่าัั เขาทนไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมนั้นเบาๆ ััที่นุ่มละมุนนั้นทำให้ความร้อนรุ่ม่ท้องน้อยของเขาปะทุขึ้นมาในทันที ขาเล็กๆ คู่นั้นยังคงเบียดเสียดอยู่บนร่างเขา ยิ่งทำให้ไฟปรารถนาในใจเขาลุกโชนมากยิ่งขึ้น
เขาอดไม่ได้ที่จะพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างนางไว้ สตรีในอ้อมกอดครางออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
อันซิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ก็สบเข้ากับดวงตาของจางเจิ้นอันที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา ในดวงตาคู่นั้นราวกับมีเปลวไฟเล็กๆ ลุกโชนอยู่ ยามนี้ท่าทางของเขาดูราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์หวาดกลัวจนอยากจะหนีไปให้พ้น
ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือสามีของนาง นางจึงพยายามข่มความหวาดกลัวลง แล้วสบตาเขากลับไป พยายามสื่อสารผ่านแววตาว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาร้าย พยายามใช้สายตาอ่อนโยนปลอบประโลมเขา
ทั้งสองสบตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางเจิ้นอันก็พ่ายแพ้ให้กับดวงตาที่ใสกระจ่างราวผืนน้ำคู่นั้น เขาพลิกตัวลงนอนข้างๆ เสียงแหบพร่าเล็กน้อย "เมื่อครู่เ้าล่วงเกินข้าแล้ว"
"เช่นนั้นหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วรีบกลิ้งตัวเข้าไปชิดด้านในมากขึ้น "ท่านอย่าโกรธเลยนะเ้าคะ คราวหน้าข้าจะระวังตัวให้มาก จะไม่ล่วงเกินท่านอีกแล้ว"
"อืม" บุรุษหนุ่มตอบรับในลำคอเบาๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้ล้ำเส้นกันอีก ต่างคนต่างนอนอยู่ในพื้นที่ของตนเองอย่างสงบเสงี่ยม ทว่าร่างกายกลับเกร็งแน่น ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อีก
รอจนกระทั่งแสงตะวันเริ่มสาดส่องเข้ามา จางเจิ้นอันจึงลุกขึ้นจากเตียง เขาเดิมทีก็สวมเสื้อผ้าครบชุดอยู่แล้ว เพียงสวมรองเท้าแล้วก็เดินออกไปจากห้อง
รอจนกระทั่งเขาเดินออกไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยๆ คลานลุกขึ้นมาจากเตียง นางนั่งลงบนขอบเตียง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วยกมือขึ้นเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด ปกติแล้วนางเป็คนนอนหลับนิ่งมาก ไม่ค่อยขยับตัว เหตุใดเมื่อคืนถึงได้ล่วงเกินเขาไปได้เล่า? ดูจากแววตาของเขาเมื่อครู่ ราวกับจะกลืนกินนางเข้าไปทั้งตัว คราวหน้าตนเองจะต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
อืม... แต่เขาก็มิได้ทำสิ่งใดต่อนางจริงๆ ดังนั้นเพียงแค่ตนเองระวังตัวให้ดี พูดจาอ่อนหวานเข้าไว้ การใช้ชีวิตร่วมกันในวันข้างหน้า ก็คงจะไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก
เชิงอรรถ
[1] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย 柳下惠 ขึ้นชื่อในเื่ของบุรุษผู้มีคุณธรรมอังสูงส่ง เื่เล่ามีอยู่ว่าหลิ่วเซี่ยฮุ่ยต้องหลบฝนอยู่กับสาวงามทั้งคืนแต่กลับไม่ได้ทำอะไรที่เป็การล่วงเกินหญิงสาวเลย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงใช้ชื่อของเขาเพื่อพูดถึงชายที่มีคุณธรรมและมีจิตใจแน่วแน่มั่นคงนั่นเอง
