เหล่าโจรบนทุ่งหญ้านั้นน่ากลัวเพียงไร อาลู่ย่อมเคยได้ยินมาั้แ่เด็ก
พวกนั้นฆ่าคนราวกับผักปลา มีสี่แขน สามตา ทั้งร่างมีตุ่มตะปุ่มตะป่ำราวกับผีร้าย
ตอนนี้อาลู่ก็กลายมาเป็โจรบนทุ่งหญ้าคนหนึ่งแล้วเช่นกัน เพียงเขานั้นเป็เพียงเด็กหนุ่มหน้าตาไร้พิษภัย ร่างกายผอมแห้ง มีสองแขน และมีดวงตาเพียงหนึ่งคู่ นอกจากนี้เขายังไม่มีตุ่มตะปุ่มตะป่ำ ใต้ร่างมีเพียงม้าสภาพร่อแร่ตัวหนึ่ง
อาลู่เมื่อได้ยินเหล่าชายหนุ่มะโว่าสังหาร แล้วจึงพุ่งตัวออกไปเบื้องล่าง ในใจก็เกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมา
ทว่าเพียงครู่เดียวเ้าม้าใต้ร่างเขา ก็ร่วมพุ่งตัวออกไปกับชายหนุ่มเ่าั้เสียแล้ว
เหมือนเช่นที่มันเคยทำในวันวาน
หน้าที่ของเหล่าโจรคือการปล้น โจรที่ปล้นไม่เป็ก็มิอาจนับว่าเป็โจรได้
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงแหลมดังขึ้น
จากนั้นก็ได้พบกับเืที่ไม่ใช่เืของใครอื่นไกล แต่เป็เืของชายหนุ่มในค่าย เืของชาวโจร
ชายคนนั้นคือคนแรกที่พุ่งตัวลงมา จึงได้ถูกกลุ่มชายสวมเกราะฟันเข้าทีหนึ่ง
แขนข้างหนึ่งจึงพลันลอยขึ้นมา
สายเืพวยพุ่งกระเซ็นราวกับน้ำพุ
อาลู่เพิ่งจะค้นพบว่าสายตาของเขาในตอนนี้นับว่าเป็เลิศ
สิ่งที่เขามองเห็นชัดเจนไปทุกรายละเอียด แขนข้างที่ถูกตัดของชายหนุ่มนั้น บัดนี้เขามองเห็นกระทั่งปากแผลเหวอะหวะ
เ้าก้างยังคงพาเด็กหนุ่มห้อตะบึงไปยังเบื้องล่าง
บัดนี้รู้สึกว่าเขาก็อาจตายได้เช่นกัน
การฆ่าหรือถูกฆ่านั้นเป็แค่เื่เพียงชั่วพริบตา
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้อาลู่กลับพบว่าสายตาเขานั้นช่างเป็ข้อได้เปรียบ เนื่องจากมองเห็นได้ชัดเจนในทุกรายละเอียด ถึงขนาดในบางครั้งที่คนอื่นเผลอฟันมาทางเขาโดยไม่ตั้งใจ เขาก็สามารถหลบได้โดยสัญชาตญาณ เจอเหตุการณ์เช่นนี้ ก็หลบอยู่เช่นนั้นหลายครา จากท่าทีเก้ๆ กังๆ ในตอนแรก ก็ค่อยๆ คุ้นชินจนร่างกายพลันคล่องแคล่ว
อาลู่เดิมทีก็นับว่าเป็คนเรียนรู้ไว
ท่ามกลางคมหอกคมดาบเช่นนี้ เขาถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองนั้นราวกับปลาได้น้ำ ช่างมีชีวิตชีวา
หยาดเืกระเซ็นสาดลงบนใบหน้าเด็กหนุ่มจนเปียกชุ่ม หยาดเืนั้นมากเสียจนอาลู่ไม่อาจเช็ดไหว
อาลู่ด้านหนึ่งคอยหลบคมมีด อีกด้านหนึ่งก็คอยมองเกวียนเทียมวัวท้ายขบวนที่กำลังใกล้เข้ามา
สายตาเขานั้นดีกว่าใคร
แม้สตรีตรงหน้ากับท่านแม่ในความทรงจำของเขานั้นจะดูต่างกันลิบลับ
แม้ร่างกายจะอวบอ้วนขึ้น กระทั่งศีรษะมีเครื่องเงินประดับอยู่ ทว่าอย่างไรอาลู่ก็ไม่มีทางจำคนผิด
นางย่อมเป็ท่านแม่ของเขาไม่ผิดแน่
เขาเคยหลับฝันนับครั้งไม่ถ้วน ฝันว่าได้เจอท่านแม่ของตน
ใบหน้ากลมๆ ของท่านแม่ ยามแย้มยิ้มยังคงเห็นฟันที่เรียงกันอย่างไม่เป็ระเบียบนั้น ซ้ำตรงมุมยังมีเขี้ยวแหลมๆ อีกซี่หนึ่งยื่นออกมา
อาลู่ที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเื ค่อยๆ เข้าประชิดเกวียนเทียมวัวที่ก่อนหน้านี้เขาไม่แม้แต่จะลงมือทำร้าย ซ้ำยังคอยช่วยกำบังให้อยู่ตลอด
ทว่าฮูหยินบนเกวียนนั้นกลับกรีดร้อง เมื่อเห็นชายสวมเกราะข้างเกวียนล้มตายลง
อาลู่เห็นท่านแม่รีบกระชับทารกน้อยตัวอ้วนเข้าอ้อมกอด
แม้จะได้เจอกันในโอกาสเช่นนี้ อาลู่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ก่อนเด็กหนุ่มจะรีบพุ่งตัวเข้าไปบังท่านแม่ของตน ด้วยกลัวนางจะาเ็
ั้แ่ต้นขบวนจวบจนท้ายขบวนนั้นนับว่าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไม่ต่างกัน
อาลู่นั้นเดิมทีก็มีสายตาเป็เลิศ ทั้งมือไม้ก็คล่องแคล่ว หากตั้งใจจะป้องกันตัวเองเพียงอย่างเดียวย่อมไม่มีทางได้รับาเ็ ทว่าเขาก็ยังเลือกที่จะควบม้ามาทางท้ายขบวนอย่างไม่คิดชีวิตจนร่างกายได้รับาเ็ แม้จะาเ็เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ดังนั้นเมื่อต้าโกวผู้นับว่าเป็โจรเช่นกัน ได้เห็นเด็กหนุ่มออกเดินหน้าฝ่าเข้าไปปล้นในตัวขบวน ใจก็บังเกิดความรู้สึกนับถือ ซ้ำยังรู้สึกว่าเ้าเด็กหนุ่มช่างคล่องแคล่วว่องไว ท่าทีก็ไม่คล้ายกับคนที่เพิ่งออกปล้นครั้งแรก
แม้ระยะทางจะแค่สั้นๆ ทว่าร่างกายของอาลู่นั้นกลับโชกชุ่มไปด้วยเืเสียแล้ว ส่วนเืนั้นก็มีทั้งของเขาเอง และของคนอื่นเป็ส่วนใหญ่
จนในที่สุดเขาก็ควบม้าฝ่ามาจนถึงหน้าท่านแม่ เขามองท่าทีของท่านแม่ที่ทั้งหวาดกลัวและใ ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านแม่จะต้องจำเขาได้
อาลู่เคยได้ยินเหล่าปาเล่าว่า เหล่าโจรในค่ายยามออกปล้นนั้นปกติจะไม่ฆ่าสตรี เพียงแค่พวกนางไม่ได้รับาเ็ก็ให้พากลับไปยังค่าย ทว่าหากได้รับาเ็แล้ว ก็จะไม่พากลับไป เนื่องด้วยบนเขานั้นไม่มีหมอ และยารักษามากมายพอจะมารักษาพวกนาง
หากว่ากันตามนี้ ท่านแม่ยิ่งมิอาจได้รับาเ็ จึงจะหนีรอดได้
เด็กหนุ่มที่ในที่สุดก็ได้เข้าใกล้มารดาตนก็มิสนอะไรอีกทั้งสิ้น คิดเพียงอยากจะคุ้มกันให้มารดาปลอดภัย
เมื่อเห็นแววตาใของนาง อาลู่ก็ยิ่งดีใจราวกับเด็กชายในวัยแรกรุ่นในที่สุดก็ได้พิสูจน์ตัวตนกับพ่อแม่ว่าตนนั้นเป็ผู้ใหญ่แล้ว
เบื้องหน้าท่านแม่นั้นไม่มีชายชุดเกราะคอยคุ้มกัน ยามมองนางนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัว ก็พอจะเดาออกว่าฐานะของนางย่อมไม่ได้สูงส่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็แค่สาวใช้คนหนึ่ง หรือเป็ภรรยาของคนใช้คนหนึ่ง
ยามมีการจี้ปล้นนั้นผู้คนช่างโดนลูกหลงได้ง่ายนัก
อาลู่ยกมีดขึ้นอาศัยความไวของสายตาตัวเองป้องกันลูกธนูไว้ได้ถึงสองดอก
แม่นางอวี้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบกระชับลูกชายของสามีตนกับภรรยาคนก่อนเข้าอ้อมอกพร้อมนั่งสั่นงันงกอยู่บนเกวียนอย่างไร้ทางสู้ แม้ในใจนางนั้นคิดอยากจะวิ่งหนีไป ทว่าใจนางนั้นกลับไม่กล้าพอ เพราะหากเพียงสามีทราบว่านางคิดทิ้งเ้าหนูน้อยตัวอ้วนไว้แล้วหนีเอาตัวรอด เกรงว่าให้เขาฆ่านางทิ้งก็คงยังไม่พอ
ในตอนนั้นเองที่นางเห็นเด็กหนุ่มร่างชุ่มไปด้วยเืกำลังควบม้ามาทางนาง ในตอนนั้นนางกลัวจนแทบจะกรีดร้อง ทว่าจวบจนร่างนั้นมาหยุดตรงหน้านาง นางจึงได้เบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ
เ้าโจรเด็กนี่ที่แท้ก็คืออาลู่ ลูกชายนาง
เ้าเด็กนั่นขี่ม้าอยู่ข้างเกวียนคอยคุ้มกันให้นาง ซ้ำยังช่วยกันธนูให้ถึงสองดอก
ในใจแม่นางอวี้พลันเกินความรู้สึกซับซ้อน
คราวที่แล้วที่เ้าเด็กนี่มาหานาง บอกว่าลูกสาวนางกำลังจะตาย นางก็ไล่ตะเพิดให้กลับไป
อาลู่ตาแดงก่ำ เดินเข้ามายืนข้างกายมารดาตน เขาอยากกล่าวอะไรกับท่านแม่บ้าง
จึงได้แต่บอกนางว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกลัวไป ข้าจะปกป้อง....”
คำว่า ‘ท่าน’ คำนี้ยังไม่ทันได้กล่าวออกมา
อาลู่ก้มหน้าลงมองก็พบว่าบนร่างกายตนนั้นมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่
ท่านแม่ลงมืออย่างโเี้ ปักมีดลงบนร่างกายเขา
นางถึงขั้นลงมือเอง ช่างรุนแรงนัก ไม่ออมมือแม้แต่น้อย
อาลู่พลันโถมตัวซบลงบนหลังม้า
มองท่านแม่ตนลนลานรีบคว้าทารกน้อยตัวอวบอ้วนมากอดไว้ ก่อนจะรีบถอยไปแอบหลังชายคนหนึ่ง ทว่าต่อมาเพื่อจะหลบคมจากลูกธนู เขาก็เห็นชายคนนั้นถึงขั้นผลักนางออกมาบังลูกธนูให้ตน ส่วนท่านแม่อารามใก็โยนทารกน้อยในอ้อมอกทิ้งไปเช่นกัน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น
แม้ร่างกายอาลู่จะได้รับาเ็ ทว่าสายตาของเขานั้นยังดีดังเดิม
เ้าม้าใต้ร่างของเด็กหนุ่มนั้นเคยผ่านความเป็ความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าทุกครั้งที่อยู่กับเ้าก้างปลา มันกลับต้องให้เ้าก้างปลาออกแรงโบยแทบตายจึงจะยอมวิ่ง กระนั้นบัดนี้เ้าม้ากลับเป็ฝ่ายแบกร่างเด็กหนุ่มวิ่งหายลับเข้าไปในเขตป่าด้วยตัวเอง
เ้าม้าห้อตะบึง ร่างเด็กชายบนหลังม้าก็พลอยโคลงตามจังหวะการวิ่งของมัน
เืจากแผลค่อยๆ ไหลออกมามากขึ้น ทำให้เสื้อชุ่มไปด้วยเืเป็ดวงๆ ลายปักนกตัวใหญ่บนเสื้อของเด็กหนุ่ม เมื่อเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยเืก็ดูราวกับมีชีวิต
เสียงการเข่นฆ่า เสียงกรีดร้อง เสียงโอดครวญขอชีวิต ความวุ่นวายพลันผสมปนเป็หนึ่งเดียวกัน
อาลู่ไม่ได้หันกลับไปมอง
ชีวิตที่ท่านแม่มอบให้เขานั้น บัดนี้ถือว่าเขาได้มอบมันคืนแก่นางแล้ว
คิดได้ดังนั้นอาลู่ที่นอนซบอยู่บนหลังม้าก็พลันยกมีดขึ้นกรีดรอยแผลบนกายตนเพิ่มอีกแผลหนึ่ง ทว่ามันก็ยังไม่ลึกเท่ารอยแผลที่มารดาได้ฝากไว้
ชัยชนะเช่นนี้ช่างน่าสมเพชเกินไป
ทว่าคนที่มีชีวิตก็คงจะเรียกมันว่าชัยชนะอยู่ดี ส่วนคนตายก็ไม่อาจนับได้ว่าควรเรียกว่าอะไร
เ้าก้างยังคงพาอาลู่ออกวิ่งเข้าไปในกลุ่มโจรที่เพิ่งได้รับชัยชนะ
เหล่าคนที่หนีตายทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ไม่น้อย กลางทุ่งหญ้าจึงปรากฏภาพเหล่าชายฉกรรจ์กำลังออกแรงลากข้าวของที่ปล้นมาได้กลับไปยังค่าย
บนร่างของอาลู่ยังคงมีมีดเล่มเดิมปักอยู่ สาเหตุที่เขาไม่ได้ดึงออกนั้นเป็เพราะเหล่าปาเคยสอนไว้ว่า ยามอยู่ด้านนอกแล้วโดนแทง หากเร่งรีบดึงมีดออกตามใจ จะทำให้ตายไวยิ่งกว่าเดิม
เด็กหนุ่มตามขบวนเดินทางไปบนถนนกระดูกด้วยสติที่เลือนราง เพียงแต่เขายังคงจำความรู้สึกครั้งแรกที่เดินบนถนนสายนี้ได้ว่า ตนเคยกระวนกระวายใจและหวาดกลัวเพียงใด กลับกันในครั้งนี้นั้นเขารู้สึกราวกับกำลังกลับบ้าน เพราะบนูเานั้นยังมีน้องสาวคอยเขาอยู่ น้องสาวผู้เป็ครอบครัวคนเดียวของเขา เช่นนี้เขาจะต้องมีชีวิตรอด… มีชีวิตรอดกลับไปให้ได้
ทว่าถนนกระดูกยามขากลับนี้ ช่างทอดยาวราวกับไร้จุดสิ้นสุด
อาลู่เห็นบางคนที่มาถึงเพียงครึ่งทางก็ทนไม่ไหว ค่อยๆ กลิ้งตกลงไปยังเหวเบื้องล่าง ยามตกลงไปก็ไม่มีแม้แต่เสียงร้องแว่วมา
ครั้นในตอนเช้ายามออกเดินทางเสียงหัวเราะเริงร่าของเหล่าชายฉกรรจ์ยังคงกึกก้อง มิคาดคิดว่ายามกลับมา ผู้คนที่เคยร่วมหัวเราะเ่าั้จะหายไปกว่าครึ่ง จะมีเพิ่มมาก็คงเป็ทรัพย์สินที่มีจำนวนมากเหลือเกิน
ต้าโกวเองก็ได้รับาเ็ แต่ก็ไม่นับว่าหนักหนาอะไรนัก เมื่อเทียบกับร่างที่ท่วมไปด้วยเืของเด็กชายด้านหน้าตน เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เขาก็มิได้กล่าวเสียดสีอะไรเด็กชายอีก ส่วนเื่มีดเล่มนั้นก็ไม่คิดจะพูดออกมาอีกเช่นกัน
ในที่สุดถนนกระดูกสายนี้ก็สิ้นสุดลงเสียที
เมื่อเดินมาจนถึงยอดเขา ก็พบกับูเากระดูกกองสูงลูกเดิม
อาลู่มองเหล่าชายฉกรรจ์หน้าค่อยๆ ลงจากหลังม้าเพื่อคารวะูเากระดูก เมื่อเห็นเช่นนั้นอาลู่ก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน
เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายขึ้นแล้วกำหมัด ก่อนจะทาบกำปั้นแนบกับตำแหน่งหัวใจ แล้วน้อมกายก้มศีรษะคารวะูเากระดูกแห่งนี้ ก่อนออกเดินทางต่อ
ยามอาลู่น้อมกาย เืก็ค่อยๆ ทะลักออกจากปากแผลหยดลงบนกองกระดูกที่เรียงรายราวกับเป็ูเาขนาดย่อม
นายท่านใหญ่ยืนอยู่ข้างูเากระดูกรอต้อนรับขบวนที่กลับมา แม่นางหลัวก็ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มพร้อมกับทารกในอ้อมอกเช่นกัน
ทารกน้อยเมื่อเห็นร่างพี่ชายชุ่มโชกไปด้วยเื ก็ร้องจ้าเสียงดัง
อาลู่เมื่อได้ยินเสียงเฉินโย่วน้อยร้องไห้ ก็ออกเดินไปทางน้องสาวทันที พลันรู้สึกว่าทุกย่างก้าวนั้นช่างเปลืองแรงไม่น้อย
เขาเช็ดมือกับเสื้อตนสองสามที ทว่ารอยเืบนมือนั้นไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็ไม่สะอาด เด็กหนุ่มจึงบรรจงเช็ดมืออีกรอบหนึ่ง จึงจะกล้ายื่นมือออกไปอุ้มน้องสาว
“ข้ากลับมาแล้ว แม่นางหลัว ข้ากลับมารับน้องสาวแล้ว” น้ำเสียงของอาลู่ล้วนแหบแห้ง มันน่าจะเกิดมาจากยามที่ะโว่า ‘สังหาร’ กับเหล่าชายฉกรรจ์
หลัวอู๋เลี่ยงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าตน นางไม่รู้เ้าเด็กนี่ไปเจออะไรมา เ้าเด็กหนุ่มนี่เมื่อเช้าท่าทางยังดูราวกับเด็กน้อย ทว่าบัดนี้กลับดูสุขุมขึ้นไม่น้อย ซ้ำบัดนี้ท่าทางยังดูราวกับหมาป่าตัวหนึ่ง ดุร้ายจนทำให้คนนึกผวา นางจึงตระหนักได้ว่าควรส่งทารกน้อยกลับไปให้เ้าเด็กหนุ่มนี่จึงจะเป็การดีกว่า
นายท่านใหญ่เองก็พยักหน้าเบาๆ
เมื่อมีทารกน้อยมาอยู่ในอ้อมอก เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เดินจากไป
เฉินโย่วน้อยไม่ได้ร้องไห้อีก เพียงแต่ดวงตากลมโตนั้นยังคงฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา
“พิพี่ เจ็บ”
อาลู่ได้ยินดังหน้าก็หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า
“ไม่เจ็บเท่าใดหรอก ต่อไปก็จะไม่เจ็บอีกแล้ว พี่กลับมาหาเ้าแล้ว”