"เป็ถ้ำที่ใหญ่มากเลยนะเนี่ย"
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้มือประคองกระเป๋าที่อยู่เหนือศีรษะ พลางแหงนหน้ามองถ้ำขนาดใหญ่มืดสลัวและเต็มไปด้วยโขดหินมากมาย
พวกเขาล่องมาตามสายน้ำมืดมิดจากใต้ดิน พอเห็นแสงสว่างก็ว่ายตามกระแสมา
สายน้ำเลี้ยวไปทางมุมถ้ำ ก่อนไหลออกไปยังพื้นที่ต่ำกว่าข้างปากถ้ำ
เธอกับเหลียนเซวียนค่อยๆ ปีนขึ้นฝั่ง เซวียเสี่ยวหรั่นสวมรองเท้าที่เปียกชื้น ก่อนจะถูกบรรยากาศภายในถ้ำดึงดูดสายตา
้าของถ้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนักมีรากของต้นไม้โบราณเกี่ยวพันกันอย่างแ่า เป็ทัศนียภาพที่แปลกตาอย่างยิ่ง
"ว้าว" เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้างพลางอุทานไม่หยุด "นี่ต้องเป็ต้นไม้อายุเป็พันปีถึงจะมีรากใหญ่และแข็งแรงขนาดนี้"
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองภาพแปลกตาภายในถ้ำ โดยไม่สังเกตเลยว่าเสื้อผ้าเปียกชื้นของตนเองแนบกับร่างกายจนมองเห็นไปถึงไหนต่อไหน
เหลียนเซวียนมองแค่ปราดเดียวก็แทบเืกำเดาไหล
เขารีบยกมืออุดจมูกไว้ "แฮ่ม เสี่ยวหรั่น พวกเราขึ้นไปกันเถอะ"
ถ้ำมีลักษณะลาดเอียง ต้องเดินขึ้น้าถึงจะออกไปได้
เหลียนเซวียนยกเท้าเดินนำไปก่อน ไม่กล้าหันกลับมามองอีก
"อ้อ ได้สิ" เซวียเสี่ยวหรั่นคลายสายสะพายออกจากใต้คาง ในที่สุดก็สบายคอเสียที
"ยังดีๆ ตั๋วเงินไม่เปียก"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางสะพายกระเป๋าขึ้นหลัง แต่พอก้มลงมอง โอ้แม่เ้า... ทำไมเสื้อผ้าถึงมองทะลุไปถึงไหนต่อไหนอย่างนี้ล่ะ
สีของเสื้อบังทรงรวมไปถึงสัดส่วนที่โค้งนูนออกมาด้วยเห็นอย่างเด่นชัด กระโปรงยาวยังเปียกน้ำแนบเข้ากับต้นขาของเธอ เห็นไปถึงเรียวขาทั้งสองข้าง
ใบหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันร้อนผ่าว รีบยกมือทั้งสองปิดหน้าอก เหลือบสายตามองเหลียนเซวียนซึ่งเดินนำหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
เหลียนเซวียนสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเข้ม แม้จะเปียกชื้น แต่ไม่เห็นไปจนถึงเนื้อเหมือนอย่างเธอ
เขามิเห็นหมดแล้วหรือ ถึงได้เดินไปเร็วขนาดนี้
ดวงหน้าร้อนผ่าวดังถูกไฟเผา เซวียเสี่ยวหรั่นดึงเสื้อผ้าที่แนบติดกับเรือนร่าง แล้วบิดน้ำออกจากชายอาภรณ์ แต่ผลลัพธ์กลับน้อยมาก เสื้อผ้าเปียกชื้นก็ยังคงแนบติดลำตัวเหมือนเดิม
"เสี่ยวหรั่น มา" เหลียนเซวียนยืนอยู่บนที่สูง หันมามองความเคลื่อนไหวของนาง พลางกวาดมองเรือนร่างอรชรอีกรอบ ในดวงตาหลุบต่ำคล้ายมีเมฆหมอกแปรปรวน ไม่ง่ายนักกว่าจะเลื่อนสายตาออกไปด้านข้างได้
"อื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นพยายามดึงเสื้อผ้าอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมแพ้ ยกเท้าเดินขึ้นไป ด้านนอกแสงตะวันเจิดจ้า ออกไปตากแดดสักครู่ เสื้อผ้าน่าจะแห้งง่ายกว่า
ทางลาดเอียงบนเนินเขาเดินค่อนข้างเดินลำบาก มีกรวดหินและพุ่มไม้กระจัดกระจายไปทั่ว ้าสุดมีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายก้อน
เหลียนเซวียนยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ เงยหน้าสังเกตทั่วทั้งถ้ำรอบหนึ่งอย่างละเอียด ยามเห็นรากไม้เก่าแก่บิดเป็เกลียวปิดปากถ้ำเหนือศีรษะอยู่ ดวงตาก็ผุดประกายคมกล้า
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินมาถึงข้างโขดหินอย่างยากเย็น เงยศีรษะมองก้อนหินที่สูงกว่าตัวเธอ ดวงตากลมโตกะพริบถี่ๆ อย่างไร้เดียงสา
เหลียนเซวียนหัวเราะ ย่อตัวลงบนก้อนหิน แล้วยื่นมือทั้งสองส่งให้
ด้านหลังของเขามีแสงสว่าง ดวงตาฉายแววยิ้ม เรือนผมเปียกชื้นยังมีน้ำหยดตามลงมาที่คาง เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้น หัวเราะตามโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มของเธอปานดอกท้อเดือนสาม มุมปากโค้งขึ้นอย่างอ่อนหวานมีเสน่ห์
เหลียนเซวียนคว้ามือเล็กจ้อยนุ่มนวลที่ยื่นเข้ามา รอยยิ้มพริ้มเพราของนางทำให้หัวใจเขาเต้นรัว
ออกแรงครั้งเดียว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ถูกดึงขึ้นมาบนโขดหินใหญ่อย่างง่ายดาย
แต่เพิ่งจะยืนได้ไม่ทันไร ตัวนางก็พุ่งเข้าไปในอ้อมอกแข็งแกร่งที่คุ้นเคย
ฝ่ามือใหญ่โอบรอบเอวบาง รั้งตัวเธอเข้าไปกักในอ้อมแขนของเขา
เสียงกระแสน้ำจากใต้ดินยังไหลซู่ อากาศภายในถ้ำเจือไปด้วยกลิ่นดินโคลนและหญ้าแห้ง
ร่างกายที่แนบสนิทกำจายไอร้อนออกมาอย่างน่าใ ความสูงของทั้งสองเหลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง เซวียเสี่ยวหรั่นใช้สองมือดันอกของเขาไว้ ขยับลำคอเลื่อนถอยไปด้านหลังก่อนช้อนตาขึ้นมองเขา
เรือนผมเปียกชื้นแนบลงมาบนพวงแก้มขาวกระจ่าง ริมฝีปากอ่อนนุ่มเป็สีชมพูระเรื่อเผยอน้อยๆ ดวงเนตรสีนิลทอประกายวาว แฝงแววขัดเขินและตกตะลึง
"เหลียนเซวียน?"
เธอเลียริมฝีปากแห้งด้วยความประหม่า
น้ำเสียงอ่อนหวานของดรุณีน้อยแฝงแววกังขา แต่ไม่ได้รับคำตอบ
เหลียนเซวียนโอบกอดหญิงสาว สายตาล้ำลึกเลื่อนจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างยากเย็น สายคล้องไหล่สีเหลืองอ่อนยื่นจากลำคอขาวผ่องคาดทับลงไปบนไหปลาร้าสลักเสลา หยาดน้ำจาก้าไหวระริกเบาๆ คล้ายจะหยดแหล่มิหยดแหล่
อากาศดูเหมือนจะร้อนขึ้นชวนให้ไม่สบายตัวในบัดดล มือใหญ่ซึ่งโอบอยู่ที่เอวร้อนลวกผิวของเธอ
"เหลียนเซวียน?"
เซวียเสี่ยวหรั่นคล้ายเห็นเปลวไฟเต้นระริกในดวงตาสงบนิ่งดั่งน้ำบ่อลึกของเขา ใจเต้นไม่เป็ส่ำ ขานเรียกชื่อเขาออกมาเองโดยไม่รู้สึกตัว
"หืม..." น้ำเสียงลุ่มลึกแหบพร่าราวกับถูกแผดเผา
เหลียนเซวียนมองริมฝีปากแดงเอิบอิ่มที่เผยอเปิดออกน้อยๆ ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ครั้นแล้วเขาก็เลื่อนมือขวาขึ้นมาประคองท้ายทอยเปียกชื้นของนาง แล้วหลับตาโน้มตัวลงมา ริมฝีปากบางเย็นเฉียบบดเคล้าลงไปบนริมฝีปากแดงซึ่งเผยอเล็กน้อยของเซวียเสี่ยวหรั่น
กลีบปากนุ่มชุ่มชื้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายเฉพาะตัวของหญิงสาว
ม่านตาของเซวียเสี่ยวหรั่นหรี่วูบ ตอนแรกคิดจะร้องด้วยความใ แต่กลับกลายเป็การเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามไปเสียนี่
ขณะริมฝีปากกำลังพัวพัน ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นเปิดปรืออยู่กึ่งหนึ่ง ตกอยู่ในสภาวะเวียนศีรษะตาลาย เหตุไฉนจู่ๆ ถึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้?
มือซึ่งผลักอยู่บนแผงอกแกร่งขึ้นไปโอบรอบคอเขาั้แ่เมื่อใดก็สุดรู้
ภายใต้ความเคลิบเคลิ้มงุนงง เธอถูกจุมพิตจนหายใจแทบไม่ทัน
จนกระทั่งเขาถอนริมฝีปากออก เซวียเสี่ยวหรั่นถึงเร่งสูดหายใจกระชั้นถี่ประหนึ่งปลาขาดอากาศ
เหลียนเซวียนมองริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยเพราะถูกเขาจูบ ขุมเพลิงในร่างกายหาได้มอบดับ ตรงข้ามกลับยิ่งลุกโชนและร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
"ทะ... ท่าน... ท่านจูบข้าทำไม" เซวียเสี่ยวหรั่นได้สติคืนมา ดวงหน้าแทบคั้นเป็สีโลหิต ยกมือป้องปากของตนเองพลางถลึงตาใส่เขา
"เ้า... ไม่ชอบหรือ" เหลียนเซวียนพยายามข่มอารมณ์ซึ่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างอย่างสุดกำลัง มือใหญ่เลื่อนมาประคองพวงแก้มของนาง
ดวงหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นแดงก่ำราวกับผลผิงกั๋วสุกงอม [1] ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไร
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ ค้อมตัวลงแล้วใช้แขนซ้ายช้อนใต้ต้นขาของนางแล้วอุ้มขึ้นมาคล้ายกับอุ้มเด็ก
เซวียเสี่ยวหรั่นร้องใ รีบเกาะไหล่ของเขาทันที
หลังจากะโขึ้นลงอีกสองสามครั้ง พวกเขาก็ออกมาจากโพรงถ้ำ อุณหภูมิสูงขึ้นในฉับพลัน แสงตะวันที่สาดส่องมาจากทิศตะวันตกยังคงเจิดจ้าจนแสบตา
เหลียนเซวียนอุ้มนางเหาะทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็จากถ้ำแห่งนั้นออกมาไกลลิบ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปด้านหลังอย่างรวดเร็วด้วยใจระทึก จากแค่เกาะหัวไหล่ก็กลายเป็โอบกอดแแ่
มุมปากของเหลียนเซวียนแขวนรอยยิ้มน้อยๆ อารมณ์แจ่มใสเบิกบานปานประหนึ่งดวงตะวันเหนือยอดไม้
เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ มิครั่นคร้ามต่ออุปสรรคทั้งปวง
...
[1] ผิงกั๋ว หมายถึงแอปเปิล
