“ไม่กลัวข้าลงทัณฑ์รึไง?” จางเจิ้นอันว่าพลางใช้ท่อนแขนแข็งแรงรวบร่างบอบบางของนางเข้าสู่อ้อมกอด ซุกใบหน้ากับซอกคอขาวผ่อง ใช้ตอหนวดเคราครูดไถเบาๆ ขณะที่มืออีกข้างก็ระดมจี้เอวจนคนในอ้อมแขนตัวงอ
“โอ๊ย! ไม่เอา...ฮ่าๆๆ! ไม่ได้นะเ้าคะ! ข้า...ข้ายอมแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว!” อันซิ่วเอ๋อร์ดิ้นเร่าๆ หัวเราะคิกคักจนน้ำตาเล็ด บิดตัวหนีััอันน่าจั๊กจี้แทบสิ้นสติ
“แล้วต่อไปยังจะกล้าลองดีอีกหรือไม่?” เขาถามเสียงเข้ม ก้มมองใบหน้าแดงก่ำที่ซบอยู่กับอก
“ไม่...ไม่กล้าแล้วเ้าค่ะ! ไม่กล้าแล้ว!” อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ
รอจนเขายอมคลายอ้อมแขนลง นางจึงรีบเผ่นหลุดออกมา จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่ ก่อนจะหันมามองค้อนให้เขา กล่าวอย่างแง่งอนปนหอบหายใจ “เมื่อครู่ท่านมือหนักเกินไปแล้ว! ข้าจั๊กจี้จนเจ็บเอวระบมไปหมดเลย!”
“เจ็บตรงไหนกัน? ไหน...ให้ข้าดูหน่อยซิ?” แววตาจางเจิ้นอันพราวระยับด้วยประกายเ้าเล่ห์ ยื่นมือทำท่าจะแตะเอวนางอีกครั้ง
อันซิ่วเอ๋อร์รีบเบี่ยงตัวหลบวูบ ถอยกรูดไปหลายก้าว กล่าวเสียงหลง “ไม่เล่นด้วยแล้วนะเ้าคะ! ข้า...ข้าจะไปหุงหาอาหารแล้ว!” ว่าแล้วก็รีบหมุนตัววิ่งหนีเข้าครัวไป
ครั้นนางเดินหายเข้าครัวไปแล้ว จางเจิ้นอันก็นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกเดินไปยังลานหลังบ้าน ทอดสายตามองค้างไม้ไผ่สานทรงสามเหลี่ยมแบบง่ายๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จสดๆ ร้อนๆ เห็นทีคงเตรียมไว้สำหรับรองรับเถาแตงกวาที่เพิ่งลงดินไปเมื่อครู่
เขาเดินทอดน่องชมสวนอยู่พักหนึ่ง โปรยข้าวเปลือกให้ฝูงไก่ในเล้าพลาง พอความเบื่อหน่ายเริ่มคืบคลาน เขาจึงย้อนกลับไปยังเรือนครัว หวังจะมองดูแม่ครัวลงมือแก้เบื่อ
เห็นนางกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาไฟ เขาก็ทรุดกายนั่งลงข้างเตา ช่วยหยิบฟืนท่อนเล็กเติมเข้าไปเงียบๆ
อันซิ่วเอ๋อร์ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาหั่นผักอยู่ เหลือบตาขึ้นเห็นเข้าพอดี รีบเอ่ยห้ามเสียงเบา “ท่านพี่ ในครัวควันมันเยอะ ท่านออกไปนั่งพักรับลมข้างนอกดีกว่านะเ้าคะ เดี๋ยวจะแสบตาเอา”
“ไม่เป็ไร นั่งเฉยๆ ข้างนอกมันว่างเกินไป” จางเจิ้นอันตอบโดยไม่หันมามอง ยังคงเติมฟืนเข้าเตาอย่างตั้งใจ
อันซิ่วเอ๋อร์จำต้องวางมีดในมือ หันมาแย้งอย่างอ่อนใจ “แต่ควันไฟมันจะรมตาเอานะเ้าคะ ไม่ดีต่อสายตาท่านเลยจริงๆ ออกไปสูดอากาศเย็นๆ ข้างนอกเถิดนะ ท่านพี่”
เมื่อสบกับสายตาห่วงใยที่จับจ้องมาอย่างไม่ยอมลดละ ราวกับจะตรึงเขาไว้ตรงนั้นหากไม่ยอมลุก จางเจิ้นอันก็จำต้องยอมแพ้ เขาลุกขึ้นยืนพลางกล่าวอย่างจนใจ
"เอาเถิด ข้ายอมเ้าแล้ว แต่ก่อนแต่งงานกัน เ้าก็ต้องก่อไฟเองมิใช่หรือ?"
"นั่นมันเื่ก่อนนี่เ้าคะ ท่านก็พูดเองว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาหยิบที่คีบฟืนจากมือเขาไป แล้วลงมือเติมฟืนเข้าเตาเอง เมื่อเห็นเขายังยืนอยู่ข้างๆ เกรงว่าจะเบื่อ จึงเอ่ยขึ้น
"หากท่านไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปช่วยข้าตักน้ำเพิ่มอีกสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ"
"เมื่อเช้าข้าเพิ่งตักไปไม่ใช่รึ?" จางเจิ้นอันแย้ง พลางเดินไปดูที่ตุ่มน้ำซึ่งยังเต็มเปี่ยมดีอยู่ แม้แต่ถังสำรองก็ยังมีน้ำเหลือค่อนถัง
"เช่นนั้น ท่านไปผ่าฟืนก็ได้เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปยังกองฟืนข้างกำแพง
กองฟืนนั้นสูงใหญ่ เห็นได้ชัดว่าต่อให้ไม่ผ่าเพิ่มอีกเป็เดือนก็ยังใช้ไม่หมด
"ท่านผ่าฟืนเก็บไว้มากๆ ก็ดีนี่เ้าคะ ถือเป็การออกกำลังกายไปในตัวด้วย" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าสบตาเขา "่นี้ท่านพ่อกับพี่รองกำลังยุ่งนัก คงไม่มีเวลามาผ่าฟืน ข้าว่าจะให้พวกเขามาขนจากบ้านเราไปใช้ก่อน"
เมื่อเห็นจางเจิ้นอันยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบรับคำใด อันซิ่วเอ๋อร์จึงเอื้อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
"วันนี้ท่านแม่ก็อุตส่าห์เสียแรงมาช่วยเราปลูกแปลงผักที่สวน หากท่านจะช่วยผ่าฟืนตอบแทนไปทางบ้านข้าบ้าง ก็นับว่าเป็การแลกเปลี่ยนน้ำใจที่เหมาะควรแล้วนะเ้าคะ อีกอย่าง ยามนี้ท่านก็ไม่ได้มีภารกิจอันใด แต่หากท่านไม่เต็มใจจริงๆ ก็กลับเข้าไปพักผ่อนด้านในเถิดเ้าค่ะ ข้าไม่ว่าอะไร"
"ไม่เป็ไร" จางเจิ้นอันตอบเสียงเรียบ "ท่านพ่อตาเองก็แก่มากแล้ว การที่ข้าผู้เป็บุตรเขยจะช่วยแบ่งเบาภาระผ่าฟืนให้ท่าน ก็นับเป็เื่สมควรอย่างยิ่ง"
เขาไม่ได้กล่าววาจาใดเพิ่ม เพียงแต่เอื้อมมือไปคว้าขวานที่วางพักอยู่ข้างเสา เดินแน่วแน่ตรงไปยังลานหน้าบ้าน แล้วลงมือผ่าฟืนด้วยท่วงท่าหนักแน่นและฉับไวทันที เสียงขวานกระทบเนื้อไม้ดังกังวาน
อันซิ่วเอ๋อร์ยกผักกระจาดใหญ่ออกมาล้างยังชานเรือนด้านนอก สายตาอดลอบชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างของเขาเป็ครั้งคราวไม่ได้ แม้จะอยู่ห่างจนมองสีหน้าไม่ชัดแจ้ง แต่ก็ััได้ถึงความสงบนิ่งในท่วงท่า ไม่ได้มีแววขุ่นข้องหมองใจแม้แต่น้อย
เขามีฝีมือในการผ่าฟืนรวดเร็วนัก ขวานในมือตวัดลงคราเดียว ท่อนไม้กลมหนาก็แยกออกเป็สองซีกอย่างง่ายดาย ตวัดลงอีกคราก็ได้เป็ฟืนขนาดพอเหมาะสำหรับใช้งาน งานผ่าฟืนที่ดูหนักหนาสำหรับคนอื่น กลับดูเป็เื่ง่ายดายในเงื้อมมือเขา ประหนึ่งว่าเรี่ยวแรงมหาศาลนั้นแทบไม่ต้องนำพาออกมาใช้เลย
ภาพนั้นทำให้อันซิ่วเอ๋อร์อดนึกเปรียบเทียบกับพี่รองของตนมิได้ ยามเขาผ่าฟืน ต้องเหวี่ยงขวานจามลงไปสุดแรงหลายครั้งหลายครา กว่าท่อนไม้เ้ากรรมจะยอมแยกออกจากกัน ทั้งยังเหนื่อยหอบจนตัวสะท้าน เหงื่อไหลโซมกายราวกับอาบน้ำ ส่วนท่านบิดานั้นยิ่งมิต้องกล่าวถึง แค่เพียงยกขวานขึ้นสูง ก็แทบจะยืนประคองตัวไม่ไหวเสียแล้ว
“ต่อไปท่านไม่ต้องจับปลาแล้ว แค่รับจ้างผ่าฟืนก็เป็เศรษฐีได้สบายๆ ข้าแต่งงานกับท่านนี่เป็การตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตจริงๆ” อันซิ่วเอ๋อร์คิดอย่างอารมณ์ดี ดูท่าต้องหาทางให้เขาขึ้นเขาไปตัดฟืนมาเพิ่มเยอะๆ เสียแล้ว หากวันไหนฝนตกออกเรือไม่ได้ ก็ให้เขาอยู่บ้านผ่าฟืนนี่แหละ
จางเจิ้นอันไม่รู้ว่าอันซิ่วเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่ พอได้ยินคำชมจากนาง มุมปากเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย การได้รับคำชื่นชมจากภรรยา ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างประหลาด ขวานในมือจึงยิ่งเหวี่ยงลงอย่างแข็งขันยิ่งขึ้น ไม่นานนัก กองฟืนข้างเท้าเขาก็สูงขึ้นเป็กองพะเนิน
“ท่านพี่เก่งจริงๆ เ้าค่ะ พักก่อนเถอะ ไปกินข้าวกัน” อันซิ่วเอ๋อร์ทำอาหารเสร็จแล้ว ยกสำรับกับข้าวออกมาที่ห้องโถง พอเห็นจางเจิ้นอัน นางก็ส่งยิ้มหวานให้ มุมปากปรากฏลักยิ้มจางๆ ดูงดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อย
พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์เรียกกินข้าว จางเจิ้นอันจึงวางขวานลง อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงตักข้าวตักกับให้เขาเช่นเคย ทั้งยังหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาคอยซับเหงื่อให้ พอกินมื้อเที่ยงเสร็จ จางเจิ้นอันก็ไม่มีอะไรทำ จึงจัดการมัดฟืนที่เพิ่งผ่าเสร็จ หาบไปส่งให้ที่บ้านตระกูลอัน
ตอนที่จางเจิ้นอันไปถึง ที่บ้านตระกูลอันกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่พอดี พอเห็นจางเจิ้นอันแบกฟืนมา เหลียงซื่อก็ใ รีบวางตะเกียบลง แล้วลุกออกไปต้อนรับที่หน้าประตู “อ้าว ลูกเขย มาได้อย่างไร? เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ”
“ไม่เป็ไรขอรับ ข้าไม่รบกวนดีกว่า ซิ่วเอ๋อร์ให้ข้าเอาฟืนมาส่งให้” เขาพูดพลางหาบฟืนเดินตามเข้าไป ถามว่า “จะให้ข้ากองไว้ตรงไหนดีขอรับ?”
“เอาไปกองไว้ในครัวก็ได้” เหลียงซื่อเห็นเขาหาบฟืนมาเต็มคาน ทั้งยังมัดไว้อย่างแ่าจนคานหาบแอ่นลง ก็กลัวว่าเขาจะหนักและเหนื่อย จึงไม่กล้าชักช้า รีบเดินนำทางไปยังห้องครัว
แม้จะหาบของหนัก แต่แผ่นหลังของจางเจิ้นอันก็ยังคงตั้งตรงสง่า พอถึงห้องครัว เขาวางกองฟืนลงเรียบร้อย ก็ไม่ได้หยุดพัก เพียงกล่าวทักทายพ่อเฒ่าอันที่นั่งอยู่คำหนึ่ง แล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวๆ ลูกเขย อย่าเพิ่งรีบร้อนไป นั่งดื่มน้ำชาพักเหนื่อยก่อน” เหลียงซื่อรีบเหนี่ยวรั้ง แต่จางเจิ้นอันเพียงโบกมือปฏิเสธ กล่าวพลางเดินออกไป “ไม่เป็ไรขอรับ ซิ่วเอ๋อร์สั่งให้ข้ารีบกลับบ้าน หากกลับช้าไป นางจะเป็ห่วงเอา”
พอได้ยินเช่นนั้น เหลียงซื่อก็ไม่กล้าจะรั้งเขาไว้อีก ได้แต่เดินตามไปส่ง พลางกล่าวอย่างเกรงใจว่า "เ้าซิ่วเอ๋อร์นี่จริงๆ เลย ดูสิ ทำให้เ้าต้องลำบากไปด้วยแท้ๆ คราวหน้าแม่ต้องเตือนนางเสียหน่อยแล้ว ที่บ้านก็มีทั้งพ่อทั้งพี่รองของเขาอยู่ ไม่เห็นจะต้องให้นางต้องเป็ห่วงเลย"
ตามธรรมเนียมโบราณนั้น ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เปรียบเหมือนน้ำที่สาดทิ้งไปแล้ว ไม่เคยมีบ้านไหนจะใช้ให้ลูกเขยมาทำงานให้บ้านเดิม เหลียงซื่อกลัวว่าจางเจิ้นอันจะไม่พอใจ แต่ก็กลัวว่าหากพูดมากไปจะทำให้ลูกสาวต้องลำบากใจไปด้วย เกรงว่าวันหน้าหากความสัมพันธ์จืดจางลง เขาอาจจะขุดเื่นี้ขึ้นมาพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจได้
"ไม่เป็ไรหรอกขอรับ ท่านแม่ยาย วันนี้ท่านก็ไปช่วยพวกเราปลูกผักตั้งนานไม่ใช่หรือ อีกอย่าง เื่แค่นี้เล็กน้อย ไม่ได้ลำบากอะไรเลย อยู่ว่างๆ ข้าก็เบื่อเหมือนกัน" จางเจิ้นอันพูดพลางโบกมือห้าม ไม่ให้ตามไปส่ง แล้วก็ก้าวเท้าจากไปอย่างกระฉับกระเฉง
"นี่..." เหลียงซื่อหันกลับมามองสามีแล้วบ่น "ดูเ้าซิ่วเอ๋อร์สิ ทำอะไรไม่รู้จักคิด จะมาใช้ลูกเขยทำงานบ้านเราได้อย่างไรกัน? เกิดวันหน้าวันหลังเขาไม่พอใจขึ้นมาจะทำยังไง?"
"เอาน่า เื่มันแล้วไปแล้ว เ้าจะบ่นตอนนี้ไปไย?" พ่อเฒ่าอันหยิบกล้องยาสูบขึ้นมาทำท่าจะสูบ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่ายาเส้นหมดเสียแล้ว จึงลดมือลง กล่าวต่อว่า "ข้าว่าลูกเขยจางดูไม่เหมือนคนคิดเล็กคิดน้อยนะ เ้าอย่ากังวลไปเลยน่า แต่ดูท่าทางแล้ว เขาคงไม่ถนัดงานไร่งานสวนเท่าไหร่นัก วันหน้าถ้าบ้านนั้นมีอะไรให้ช่วย พวกเราก็ขยันไปช่วยเขาหน่อยก็แล้วกัน ถือว่าตอบแทนกันไป"
"จริงอย่างที่ท่านว่า" เหลียงซื่อพยักหน้ารับ สองสามีภรรยาเดินกลับเข้าบ้าน สวนทางกับอันเถี่ยมู่ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จพอดี เหลียงซื่อจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิลูกชายสองสามประโยค
"ดูอย่างน้องสาวเ้าสิ ขนาดแต่งออกไปแล้วยังนึกถึงบ้าน แล้วเ้าเล่า? รู้ทั้งรู้ว่าน้องเขยไม่ถนัดงานไร่นา ตอนที่พวกเขาถางหญ้าทำรั้วคราวก่อน เ้าเป็พี่ชายแท้ๆ กลับไม่คิดจะยื่นมือไปช่วยสักนิด"
"โธ่ ท่านแม่ ตอนนั้นข้าก็ติดพันงานในนาอยู่เหมือนกันนี่ขอรับ" อันเถี่ยมู่ ชายร่างกำยำ บัดนี้กลับทำหน้าเหมือนลูกสะใภ้ถูกแม่ผัวข่มเหง "่นั้นเป็ฤดูเพาะปลูกพอดี ข้าจะปลีกตัวไปช่วยได้อย่างไร?"
พอได้ยินลูกชายแก้ตัว เหลียงซื่อก็ถลึงตาใส่ทันที "แล้วน้องเขยเ้าไม่ต้องออกไปหาปลาทุกวันหรืออย่างไร? เขายังอุตส่าห์สละเวลามาช่วยบ้านเราผ่าฟืนให้เลยนะ!"
"ข้าผิดไปแล้วขอรับ" อันเถี่ยมู่ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับมารดาอีก ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี
"รู้ว่าผิดแล้วจะทำอะไรได้เล่า?" เหลียงซื่อเหลือบมองอันเถี่ยมู่แวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินผ่านหน้าลูกชายเข้าบ้านไปกินข้าวต่อ
ต่งซื่อเหลือบมองแม่สามีแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสามีที่เดินคอตกตามเข้ามา แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปเงียบๆ
ไม่นานนัก จางเจิ้นอันก็กลับมาถึงบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาก็มีสีหน้าดีใจ รีบเดินเข้าไปหา พอเขานั่งลง นางก็เข้าไปนวดบ่าให้อย่างเอาใจพลางเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “ท่านพี่ คงเหนื่อยแย่เลยนะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันหันไปมอง อันซิ่วเอ๋อร์ก็ส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มมาให้ เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดมลายหายไป เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
ครู่ต่อมา จางเจิ้นอันก็เอ่ยขึ้นลอยๆ “พรุ่งนี้เป็วันตลาดนัด ข้าว่าจะเข้าเมืองสักหน่อย”
“ข้าไปด้วยได้ไหมเ้าคะ?” มือที่นวดบ่าของอันซิ่วเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น พอได้ยินดังนั้น จางเจิ้นอันก็ชะงักไปด้วยความลังเลครู่หนึ่ง เขาพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอนางครั้งแรก ตอนที่นางเกือบถูกอันธพาลลวนลาม ทำให้เขาไม่อยากให้นางไปเท่าใดนัก แต่หากจะกักตัวให้อยู่แต่ในบ้าน นางคงอึดอัดไม่พอใจ เมื่อชั่งใจดูแล้ว เขาจึงพยักหน้าตกลง
พอเห็นเขาพยักหน้าตอบรับ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ดีใจจนออกนอกหน้า รีบวิ่งมานั่งลงตรงหน้าเขา ใบหน้าแย้มยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายสดใสราวกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า
จางเจิ้นอันมองภาพนั้น นึกถึงความดีใจของนาง ความรู้สึกผิดก็พลันแล่นวาบขึ้นมาในอก...
นางยังคงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบมอซอ ผมดำขลับถูกรวบไว้อย่างลวกๆ ด้วยผ้าผืนหนึ่ง บนมวยผมนั้นมีเพียงปิ่นไม้ธรรมดาๆ ราคาถูกปักอยู่ แม้อดีตนางจะไม่ทันคนในบางเื่ แต่นางกลับเป็คนรู้จักคิด เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ไม่เคยปริปากเปรียบเทียบตนเองกับใคร หรือเอ่ยปากบ่นเื่เสื้อผ้าอาภรณ์ รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ทั้งยังขยันขันแข็ง ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตนเอง
ในใจของนางคิดถึงแต่เื่ของเขาเสมอ และเพราะมีนางอยู่เคียงข้าง จางเจิ้นอันจึงได้เริ่มััถึงความอบอุ่นของบ้านหลังเล็กๆ นี้ เขาชอบความรู้สึกที่ว่า ทุกครั้งเมื่อกลับมาถึงบ้าน จะมีคนรอคอยพร้อมน้ำชาร้อนๆ อยู่เสมอ
เขาเคยได้ยินมาว่าสตรีส่วนใหญ่ล้วนชอบของสวยๆ งามๆ ชอบเครื่องประทินโฉม ปิ่นปักผม และเครื่องประดับต่างๆ แม้ภรรยาของเขาจะงดงามตามธรรมชาติโดยมิต้องแต่งเติมสิ่งใด แต่จางเจิ้นอันก็ยังรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า นางสมควรได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้
แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาเอาแต่จับปลาไปวันๆ ตามแต่อารมณ์ เงินที่หามาได้ส่วนใหญ่จึงหมดไปกับค่าเหล้า ส่วนเงินเก็บเพียงน้อยนิดที่พอมี ก็เอาไปจ่ายเป็ค่าสินสอดจนหมดสิ้นแล้ว ทำให้ตอนนี้แม้ใจอยากจะซื้อหาของดีๆ มาให้นางเพียงใด ก็กลับไม่มีกำลังทรัพย์พอจะทำได้
ความรู้สึกที่อยากจะดูแลทะนุถนอมคนข้างกายให้ดีที่สุด แต่กลับไร้ซึ่งปัญญาและความสามารถเช่นนี้ บีบคั้นให้จางเจิ้นอันรู้สึกขัดอกขัดใจตนเองอย่างรุนแรง เขาจึงลุกพรวดขึ้นยืน คว้าแหคู่ใจ แล้วมุ่งหน้าออกไปนอกบ้านอีกครั้งทันที
