จ่ายเงินเพียงไม่กี่ร้อยหยวนต่อปี ทว่าสามารถสลัดตระกูลเซี่ยคนอื่นทิ้งไปได้ จางชุ่ยยังคงยินยอมจ่ายเงินส่วนนี้อยู่ดี เซี่ยฉางเจิงก็เบาใจเช่นกัน จะให้เขาไม่เลี้ยงดูมารดาแท้ๆ เขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำแบบนั้น หากทำเช่นนั้นยามออกไปไหนมาไหนคนอื่นจะนินทาลับหลังได้ เซี่ยฉางเจิงหวงแหนศักดิ์ศรียิ่งนัก ไม่ยอมแบกชื่อเสียงเช่นนี้เด็ดขาด
ถ้ามีเงินเยอะแยะจนใช้ไม่หมด เขาย่อมให้คนในครอบครัวใช้จ่ายได้ตามสบายอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ยังไม่ร่ำรวยถึงขั้นนั้น เงินหลักร้อยหยวนต่อปียังจะบ่นว่าน้อยอีกหรือ? ทั้งสองตระกูลทะเลาะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนที่ดินของเซี่ยฉางเจิง เซี่ยหงปิงไม่คิดจะปลูกอะไรอยู่แล้วด้วย
ไม่ต้องกลัวเื่นี้ ปล่อยที่ดินให้คนในหมู่บ้านเช่าปลูกก็ได้เช่นกัน ผู้เช่าจะคำนวณให้ว่าได้ข้าวกับข้าวสาลีรวมกี่ชั่งต่อหนึ่งปี และผลผลิตส่งรัฐกับค่าบำรุงเป็ความรับผิดชอบของเซี่ยฉางเจิงทั้งหมด แม้แม่เฒ่าเซี่ยต่อต้านไม่เห็นชอบ แต่อาละวาดไปก็ไม่มีใครสน ตระกูลเซี่ยนี้จะแยกบ้านอยู่ดี กระทั่งสัญญาเป็ลายลักษณ์อักษรยังร่างต่อหน้าเ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านจนเสร็จเรียบร้อย
เ้าหน้าที่หมู่บ้านยังกล่าวว่าเซี่ยฉางเจิงจิตใจดีงามด้วยซ้ำ ใครเขาจะยอมให้ค่าครองชีพ 30 หยวนแก่หญิงชราหนึ่งคนทุกเดือนบ้าง รวมถึงจ่ายค่าอาหารกับน้ำมันอีก น้ำมัน 5 ชั่งต่อหนึ่งเดือน กระทั่งทั้งบ้านเซี่ยหงปิงก็กินใช้ไม่หมดไม่สิ้น!
“ลูกชายกับสะใภ้ของคุณกตัญญูเชียว คนหนึ่งออกเงิน คนหนึ่งออกแรง มีวาสนาจริงๆ ”
แม่เฒ่าเซี่ยแทบเป็ลม
หากมีวาสนาหรือกตัญญูจริง ก็ควรรับเธอไปใช้ชีวิตในเมืองด้วย ไม่ใช่ทิ้งไว้ในชนบทเช่นนี้ แต่แม่เฒ่าเซี่ยจะมีหนทางอะไรอีก? คนที่เธอควบคุมได้คือบุตรชายยอดกตัญญูตัวจริงเท่านั้น เซี่ยฉางเจิงไม่แม้แต่จะอยากตามใจเธอ ดังนั้นถึงแม่เฒ่าเซี่ยโวยวายชักดิ้นชักงอไปก็ไร้ประโยชน์
ขนาดเ้าหน้าที่หมู่บ้านยังบอกว่าเงื่อนไขการดูแลนี้ดี จางชุ่ยใจกว้างในเื่นี้จริงๆ หาความผิดพลาดไม่ได้เลย หลังจากร่างสัญญา และพิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อย จางชุ่ยก็ให้เงินจำนวนหนึ่งปีแก่แม่เฒ่าเซี่ย ณ ตรงนั้น
แม้บอกว่าจะให้เงินค่าสินเดิมเ้าสาวแก่เซี่ยหงเซี๋ย ทว่ากลับให้หวังจินกุ้ยแทน
ค่าอาหารแห้งกับน้ำมันถูกคำนวณเป็เงิน แน่นอนว่าแม่เฒ่าเซี่ยอยากได้เงินจำนวนนี้ หวังจินกุ้ยเองก็อยากได้ไม่แพ้กัน จางชุ่ยเฝ้ารอให้แม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ทะเลาะตบตีในบ้านทั้งวันเกือบไม่ไหวแล้ว เธอจึงตัดสินใจมอบเงินแก่แม่เฒ่าเซี่ย
อยากได้ผลประโยชน์ก็ไปจัดการแม่เฒ่าเซี่ยเสียเถอะ ดูแลหญิงชราให้ดี บ้านสามถึงจะมีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย จางชุ่ยมีเจตนาร้าย ทว่าเป็เพราะเธอเหลี่ยมจัดกว่าหลิวเฟิน เธอจึงมีน้ำยาต่อกรกับแม่สามีผู้ร้ายกาจและน้องสะใภ้ที่เกียจคร้านไม่เอาการงาน
ตระกูลเซี่ยถือว่าแยกกันเสร็จสิ้น ณ ที่นี้
อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ได้รับผลกระทบขนาดใหญ่ พูดคุยกันด้วยความเ็า จางชุ่ยอยากรวบรวมพลังทั้งหมดเริ่มเปิดร้านใหม่อีกครั้ง ทว่าหญ้าถึงกับงอกออกมาจากในร่องแผ่นหินหน้าร้านแล้ว คนที่ให้เธอเช่าร้านอยากพบจางชุ่ยเหมือนกัน
“ร้านของพวกคุณนี่ทะเลาะกันทั้งวัน ไม่กล้าให้พวกคุณเช่าหน้าร้านอีกแล้ว เดี๋ยวจะคืนค่าเช่าที่เหลืออยู่นิดหน่อยให้คุณ ขนพวกโต๊ะเก้าอี้พังเละเทะของตัวเองออกไปเถอะ!”
ตอนนั้นเช่าหน้าร้านได้โดยพึ่งอาจารย์ใหญ่ซุน อันที่จริงเก็บค่าเช่าเล็กน้อยพอเป็พิธีเท่านั้น ย่อมไม่มีการลงชื่อในสัญญาเป็ธรรมดา เนื่องจากมีอาจารย์ใหญ่ซุนอยู่ จะผิดสัญญาได้อย่างไร! ทว่าใครจะรู้ว่าอาจารย์ใหญ่ซุนไม่ยินดีเป็ที่พึ่งพิงของจางจี้แล้ว สองสามีภรรยาไร้หนทางโดยสิ้นเชิง
เงินค่าเช่าที่คืนมานั้นน้อยจริงๆ ‘จางจี้’ จ่ายเงินตกแต่งมากกว่าค่าเช่าเสียอีก เดิมทีเซี่ยจื่ออวี้ก็ขอเงินไป 5000 หยวนแล้ว เงินเก็บในมือจางชุ่ยเหลือออยู่เพียงไม่กี่พัน สองเดือนที่ผ่านมานี้เอาแต่สนใจการทะเลาะจนไม่ได้เปิดกิจการ ขณะอาศัยบ้านมารดาเธอก็ไม่สบายใจที่จะกินอยู่เปล่าๆ เงินถูกใช้แต่ไม่ถูกสร้าง และเพื่อสลัดแม่เฒ่าเซี่ยออก จางชุ่ยก็จ่ายไปอีกเป็พันหยวนด้วย
ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอมีอยู่ไม่ถึง 4000 หยวน!
ถ้าเปรียบเทียบกับก่อนขายอาหารว่าง เงินจำนวนนี้เยอะแน่นอน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ่ทำรายได้สูงสุดของจางชุ่ย ช่างห่างกันมากเหลือเกิน เธอได้กลายเป็เศรษฐีหมื่นหยวนอย่างลับๆ แล้ว ดังนั้นเมื่อเงินเก็บลดลงจำนวนมาก อีกทั้งไม่มีเงินเข้าบัญชี จะไม่ให้เธอร้อนรนได้หรือ? หาเครื่องเรือนสภาพสมบูรณ์ในร้านไม่ได้เลย ตอนทะเลาะต่อสู้กันทำลายกระทั่งกระทะเหล็กใบโตจนพังแล้วด้วยซ้ำ จางหม่านฝูผู้ติดตามอยู่ด้านหลังรู้สึกผิด วันนั้นที่เซี่ยหงปิงกับหวังจินกุ้ยเปิดร้าน เขาเป็คนทุบกระทะใบนี้เอง
ส่วนโต๊ะเก้าอีกทั้งหลาย ไม่มีสภาพดีสักตัว ถ้วยชามก็เสียหายเหมือนกัน
สิ่งที่สามารถนำไปได้คือพวกเครื่องนอนจากห้องในบ้านที่อยู่หลังร้าน
“พี่ ร้านนี้ยังเปิดอยู่หรือไม่น่ะ?”
เจียงเหลียนเซียงรู้สึกสับสนยิ่งนัก ตบตีกับบ้านเซี่ยอยู่นานสองเดือน กลับทำลายชามข้าว [1] ของตนเองทิ้งสิ้นเสียแล้ว ‘จางจี้’ ต้องปิดตัวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเธอกับจางหม่านฝูควรจะทำเช่นไรดี?
เซี่ยฉางเจิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่กล้าพูดจา แม้ตอนนี้จางชุ่ยไม่หย่า ทว่าไม่สนใจใยดีเขานัก
ยังขบคิดไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสรุปแล้วทำไมเื่ราวบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ในวันนี้ได้
ก็แค่ธุรกิจซบเซาลง จึงจำเป็ต้องส่งเซี่ยหงเซี๋ยกลับบ้านนอกมิใช่หรือ? ทว่าดูตอนนี้สิ ธุรกิจย่ำแย่จนร้านเปิดไม่ได้!
จางชุ่ยรู้ว่าครอบครัวตนเองทำให้อาจารย์ใหญ่ซุนและคณะอาจารย์นักเรียนในเซี่ยนอีจงขุ่นเคือง น้าหวงจานด่วนฝั่งตรงข้ามก็เฟื่องฟูมาก ต่อให้จางจี้หาหน้าร้านเปิดกิจการใหม่ก็ไม่อาจรุ่งเรืองเท่าเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
“เปิด ทำไมจะไม่เปิด! แต่ไม่ใช่ในเขตอันชิ่งนะ พวกเราจะไปเมืองมณฑลกัน!”
หาหน้าร้านไม่ได้จะกลัวอะไรไป แค่ตั้งแผงลอยเล็กๆ ข้างทางก็สามารถเริ่มค้าขายได้แล้ว
เมื่อก่อนตอนที่เธอมาเริ่มตั้งแผง มีเงินทุนเพียงไม่กี่สิบหยวน ทุกวันนี้มีเงินตั้งหลักพันหยวนยังไม่พอหรือ? แถมอยู่ห่างไกลจากเขตอันชิ่งก็ป้องกันไม่ให้พวกเซี่ยหงปิงมาวุ่นวายได้อีกด้วย จางชุ่ยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็ไปได้
เธอตั้งใจจะให้จางหม่านฝูกับเจียงเหลียนเซียงตั้งแผงอาหารว่างเล็กๆ และเธอกับเซี่ยฉางเจิงค่อยตั้งแผงอาหารว่างอีกแผงหนึ่ง สองบ้านแยกกันตั้งแผง ต้องมีร้านอาหารว่างเป็ของตนเองในเมืองมณฑลอย่างแน่นอน!
เมื่อมีจางชุ่ยเป็แกนนำ ทุกคนล้วนต้องฟังจางชุ่ย
ทั้งที่มีทรัพย์สินของครอบครัวแล้ว กลับต้องฝ่าฟันให้ได้มาอีกครั้ง จางชุ่ยโมโหโทโสยิ่งนัก
พอสืบเสาะต้นเหตุของการถดถอยมาจนวันนี้ มันมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์หน้าประตูเซี่ยนอีจงในวันที่สี่ของตรุษจีนซึ่งเป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลาน คนอย่างจางชุ่ยนี้ไม่คิดวางแผนร้ายต่อเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยตนเองเท่าไรนัก ทว่าเธอจดจำการโต้กลับของเซี่ยเสี่ยวหลานได้อย่างแม่นยำ เอาเป็ว่าเื่ที่เกิดขึ้นกล่าวโทษเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งหมด เป็ความผิดของเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอก็ยังคงเปิด ‘จางจี้’ อย่างสงบสุขอยู่ มีกำไรหลายร้อยหยวนทุกเดือน ไม่ต้องเริ่มใหม่ั้แ่ต้น!
“เื่ที่จื่ออวี้วานให้คุณทำ อย่าลืมเชียวล่ะ”
เซี่ยฉางเจิงพยักหน้ารับ “ไปเมืองมณฑลก็ดี จ้างคนแปลกหน้าที่นั่นสักสองคน ไม่มีใครสงสัยมาถึงตัวพวกเราแน่นอน”
หนนี้จะใจอ่อนแม้แต่นิดเดียวอีกไม่ได้โดยเด็ดขาด!
----------------------------------------
“จื่ออวี้ เธอไปกินข้าวหรือเปล่า?”
เซี่ยจื่ออวี้สอดโทรเลขไว้ในหนังสือ เผยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไปสิ วันนี้เธอจะกินอะไร ฉันเลี้ยงเอง”
เซี่ยจื่ออวี้ใช้ชีวิตในวิทยาลัยด้วยความประหยัดมาก เธอคนนี้ใจหินต่อตนเองนัก แม้เธอต้องกัดหมั่นโถวก็ต้องให้หวังเจี้ยนหัวได้กินหมูน้ำแดง เพื่อทำให้ทุกคนล้วนอิจฉาที่หวังเจี้ยนหัวมีแฟนสาวจิตใจประเสริฐเช่นนี้ เพื่อนนักศึกษาบางคนคิดว่าเซี่ยจื่ออวี้ทุ่มเทเกินสมควร ทว่าสุดท้ายก็ชื่นชมในคุณธรรมของเธออยู่ดี หากรู้ว่าเซี่ยจื่ออวี้มาจากชนบทอันแสนแร้นแค้น จะให้เธอเลี้ยงได้อย่างไร?
เวลาปกติในชั้นเรียน ความพึงพอใจของทุกคนที่มีต่อเซี่ยจื่ออวี้นับว่าดีทีเดียว ไม่ได้คิดว่าเธอตระหนี่หรือใจแคบแม้แต่น้อย
เธอเข้มงวดกับตนเอง แต่ไม่ขี้เหนียวต่อผู้อื่น ซื้อของเล็กน้อยให้บ่อยครั้ง ซึ่งความจริงแล้วราคาค่างวดไม่เท่าไร
พอได้ยินว่าเธอจะเลี้ยง เพื่อนร่วมหอต่างพากันยิ้มกว้างเห็นด้วย
“ได้สิ ฉันจะกินซาลาเปา ไส้หมู!”
เมื่อรับประทานของของเซี่ยจื่ออวี้แล้ว จะคืนให้ด้วยสิ่งอื่น มีอะไรต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนกัน นานๆ ทีจะเห็นเซี่ยจื่ออวี้อารมณ์ชื่นมื่นเช่นนี้ เพื่อนร่วมหอแค่หาความสนุกสนานเท่านั้น
ความวุ่นวายในครอบครัวถูกจัดการชั่วคราว มารดาเธอส่งโทรเลขมาบอกว่าจะไปตั้งแผงในเมืองมณฑล ฝืนคิดเสียว่าคนเราต้องพัฒนาตนเป็นิจ สิ่งสำคัญกว่าคือบิดาบอกว่าจดจำธุระที่ไหว้วานไว้ให้ได้ ใกล้สอบเกาเข่าแล้ว จะไม่ปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานร่วมการสอบเกาเข่าอย่างราบรื่นแน่—เซี่ยจื่ออวี้ย่อมเบิกบาน
เงินในมือเธอไม่พอแล้ว รอบิดามารดาเข้าที่เข้าทางในเมืองมณฑลเมื่อไร เธอถึงจะมีความช่วยเหลือทางการเงินตามมาทีหลัง
แม้เซี่ยจื่ออวี้จะมีความคิดทำธุรกิจขนาดเล็กในปักกิ่ง ทว่าเธอเองยุ่งมากจริงๆ ต้องใช้เวลารักษาผลการเรียน ต้องประคองความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักศึกษา ต้องทุ่มเทกายใจให้กับแฟนหนุ่มหวังเจี้ยนหัว อีกทั้งต้องระวังศัตรูหัวใจเข้าใกล้... เวลาทั้งหมดของเธอถูกจัดตารางแน่นแออัดเรียบร้อย
ปักกิ่งกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต้องทำสิ่งใดถึงจะสามารถหาเงินก้อนโตได้อย่างง่ายดายกันนะ
เชิงอรรถ
[1]饭碗 ชามข้าว หมายถึง ช่องทางทำมาหากิน