สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ตอนนี้เป็ยามอาทิตย์อัสดง แสงสีส้มอันอบอุ่นสาดส่องบนผืนดิน
“คุณหนู อาภรณ์ชุดนี้งดงามจริงๆ เ้าค่ะ”
ฝูเอ๋อร์มองใบหน้าโฉมสะคราญที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองแดงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เห็นเพียงว่าเครื่องหน้าของไป๋เซี่ยเหอดุจภาพวาด ภายใต้คิ้วใบหลิวมีดวงตาคู่หนึ่งที่ทั้งดำขลับทั้งสุกใส เปล่งประกายแห่งจิติญญา ดั้งจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากเล็กแดงเรื่อราวกับผลอิงเถา[1]
บนร่างของนางสวมอาภรณ์สีแดงที่ทำจากผ้าดิ้นอวิ๋นหรง ้าเป็ดอกเสาเย่าบานสะพรั่ง โดยปะปนทั้งของจริงและปลอม ยามก้าวเดินชายประโปรงย่อมพลิ้วไหวอย่างเปล่งประกาย
ท่าทีเอ้อระเหยและเย่อหยิ่งราวกับจิ้งจอก ชุดกระโปรงแดงขับความงดงามของนางอย่างหาที่เปรียบมิได้
ไป๋เซี่ยเหอเห็นฝูเอ๋อร์ที่แทบน้ำลายไหล ก็ยื่นมือไปดีดหน้าผากของนางอย่างไม่เบาไม่หนักนัก “ยังไม่ไปอีก”
ฝูเอ๋อร์ลูบหน้าผากพลางยิ้มตาหยี “ต้องโทษที่คุณหนูมีรูปโฉมงดงามเกินไปไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
เมื่อเปิดประตู สายตาของเซี่ยถิงที่ยืนรอตัวตรงอยู่ข้างนอกก็แข็งค้างโดยพลัน มีแสงที่สลัวจนแทบมองไม่เห็นผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา แต่เพียงชั่วพริบตาก็หายไป
เขาถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะคารวะด้วยความเคารพ “คุณหนูใหญ่ รถม้าเข้าวังเตรียมไว้ด้านนอกเรียกร้อยแล้วขอรับ”
หน้าประตูจวน
เป็เพราะไป๋เหล่าฮูหยินไม่สบายกะทันหัน จึงไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง ส่วนไป๋เสียนอันนั้น หลังจากเข้าวังไปแล้วก็รั้งรออยู่ในวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นจึงมีเพียงไป๋หว่านหนิงกับไป๋ซูเหอสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอก
เมื่อเหลือบเห็นนิ้วที่หนาวเหน็บจนขึ้นสีแดงของไป๋หว่านหนิง ไป๋เซี่ยเหอก็เอ่ยถามอย่างส่งๆ “รอนานแล้วกระมัง?”
วันนี้ไป๋หว่านหนิงสวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำทะเล และไม่มีเสื้อคลุมที่ด้านหลัง
“ไม่หรอก”
ไป๋หว่านหนิงขบฟัน ทว่านางดันไม่มีทางเลือกเสียนี่ เพราะนางเป็บุตรีของอนุภรรยา จะไม่รอก็ไม่ได้
“วันนี้เ้าสวมชุดผ้าดิ้นอวิ๋นหรงจริงหรือ? ไม่กลัวว่าจะโอ้อวดเกินไปหรือ?”
น้ำเสียงและแววตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางปรารถนาที่จะกรีดชุดหวาฝูที่ตนเองไม่ได้
“เ้าอิจฉาหรือ?”
ความเสแสร้งของไป๋หว่านหนิงอยู่ในระดับต่ำเกินไป ความคิดของนางปิดบังไป๋เซี่ยเหอไม่ได้เลย
“ข้าไม่ได้อิจฉา” ท่าทางของไป๋หว่านหนิงดูราวกับแมวที่ถูกเหยียบหางจนพองขนก็ไม่ปาน
“ข้าไม่ชอบผ้าดิ้นอวิ๋นหรงอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่อยากได้ แววตาของเ้าซื่อสัตย์ยิ่งกว่าปากของเ้าเสียอีก”
ไป๋หว่านหนิงโมโหเสียจนเบ้าตาแดงก่ำ
อยากได้สิ นางจะไม่อยากได้ได้อย่างไร? นั่นคือผ้าดิ้นอวิ๋นหรงเชียว ทั้งใต้หล้ามีสตรีนางใดที่ปฏิเสธผ้าเช่นนี้ได้บ้าง?
ทว่ามันเป็สิ่งของที่แม้แต่ไท่จื่อยังไม่ได้ แล้วนางจะมีหวังได้อย่างไร?
หากเป็ไปได้ นาง้าเพียงบดขยี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสีย หากนางไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน!
บรรยากาศเงียบสงัด
เมื่ออยู่บนรถม้า ไป๋เซี่ยเหอก็หลับตาลงเพื่องีบหลับ ไป๋หว่านหนิงกัดริมฝีปากล่าง ดวงตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ส่วนไป๋ซูเหอไม่ส่งเสียงสักแอะ มีเพียงความเงียบงันราวกับเปลี่ยนเป็คนละคนอย่างไรอย่างนั้น
รถม้าแล่นไปบนทางหลวงอย่างรวดเร็วจนฝุ่นฟุ้งกระจาย จากนั้นก็หยุดลงเมื่อถึงหน้าประตูวัง
นอกจากรถม้าของวัง รถม้าข้างนอกไม่อาจเข้าไปข้างในได้ ดังนั้นหลังจากรถม้าหยุดอยู่หน้าประตูวังแล้ว ทุกคนต้องลงจากรถม้าเพื่อเดินเท้าเข้าไป
ไป๋หว่านหนิงเดินตามหลังไป๋เซี่ยเหอด้วยจิตใจที่สั่นไหว ไม่สงบเลยแม้แต่น้อย
“พี่สาว เ้ารู้หรือไม่ว่างานเลี้ยงในวันนี้จะมีผู้ใดปรากฏตัวบ้าง?”
ไป๋เซี่ยเหอรู้ข้อมูลนี้น้อยกว่าฮั่วเยี่ยนไหว ทว่าไม่ใช่ว่านางไม่อยากถามเขา นางเพียงรู้สึกว่าไม่จำเป็ก็เท่านั้น
นางไม่ตอบก็ไม่ได้หมายความว่าไป๋หว่านหนิงจะไม่พูดต่อ ข้อมูลใดที่สามารถโจมตีไป๋เซี่ยเหอได้นั้น นางหยิบยกขึ้นมาใช้ทั้งหมด
แววตาของไป๋หว่านหนิงฉายแววชั่วร้าย ทว่าใบหน้ากลับยกยิ้มอ่อนโยน “วันนี้ เป็วันที่อันหนิงจวิ้นจู่กลับเมืองหลวงอย่างไรล่ะ”
อันหนิงจวิ้นจู่
ราวกับนางเคยได้ยินชื่อนี้ที่ใดมาก่อน
“อันหนิงจวิ้นจู่ หรือว่าจะเป็บุตรีของแม่ทัพเวยอู่ผู้นั้น?”
เมื่อไป๋ซูเหอถามขึ้นมาเช่นนี้ ไป๋เซี่ยเหอจึงนึกออกว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แม่ทัพเวยอู่ตายเพราะช่วยชีวิตฮั่วเยี่ยนไหวเมื่อสามปีก่อน ทิ้งบุตรีเพียงคนเดียวเอาไว้ หรือก็คืออันหนิงจวิ้นจู่
“ไม่รู้ว่าฝ่าาจะทรงประทานสมรสให้อันหนิงจวิ้นจู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่”
“ดูเหมือนว่าเ้าจะค่อนข้างมีความสามารถในการคาดเดาพระประสงค์ของฮ่องเต้นะ” ไป๋เซี่ยเหอจ้องมองไป๋หว่านหนิงอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตาของนางสงบนิ่ง ทว่าแผ่ความมืดมนที่ชวนให้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวออกมา
ถูกต้อง ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เดิมทีไป๋หว่านหนิงก็สวมชุดตัวบางอยู่แล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้าเล็กซีดเผือดทันที “น้องสาวมิกล้า เพียงพูดเรื่อยเปื่อยส่วนตัวกับพวกเราพี่น้องเท่านั้น”
โทษฐานคาดเดาพระประสงค์ของฮ่องเต้นั้นหนักหนา นางแบกรับไม่ไหวหรอก
ไป๋เซี่ยเหอมองนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างขอไปที “หากเปรียบเทียบกับเื่ซุบซิบไร้มูลความจริงเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าในจวนไท่จื่อมีสตรีหลายคนนัก เ้าเป็ห่วงตนเองจะดีเสียกว่า”
ไป๋หว่านหนิงขบฟัน นางโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม
เหตุใดนางถึงมักจะรู้สึกพ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับไป๋เซี่ยเหอครั้งแล้วครั้งเล่า?
เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นี่!
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้ารังแกหว่านหนิงอีกแล้ว!” ฮั่วอวิ๋นเยียนเดินมาจากที่ไกลๆ อย่างไม่รีบร้อน ดูเชื่องช้าราวกับเดินเล่นในสวนดอกไม้ก็ไม่ปาน
ไป๋เซี่ยเหอไม่คิดที่จะพูดดีๆ กับนางเช่นเดียวกัน นางรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ “องค์หญิงหก สมองเป็ของดี พกก่อนแล้วค่อยออกมาข้างนอกเถิด”
หลังกล่าวจบไป๋เซี่ยเหอก็เตรียมจะจากไป ส่วนไป๋ซูเหอมีสีหน้าลำบากใจ นางไม่คุ้นเคยกับองค์หญิงหก ทว่านางก็ไม่อยากตามพี่ใหญ่ไปเหมือนกัน
“น้องสาม เ้ามากับพวกเราเถิด”
ไป๋หว่านหนิงเห็นไป๋ซูเหอลังเลก็กล่าวขึ้น จากนั้นก็เดินเฉียดไป๋เซี่ยเหอพร้อมกับหันไปมองด้วยแววตาที่แฝงด้วยความพึงพอใจและยั่วยุ
แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ไป๋เซี่ยเหอในอดีตแล้วอย่างไร? ตอนนี้ก็ยังเป็คนที่ไม่น่าคบหาเหมือนเดิม นางปรารถนาให้ทุกคนออกห่างจากไป๋เซี่ยเหอ
ขอเพียงมีนางอยู่ นางจะไม่ปล่อยให้ไป๋เซี่ยเหอมีชีวิตที่ดีเป็อันขาด!
เมื่อฮั่วอวิ๋นเยียนเห็นความพึงพอใจในแววตาของไป๋หว่านหนิง ก็รู้สึกหม่นหมองเล็กน้อยในใจ นางเม้มปากไม่พูดไม่จา ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ กระทั่งไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับการพูดจาไร้มารยาทของไป๋เซี่ยเหอ
ไป๋เซี่ยเหอคร้านที่จะสนใจในความคิดของผู้คน กระทั่งไม่รู้ว่าไป๋หว่านหนิงได้วางแผนร้ายอยู่ในใจด้วยซ้ำ
หลังจากไป๋เซี่ยเหอทิ้งห่างผู้คนอย่างรวดเร็ว นางก็ยิ่งก้าวเท้าเร็วขึ้น
สตรียุคโบราณว่างเสียจนวางกลอุบายต่อสู้กันทุกวัน ทำให้นางรำคาญจนถึงขีดสุดเสียแล้ว อยากแทงสักคนจริงๆ
เดี๋ยวนะ
ไป๋เซี่ยเหอที่ตระหนักว่าตนเองสูญเสียการควบคุมอารมณ์ก็ชะงักฝีเท้าทันที
ในฐานะที่เป็ทหารรับจ้าง สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง จู่ๆ นางเสียการควบคุมได้อย่างไร?
ใช่แล้ว
นางเป็เช่นนี้ั้แ่ตอนที่ไป๋หว่านหนิงบอกว่าฮ่องเต้อาจประทานสมรสให้อันหนิงจวิ้นจู่กับเซ่อเจิ้งอ๋อง
ทว่านางสนใจคำกล่าวของไป๋หว่านหนิงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
แสงสายัณห์ลาลับ จันทร์เสี้ยวเย็นเยียบดุจสายน้ำ
หลังจากไป๋เซี่ยเหอสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็เดินเข้าไปในตำหนักที่จัดงานเลี้ยงเพียงลำพัง
ท้องพระโรงสีทองอร่าม กระเบื้องดูวิจิตรโปร่งแสง เสาหินอ่อนขนาดสี่คนโอบ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่หรูหราอลังการ
บัลลังก์้าสุดยังคงว่างเปล่า ฮ่องเต้และฮองเฮายังไม่เสด็จมา
ในทางกลับกัน ฮั่วเยี่ยนไหวที่ปกติจะมาถึงงานเลี้ยงช้าที่สุด กลับนั่งอยู่บนตำแหน่งแรกเยื้องลงมาจากบัลลังก์ัแล้วในตอนนี้ เขาหลับตาเอนตัวอยู่ตรงนั้น ถือจอกที่งดงามใบหนึ่งไว้ระหว่างนิ้วมือที่มีข้อนิ้วชัดเจน ท่าทีของเขาดูสูงส่งและเอ้อระเหย
ไป๋เซี่ยเหอเพียงกวาดสายตาผ่านร่างของฮั่วเยี่ยนไหวแล้วละสายตาออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็กวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อพบไป๋เสียนอันก็เดินไปหาเขา
แม้ว่าตอนนี้ไป๋เซี่ยเหอจะเป็ชายาเซ่อเจิ้งอ๋องในอนาคต ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่ได้สมรส ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ในที่นั่งของจวนสกุลไป๋
เพียงแต่เมื่อนางเดินไปถึงด้านหน้าของไป๋เสียนอัน ฝีเท้าก็ชะงักงัน
ทุกคนเคลื่อนสายตามาที่นางโดยไม่ได้นัดหมาย
การชมละครหรือการซุบซิบนินทาเป็ที่นิยมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ
ซ้ายมือของไป๋เสียนอันมีไป๋หว่านหนิงที่ดูอ่อนโยนและสง่างามนั่งอยู่ ส่วนขวามือมีไป๋ซูเหอที่ว่านอนสอนง่ายและนิ่มนวลนั่งอยู่
ตอนนี้ไป๋หว่านหนิงกำลังก้มหน้าก้มตาปอกองุ่น แล้ววางผลองุ่นอันแวววาวไว้ในถ้วยเพื่อให้ไป๋เสียนอันกิน ช่างเป็ภาพที่แสดงถึงความกตัญญูของบุตรีได้ดีจริงๆ
ไป๋เสียนอันเพียงเหลือบมองไป๋เซี่ยเหอก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นั่งของจวนสกุลไป๋ไม่พอ เ้าไปหาที่นั่งตามใจชอบเถิด”
ไป๋ซูเหอเชิดหน้าขึ้น แววตาเผยความพึงพอใจ น้ำเสียงไพเราะทว่าเต็มไปด้วยเจตนาร้าย “พี่สาวคงไม่แย่งที่นั่งจากบุตรีของอนุอย่างข้าหรอกกระมัง”
------------------------
[1] อิงเถา หมายถึง เชอร์รี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้