“หลี่อี้หรือ? เ้าหนูนั่นน่ะหรือ?” หลิวฉินเม้มปาก ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจนัก “ฟู่อิน นี่เ้าจงใจใช่หรือไม่? คิดจะใช้เ้านั่นมากดดันข้าหรือ? เ้าหนูนั่นเป็บุรุษมากความสามารถ ทั้งยังเป็หมอที่รู้จักกันไปทั่ว มีสตรีที่ใดบ้างที่ไม่สนใจเขา?”
“โห?” หลินฟู่อินไม่รู้มาก่อนว่าหลี่อี้มีชื่อเสียงเช่นนั้น นางจึงประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะในสายตาของนางแล้ว หลี่อี้เป็เพียงบุรุษรูปงาม แต่ ‘หมอผู้หล่อเหลา’ นี่ออกจะหลุดจากที่นางคิดไว้ไปสักนิด
“ไม่ได้” หลิวฉินจิบชาพลางมองหลินฟู่อิน จากนั้นก็นิ่วหน้าเล็กน้อย “พวกเด็กสาวมีเงินในเมืองบางคนถึงขั้นทำทีเป็ป่วยเพื่อไปขอให้เ้าหนูหลี่อี้นั่นรักษาให้เชียว! เ้าหนูนั่นมันมีดีขนาดนั้นเลยหรือ?”
มุมปากของหลินฟู่อินยกสูงขึ้น ก่อนจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว แล้วถามเขาออกมา “คุณชายหลิวอิจฉาเขาหรือ?”
“ว่าไงนะ!” หลิวฉินยกแขนขึ้นเกาศีรษะ แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่แบบนั้น ก็แค่พวกคนเฒ่าคนแก่ในบ้านข้ามักเห็นว่าข้าเรียนไม่เก่ง แล้วชอบนำข้าไปเปรียบเทียบกับหลี่อี้นั่น พลางบอกให้ข้าเอาอย่างเขาบ้าง… ฟู่อิน กิจการบ้านข้าน่ะเป็การค้าขาย ข้าได้ยินว่าหลี่อี้นั่นเป็หลานของหมอหลี่ แล้วจะให้ไปเอาอะไรอย่างเขากัน? นั่นตระกูลหมอหลวง เป็มาั้แ่รุ่นปู่ แล้วเพิ่งจะถอนตัวกันออกมาในตอนที่องค์หญิงรับตำแหน่งนี่เอง แล้วจะให้บ้านข้าเอาอะไรไปเทียบกัน!”
คำบ่นของหลิวฉินมิได้มีสาระมากนัก แต่ประโยคที่เกี่ยวกับตระกูลของหลี่อี้นั้นนับได้ว่าน่าสนใจ เื้ัของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
ที่ผ่านมาก็พอจะเห็นได้ว่าหลี่อี้ดูต่างจากคนอื่นๆ ที่โรงหมอของหมอหลี่ และยังดูได้รับการเอาใจใส่เป็พิเศษ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลายมาเป็ศิษย์ของหมอหลี่ได้อย่างไร
แต่เื่พวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง นางจึงเลิกคิดไป
“จะว่าไป พอกล่าวถึงหลี่อี้เช่นนี้… หรือว่า?” หลิวฉินชี้หลินฟู่อินด้วยท่าทีหวาดกลัว หลินฟู่อินตะลึงด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขา้าสื่อ นางหยิบพัดขึ้นมาแล้วใช้มันตีมือหลิวฉินที่กำลังชี้หน้านาง พลางกล่าวว่า “รีบๆ เอาความคิดรุงรังในหัวท่านออกไปเสีย มิเช่นนั้นแล้วข้าจะยกไข่ดอกสนและไข่เยี่ยวม้ารอบนี้ให้คนอื่นครึ่งหนึ่ง อ้อ แล้วเ้าของภัตตาคารเยว่เค่อก็เคยมาติดต่อข้าแล้วด้วย”
หลินฟู่อินสะดุ้ง แต่ก็คิดว่านี่คงเป็การทดสอบจากหลิวฉิน
แต่หลิวฉินเองก็สะดุ้งทันที เมื่อเห็นฟู่อินมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ “ฟู่อิน เราเคยตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าเ้าต้องสรรเสริญข้าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าฟังหนักๆ ว่าข้าได้ทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม เพราะหากวันนี้ข้าขายของได้ไม่ถึงครึ่ง กลับไปถึงบ้านข้าคงโดนท่านพ่อฆ่าทิ้งแน่ ทั้งท่านแม่ข้าก็จะเสียใจอีก!”
หลิวฉินผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยความปลิ้นปล้อนราวกับยอดนักแสดงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็ที่โจษจันไปทั่วเมือง
แต่นี่เองที่แสดงให้เห็นว่ารายการไข่นี้ยังขายดีในภัตตาคารหลิวจี้เช่นเคย ดังนั้นหลิวฉินจึงหวาดกลัวนักว่านางจะให้ของน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้
แต่การทำการค้ามันขึ้นอยู่กับความเชื่อถือมิใช่หรือ? แม้จะมีกำไรมาล่อ แต่ในเมื่อนางตกลงที่จะให้หลิวฉินไว้แล้ว นางก็จะไม่เปลี่ยนใจ
หลินฟู่อินเห็นว่าหลิวฉินกำลังเกาหูอย่างเป็กังวล ก็เม้มปากแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าว “ท่านกล่าวอะไรได้ประหลาดนัก ต่อให้ข้าทำเช่นนั้นได้ แต่ในเมื่อข้าตกลงกับภัตตาคารหลิวจี้ไว้ก่อนแล้ว ข้าจะผิดคำพูดไปทำไมกัน?”
“ยอด ยอดเยี่ยมมาก!” หลิวฉินปาดเหงื่อกาฬเย็นเยียบบนหน้าผากออกแล้วพึมพำออกมา “น่ากลัวนัก เพราะที่ภัตตาคารข้าของเพิ่งหมดไป!”
หลินฟู่อินได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา
“อ๊ะ จะว่าไป ข้าได้ยินว่าเ้าซื้อที่ไปสามที่ในเมืองหรือ? เรือนหลังหนึ่งกับร้านอีกสองแห่ง รวดเดียวเลย?” หลิวฉินหย่อนร่างนั่งลง ก่อนจะยื่นมือออกไปยกชามาจิบพลางมองหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หลี่ฮูหยินช่วยแนะนำข้าให้รู้จากคนกลาง และข้าเพียงโชคดีเท่านั้น”
นี่เป็การเน้นย้ำความสัมพันธ์อันดีของนางและหลี่ฮูหยิน
“นับเป็ลาภจริงๆ!” หลิวฉินนับถือเด็กสาวตรงหน้าที่มีทั้งวิธีการและใจที่จะทำตามเป้าหมาย เขามองว่านางเป็คนมีความสามารถอยู่แล้ว จึงยกนิ้วให้กับการโอ้อวดของนาง “นี่ข้ามิได้เยินยอเ้านะ แต่ฟู่อิน เ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ คนทั่วไปน่ะมิอาจหาญได้เท่าเ้าหรอก!”
“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้น” หลินฟู่อินจิบชาแล้วเปลี่ยนเื่ “ไข่รอบนี้มีรวมกันกว่าสี่พันฟอง แบ่งบางส่วนไว้เป็ของส่วนตัวของข้า จะว่ายังไงหากข้าจะขายให้ท่านสี่พันฟอง ไข่เยี่ยวม้าสองพันฟอง ไข่ดอกสนสองพันฟอง?”
ทันทีที่กลายเป็เื่ธุรกิจ สีหน้าของหลิวฉินก็เปลี่ยนไปทันที ั์ตาดำขลับคู่นั้นฉายแววเ้าเล่ห์ “ฟู่อิน เ้าบอกว่ามีมากกว่าสี่พันฟอง เช่นนั้นแล้วให้พวกข้ามากกว่านั้นมิได้หรือ?”
ตอนนี้พวกเ้าของร้านรายย่อยรายใหญ่ทั้งหลายเริ่มเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนแล้ว ทั้งยังพร้อมที่จะจ่ายให้เป็สองเท่าขอเพียงมีช่องทางซื้อ โดยที่ภัตตาคารหลิวจี้ของเขาจะเป็คนตั้งราคาเอง นับว่าเป็ธุรกิจที่ดีมาก ตราบเท่าที่หลินฟู่อินส่งของทัน
หลินฟู่อินคิดดูแล้วจึงบอกในสิ่งที่นางคิดให้เขาฟัง เพื่อมิให้ทั้งสองฝ่ายย่างเข้าสู่แดนต้องห้ามในอนาคต
“ผู้ดูแลฮวาก็มาพบข้าเช่นกัน และถึงข้าจะมีข้อตกลงกับภัตตาคารหลิวจี้แล้ว แต่จะปฏิเสธคำสั่งจากภัตตาคารเยว่เค่อไปเลยก็ไม่ได้ ข้าจึงต้องเหลือบางส่วนไว้บ้างเพื่อจัดการปัญหากับทางนั้น”
หลิวฉินเข้าใจได้ในทันที
เขาครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า แม้จะไม่พอใจเท่าไร แต่ก็เข้าใจได้ว่าชาวบ้านตัวเล็กๆ เช่นหลินฟู่อินนั้นไม่อาจต่อกรกับพ่อค้าใหญ่ที่มีสาขาทั่วต้าเว่ยได้
อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ว่าเ้าของภัตตาคารเยว่เค่อนี้ใช่พ่อค้าจริงๆ หรือไม่ เพราะในโลกนี้มีพวกขุนนางมากมายที่ใช้ชื่อคนอื่นทำธุรกิจอยู่
เป็สิ่งที่ทำกันมาั้แ่โบราณแล้ว
น่าเสียดายที่ตระกูลหลิวทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีเส้นสายพอ…
ดังนั้นเขาจึงพยายามสร้างความสัมพันธ์ไปทั่วทุกหนแห่งเท่าที่จะสร้างได้ เพื่อที่ภัตตาคารหลิวจี้จะได้เติบโตได้ มิเช่นนั้นแล้วต่อให้เห็นหนทางก็อาจจะไม่สามารถทำได้
หลินฟู่อินเองก็คิดว่าคุณชายใหญ่หลิวเป็คนที่ยอดเยี่ยม นิสัยเองก็มิได้เลวร้าย เขารู้ดีว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควรทำ
สำหรับคนเช่นนี้ ขอเพียงนางได้ประโยชน์ด้วย นางก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็มองหลิวฉิน ก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงข้าเองก็ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ นัก หากภัตตาคารหลิวจี้สามารถรับสินค้าทั้งหมดที่ข้ามีได้ ข้าก็จะไม่ต้องยุ่งกับภัตตาคารเยว่เค่ออีก เพราะหากเลือกได้ ข้าก็อยากทำการค้ากับคนที่เชื่อถือได้เช่นภัตตาคารหลิวจี้มากกว่า”
หลิวฉินได้ยิน สายตาก็หลุกหลิกด้วยท่าทีกังวลเล็กน้อย
เขาเข้าใจในสิ่งที่นาง้าสื่อ ว่าเหตุใดเราจึงไม่ทำให้ภัตตาคารหลิวจี้รุ่งเรืองกว่านี้เล่า? แต่พวกเขายังมีเส้นสายน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า พ่อค้าเรียกได้ว่ามีสถานะต่ำที่สุดในแคว้นต้าเว่ย แม้พวกเขาจะทำเงินได้มาก แต่ภาษีที่โดนก็หนักที่สุดเช่นกัน
ความจริงแล้วก็แทบจะเรียกได้ว่าขัดสนเลยด้วยซ้ำ!
“คือว่านะ…” หลิวฉินมิชอบการเจรจายาวๆ นัก ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในสายตา แล้วส่ายหน้า “ที่เ้าพูดก็ไม่ผิด แต่ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่อยากให้มันโตขึ้น แต่มันเป็ไปไม่ได้ในเวลานี้”
“หนทางย่อมมีเสมอ เพียงแต่มันไม่ง่าย เพราะมิใช่ทุกคนจะเกิดมาพร้อมโอกาสก็เท่านั้น” หลินฟู่อินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าหากนางสนับสนุนหลิวจี้แล้ว อย่างน้อยนางก็คงทำธุรกิจด้านการเกษตรได้ในอนาคต นับว่าเป็ช่องทางที่น่าสนใจ
อย่างไรเสียมนุษย์ก็้าอาหาร มันจึงเป็หนทางทำเงินที่ยอดเยี่ยมนับั้แ่อดีต
หลิวฉินได้ยินแล้ว ความไม่พอใจจนใจเริ่มหลุดลอยในตอนแรกก็มลายหายไป ใจตั้งมั่นว่าต้องลองฟังที่นางพูดเสียแล้ว พลางคิดว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้