ชายหนุ่มรูปร่างสูงสะโอดสะองเดินอ้อมผ่านดอกไม้และกอหญ้าพุ่มหนาบนทางเดินหินมาด้วยท่วงท่าสบายๆ ข้างหลังมีองครักษ์สองนายติดตามมาด้วย คนผู้นั้นคือเป่ยเหลียนโม่ หรือชิงผิงอ๋องนั่นเอง
“ดูเหมือนว่าเปิ่นหวังจะมาได้ถูกเวลาพอดี จวนใต้เท้าเหยาครึกครื้นยิ่งนัก”
ท่าทีของเป่ยเหลียนโม่ยังคงเดิมยามเห็นเหยาเชียนเชียนถูกเด็กรับใช้สองคนจับตัวไว้ ทว่าองครักษ์สองนายข้างหลังกลับพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รอคำสั่ง และรับตัวนายหญิงของตนมาจากเด็กรับใช้
“ท่านอ๋องเสด็จมาแล้ว” เหยาซื่อเฟิงยิ้มเจื่อน “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะเสด็จมา จึงไม่ได้เตรียมถวายการต้อนรับไว้ ท่านอ๋องโปรดละเว้นโทษด้วย”
เป่ยเหลียนโม่มองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “ใต้เท้าเหยากล่าวประหลาดนัก วันนี้หวังเฟยเสด็จกลับมาเยี่ยมครอบครัว เปิ่นหวังเป็ราชบุตรเขยย่อมต้องกลับมาด้วยกันอยู่แล้ว ทว่าราชกิจในราชสำนักยุ่งมาก เพราะฉะนั้นจึงมาช้าไปเสียหน่อย จะปล่อยให้ใต้เท้าเข้าใจผิดเช่นนี้ได้อย่างไร?”
อย่าว่าแต่เหยาซื่อเฟิงเลย แม้กระทั่งเหยาเชียนเชียนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน นางไม่คิดว่าชิงผิงอ๋องจะเสด็จมาที่จวนตระกูลเหยาจริงๆ ก่อนหน้านี้นางคิดว่าจะกลับมาด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ ทว่ายามนี้มีท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ด้วยแล้ว ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร แต่นางขอใช้ประโยชน์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
อย่างน้อยที่โดนตบไปสองฉาดเมื่อครู่ก็ไม่ได้เจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์
“เหตุใดท่านอ๋องจึงทรงถามมากนัก ไม่เห็นหรือเพคะว่าท่านพ่อกำลังยุ่ง ท่านย่อมคิดเื่อื่นไม่ออกเป็ธรรมดา”
เป่ยเหลียนโม่ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ และจับคางเหยาเชียนเชียนเบาๆ ราวกับกำลังพินิจมุมปากของนางที่ได้รับาเ็ ปลายนิ้วลูบไล้ผ่านาแ ก่อนจะถูอย่างแรงโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว
“ซี้ด...”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าหากตอนแรกมุมปากนางแตกเพียงเล็กน้อย ยามนี้แผลก็น่าจะยาวราวสองนิ้วแล้ว
เป่ยเหลียนโม่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อยเมื่อเห็นนางขมวดคิ้วเป็ปม เขาไล้ปลายนิ้วไปทั่วลาดไหล่ของนางอย่างย่ามใจ เมื่อเช็ดคราบเืจนสะอาดแล้วจึงโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดด้วยความสงสาร
“หวังเฟยเป็อะไรไป” เป่ยเหลียนโม่ผินใบหน้ากวาดสายตามองเหยาซื่อเฟิง “ดวงใจของเปิ่นหวังก็เ็ปเช่นกัน ห่างกันเพียงไม่นานเหตุใดถึงได้เจ็บหนักถึงเพียงนี้ หากถูกรังแกก็บอกข้า นอกจากข้าแล้ว ในใต้หล้าผู้ใดเล่าจะกล้าแตะเ้าแม้เพียงเส้นผม”
เหยาซื่อเฟิงตัวสั่นเทิ้ม คำนั้นเห็นได้ชัดว่า้ากล่าวถึงเขา คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขารู้ดีแก่ใจ
คำเล่าลือที่กล่าวว่าชิงผิงอ๋องหลงรักบุตรสาวคนที่สามของตระกูลเหยานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็เื่ไร้สาระ เขาสนใจเพียงแค่ความชอบขององค์ชายสามที่มีต่อเหยาเชียนเชียนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงยื่นคำร้องต่อฮ่องเต้เพื่อสู่ขอนาง
เดิมทีสองคนนี้ไม่ควรมีสัมพันธ์ต่อกัน วันนี้เห็นเหยาเชียนเชียนกลับจวนเพียงคนเดียว เขาก็ยังคงคิดเช่นนี้อยู่ ในพระทัยของชิงผิงอ๋อง สู่ขอมาแล้วก็ทอดทิ้งไว้ ไม่มีทางโปรดปรานนางแน่นอน
ทว่าเหตุการณ์ในยามนี้มันคือสิ่งใดกัน เหยาซื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา พลันสบเข้ากับั์ตาสีดำของเป่ยเหลียนโม่พอดี มันเ็าราวกับกำลังมองตัวตุ่นหรือมดบนพื้นอยู่ก็ไม่ปาน ทั้งยังสามารถจัดการเขาได้ตามใจชอบ
เป่ยเหลียนโม่ยังคงมองเขาอยู่ ราวกับว่ากำลังมองมดตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิตอยู่ในหลุมเลน ยิ่งไปกว่านั้น มดตัวนี้ยังถูกเขาโยนลงหลุมเลนด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่สามารถร้องขอสิ่งใดได้อีก เหงื่อเย็นไหลหยดราวกับน้ำตก เหยาซื่อเฟิงขดตัวด้วยท่าทางที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อสร้างความรื่นรมย์ให้แก่เขา
“ท่านอ๋องล้อเล่นแล้วเพคะ บิดาสั่งสอนบุตรสาวของตนจะเป็การรังแกไปได้อย่างไร”
เหยาเชียนเชียนถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขน นางได้กลิ่นไม้จันทน์หอมจางๆ จนคิดฟุ้งซ่าน ชายผู้มีจิตใจโเี้อย่างเขา เหตุใดจึงใช้กลิ่นหอมอ่อนโยนละมุนละไมเช่นนี้
ทว่าประโยคที่เหยาเชียนเชียนพูดเมื่อครู่ หากมองผิวเผินเหมือนเป็การช่วยเหยาซื่อเฟิงชี้แจงให้ชัดเจน แต่ความจริงแล้วกลับเป็การบอกเป่ยเหลียนโม่อย่างชัดเจนว่าแผลนี้เขาเป็คนทำ
“ท่านอ๋อง” เหยาซื่อเฟิงเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมา “เชียนเชียนพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงได้ยินมาว่านางก่อเื่ในจวนอ๋อง ดังนั้นจึงลงมือสั่งสอนเล็กน้อย ในฐานะบิดาจะไม่ใส่ใจอบรมสั่งสอนบุตรสาวของตนได้อย่างไร พระองค์ทรงเห็นด้วยหรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้ากับคำพูดของเขา ในฐานะบิดาย่อมสามารถสั่งสอนบุตรสาวของตนได้ เพียงแต่สตรีผู้นี้เป็ของเขาแล้ว อย่าว่าแต่เหยาซื่อเฟิง ต่อให้เป็เสด็จพ่อของเขาก็ตาม หากคิดจะลงมือกับนางก็ต้องถามความเห็นของเขาก่อน นับประสาอะไรกับเหยาซื่อเฟิงเล่า
“ดูท่าใต้เท้าเหยาจะยังจำไม่ได้” เขากระชับสตรีน้อยในอ้อมแขนแน่นขึ้น ั์ตาดำคมกริบราวกับมีดเล่มหนึ่งที่แทงทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจของเหยาซื่อเฟิง
“หวังเฟยแต่งงานกับเปิ่นหวังแล้ว เบื้องหน้าความสัมพันธ์ของบิดาและบุตรสาวยังมีคำว่าเคารพตามที่ใต้เท้าเหยากล่าว ทว่ายามนี้ข้าก็ถือเป็ราชบุตรเขยของใต้เท้าแล้ว ข้าต้องทำการคารวะใต้เท้าหรือไม่?”
“ท่านอ๋องโปรดละเว้นโทษ! กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
เหยาเชียนเชียนหันไปมองอย่างอดรนทนไม่ได้ นางชื่นชมสภาพจนมุมของเหยาซื่อเฟิงผ่านช่องว่างระหว่างอ้อมแขนของเป่ยเหลียนโม่
หยาดเหงื่อไหลลงสู่พื้น เส้นผมหลายเส้นยุ่งเหยิงอยู่บนศีรษะและแก้มทั้งสองข้าง ใบหน้าไร้สีและริมฝีปากซีดขาว เหยาซื่อเฟิงตัวสั่นระริกพลางคุกเข่าลงแทบเท้าเป่ยเหลียนโม่เหมือนกับสุนัขเชื่องๆ ตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
ทว่าน่าเสียดาย เหยาเชียนเชียนหัวเราะเสียงเย็นในใจ สุนัขตัวนี้มิได้จงรักภักดีต่อชิงผิงอ๋อง ทั้งยังคิดจะะโกัดเขาอย่างรุนแรงเสียด้วย
“ใต้เท้าเหยารีบลุกขึ้นเถิด” เป่ยเหลียนโม่พูดขึ้นอย่างสงบ “เปิ่นหวังเห็นว่าร่างกายของหวังเฟยผิดปกติ วันนี้คงไม่รั้งอยู่นานแล้ว เช่นนั้นขอตัวลาก่อน”
เหยาเชียนเชียนตระหนก จะไปทั้งอย่างนี้หรือ?
นางกลับมาที่นี่ถูกทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่น้อย กว่าชิงผิงอ๋องจะเสด็จมาสักครั้งก็ไม่ง่าย ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าครั้งต่อไปเขาจะเกิดผีเข้ามาช่วยนางอีกเมื่อใด เพราะฉะนั้นต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ สองสามวันมานี้คิดถึงอาหารที่จวนเหลือเกิน เช่นนั้นรั้งอยู่เสวยอาหารเที่ยงก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับจวนอ๋องเถิดนะเพคะ”
อย่างไรเขาก็รักและเอ็นดูนางต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ยามนี้ไม่ทันได้กินข้าวสักมื้อก็จะกลับแล้วจึงดูไม่สมเหตุสมผล เหยาเชียนเชียนกัดฟันเอนซบอกของเขาอย่างจำใจ ไม่กล้าสบตาชิงผิงอ๋องแม้แต่น้อย
“หากหวังเฟยหิวแล้ว รอกลับไปแล้วเปิ่นหวังจะป้อนให้เ้าทานจนอิ่ม ที่นี่มีสิ่งใดน่ารับประทานเล่า”
เสียงแหบทุ้มพูดขึ้นข้างใบหูของเหยาเชียนเชียน ใกล้เสียจนปากของเขาแทบจะััใบหูนางได้ พลันทำให้ใบหูเล็กแดงระเรื่อ เหยาเชียนเชียนสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดทนไม่ให้ใจร้อนพ่นคำด่า ความคิดยุ่งเหยิงตีกันอยู่บนแผ่นอกของเป่ยเหลียนโม่
“ท่านอ๋องเอ็นดูหม่อมฉันสักครั้งนะเพคะ ท่านอ๋องยังไม่เคยได้ทักทายท่านแม่และท่านพี่ของหม่อมฉันเลย หากไปทั้งอย่างนี้คนนอกจะพูดเอาได้ว่าท่านพ่อต้อนรับพระองค์ไม่ดีนะเพคะ”
ไม่รู้ว่าหญิงสาวมีแผนอะไร แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เหยาซื่อเฟิงทำได้เพียงทำเป็หน้าใหญ่ใจโต ช่วยหว่านล้อมให้เป่ยเหลียนโม่รั้งอยู่ต่อ
มีเพียงชายหนุ่มที่รู้แจ้งในใจ สตรีผู้นี้ยังคงไม่สาแก่ใจ เมื่อครู่ยามที่เขายังไม่มานางคงไม่ได้ถูกเหยาซื่อเฟิงข่มเหงเพียงคนเดียว ยามนี้จึงอยากให้เขาช่วยแก้แค้นแทนให้
“ได้สิ ตามใจหวังเฟย”
เป่ยเหลียนโม่จูบนางอย่างแ่เบา ริมฝีปากเย็นเล็กน้อยประทับลงบนหว่างคิ้วของเหยาเชียนเชียน ส่งผลให้นางใจนขนลุก
หากพูดถึงทักษะการแสดง ทุกคนในที่นี้ล้วนเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็คู่พ่อลูกผูกพันหรือคู่สามีภรรยาต้นแบบ ทั้งหมดล้วนทำการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม
โต๊ะรับประทานอาหารถูกจัดขึ้นอย่างคึกคัก ในที่สุดเหยาอวี้เอ๋อร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่เรียบร้อยแล้วเดินมานั่งลงอย่างหน้าชื่นตาบาน สายธารฤดูสารทหลั่งไหล ดวงตาแฝงความนัย รูปโฉมของชิงผิงอ๋องผู้นี้ช่างงดงามดุจเทพ และยังมีน้ำจิตน้ำใจไม่ธรรมดา
น่าเสียดาย นางเหลือบมองเหยาเชียนเชียนอย่างเกลียดชัง เขาปักใจเพียงน้องสามของนางผู้นี้ ก่อนหน้านี้ยังดูเ็ปเพราะทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงรังแก ทว่ายามนี้กลับยิ่งสร้างความเกลียดชังให้นางเพิ่มขึ้นทวีคูณจากสายตาที่มองไปยังชิงผิงอ๋อง นางจิ้งจอก!
“ท่านพี่มีอะไรจะกล่าวหรือไม่เ้าคะ?” เหยาเชียนเชียนผินใบหน้าจ้องไปที่เหยาอวี้เอ๋อร์ “จริงสิ เื่ซื้อหัวไชเท้าเมื่อครู่ ท่านพี่ไม่อยากทูลต่อท่านอ๋องสักหน่อยหรือ?”