เด็กหนุ่มก็ได้ยินที่หลิ่วจิ้งพูดตอนนี้เองเขาจึงเงยหน้าที่ก้มอยู่ตลอดขึ้น ดวงตาเป็ประกายวิบวับมีแววสว่างขึ้นมาบ้าง
“ครอบครัวของท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”คนขับรถม้าพึมพำกับตนเอง ใบหน้ามีรอยยิ้มและกระตือรือร้นเป็มิตรขึ้นมาในทันที ก่อนหลังราวกับเป็คนละคนเลยทีเดียว
“เชิญฮูหยินรีบขึ้นรถขอรับ” คนขับรถม้าะโลงมาพลางเรียกให้พวกของหลิ่วจิ้งขึ้นรถ
ท่าทีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือของคนผู้นี้ทำให้หลิ่วจิ้งเกิดความลังเลเอาการ ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นนางเป็หมูสามชั้นที่ติดเบ็ดแล้วหรือไม่หรือเพราะได้ยินชื่อของหั่วอี้ถึงเกรงอกเกรงใจนางขึ้นมา
เอาเป็ว่าอย่าเพิ่งไปสนใจ กลับไปก่อนค่อยว่ากัน มองเห็นฟ้ากำลังจะมืดแล้วหากยังไม่กลับอีกก็คงไม่ทันเวลาอาหารเย็น
เมื่อพวกของหลิ่วจิ้งทั้งสี่คนขึ้นรถกันเรียบร้อยคนขับรถม้าจึงควบม้าให้วิ่งไป หนนี้เขาควบคุมความเร็วให้แล่นไปอย่างสบายไม่ได้เร่งรีบเหมือนตอนขามา
“เ้าหิวหรือกระหายหรือไม่?” หลิ่วจิ้งเอ่ยถามเด็กหนุ่มอย่างเป็ห่วงขณะนั่งอยู่ในรถ
ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนเมื่อครู่แล้วเขาส่ายหน้าเบาๆ แต่ยังคงไม่พูด
“คนเมื่อครู่เป็ผู้ใด เ้าไปอยู่ในมือพวกมันได้อย่างไรบอกได้หรือไม่?” หลิ่วจิ้งสอบถามไปอย่างอดทนอีกครั้ง
คราวนี้คล้ายเอ่ยถูกแผลในใจของเด็กหนุ่ม เขาไม่ตอบ ทำเพียงมองเหม่อไปนอกรถ
คนขับรถม้าเงี่ยหูคอยฟังบทสนทนาในตัวรถอยู่ตลอดดูท่าว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงไม่ได้ถูกฮูหยินนั่นทรมานมาหรอก แต่นางกลับเป็คนช่วยอีกฝ่ายออกมาหัวคิ้วของเขาคลายตัวออก ท่าทางเขาจะคิดในแง่ลบไปเอง
เขาหัวเราะเหอๆ ความคิดเมื่อครู่นี้ของตนช่างเหลวไหลนัก
รถม้าแล่นไปอย่างไม่เร่งร้อนเกินไป อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอที่ออกมาทั้งวันก็เหนื่อยแล้วเช่นกันพวกนางจึงอาศัยร่างของกันและกันนั่งพิงพักผ่อน
ทันใดนั้นภายในรถก็เงียบสนิท นอกจากเสียงล้อรถที่แล่นอยู่ก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดอีก
หลิ่วจิ้งทอดสายตาออกไป ข้างหน้าเป็ถนนสายเล็กๆ ที่แล่นผ่านทุ่งหญ้าพอผ่านทาง่นี้ไปก็จะเข้าสู่เขตตัวเมือง และใกล้จวนแม่ทัพเข้ามาแล้ว
“ฮูหยิน ระวัง”พร้อมกับม้าที่ถีบขาหน้าขึ้นสูงและเสียงม้าร้องฮี้ยาวๆ รถม้าสั่นไปมาสองสามหนสุดท้ายก็หยุดวิ่ง
“เกิดเื่ใดขึ้น” อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอใลืมตาขึ้นพากันมองออกไปข้างนอก
“ลงมาๆ ลงมาหาลูกพี่ซะดีๆ”
หลิ่วจิ้งเปิดผ้าม่านรถออกมองไปข้างหน้า มีชายฉกรรจ์สามคนถือดาบขนาดใหญ่พร้อมแววตาดุร้ายยืนอยู่หนึ่งในนั้นก็คือชายที่เพิ่งรับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากนางไป
คนผู้นั้นสบตากับหลิ่วจิ้ง เอ่ยทั้งรอยยิ้มที่ตาไม่ได้ยิ้มด้วยว่า“ฮูหยิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
เมื่ออวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนเห็นคนพวกนี้ก็ใกอดกันกลมเด็กหนุ่มดูเหตุการณ์ด้วยสายตาเฉยชาคล้ายว่าเขาเคยพบเห็นเื่เหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
หลิ่วจิ้งรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ นางประเมินคนผู้นี้ต่ำเกินไปดูท่าว่าเงินที่นางหยิบออกมาจะดึงดูดคนกลุ่มนี้เสียแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกมันจะเอาแต่เงินไปโดยไม่ทำร้ายคนหรือไม่
คนหนึ่งในพวกมันมีรอยแผลเป็ลึกเส้นหนึ่งอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโเี้หลิ่วจิ้งคิดว่าหากอยากรอดกลับออกไปโดยสวัสดิภาพก็เป็เื่ยากเสียแล้ว
“พวกเ้าคิดจะทำสิ่งใด?” หลิ่วจิ้งมองคนเ่าั้ด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“ฮูหยิน พวกข้าก็มิได้คิดจะทำสิ่งใดขอเพียงฮูหยินให้ความร่วมมือแต่โดยดี พวกข้าก็จะไม่ทำร้ายฮูหยินแม้แต่น้อย”ชายที่รับเงินไปพูดพลางมองเรือนร่างของหลิ่วจิ้งด้วยสายตาบ้าตัณหา
“ลงมาๆ” อีกสองคนที่เหลือทนไม่ไหวอีกแล้ว ชี้ดาบไปทางตัวรถซ้ายคนขวาคนอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอใจนส่งเสียงร้องออกมา
“บอกมา พวกเ้า้าทำสิ่งใด?” หลิ่วจิ้งยังคงเยือกเย็น ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
คนขับรถม้าแอบพูดอยู่ในใจว่าดีนัก เมื่อครู่เขามองพลาดไปจริงๆนี่จึงจะเป็สตรีของท่านแม่ทัพและคู่ควรกับท่านแม่ทัพเขากลับหลงนึกว่าเป็ฮูหยินบ้านใดที่ออกมาหาความเร้าใจข้างนอกเสียได้อย่าให้ท่านแม่ทัพรู้ความคิดนอกลู่นอกทางของเขาเป็อันขาด
“ฮูหยิน ส่งตั๋วเงินในอกเสื้อท่านมา” ชายร่างกำยำหน้าบากที่ยืนอยู่ข้างๆหลิ่วจิ้ง เอ่ยพลางเอาดาบชี้ไปที่หน้าอกของนาง
“ปัดโธ่ น้องรอง อย่าทำคนงามใสิ”ชายที่รับเงินไปรีบก้าวมาข้างหน้า เอื้อมมือปัดดาบใหญ่ที่ชี้มาทางหลิ่วจิ้ง
“พี่ใหญ่ จะไปมากความกับพวกมันทำสิ่งใด มิสู้รีบจัดการให้เรียบร้อยพวกเราจะได้ไปหาความสำราญกัน” ชายหน้าบากไม่ยอมใจเมื่อเห็นดาบในมือถูกพี่ใหญ่ผลักออก
“เ้าโง่หรือไร ที่นี่มีหญิงงามอยู่พร้อมสรรพแล้วเ้ายังจะไปหาความสำราญที่ใดอีก” ชายที่รับเงินไปพูดพลางมองไปยังทางหลิ่วจิ้ง ใช้ั์ตาแวววาวมองมาหาอย่างได้ใจประหนึ่งว่าหลิ่วจิ้งเป็สิ่งของในย่ามเขาเช่นนั้น
“ใช่แล้วๆ พี่ใหญ่สายตาหลักแหลมนัก” ชายหน้าบากเอื้อมมือจะมาจับมือหลิ่วจิ้ง
“ไปไกลๆ ไปไกลๆ นังนี่เป็ของข้า บนรถมิใช่ยังมีอีกสองคนพอดีให้พวกเ้าคนละคน พวกเราหาความสำราญกันก่อนค่อยว่ากัน”
เมื่อพี่ใหญ่ออกปาก ทั้งสองคนจึงโยนดาบไปข้างๆ ในสายตาของพวกมัน ใช้เพียงนิ้วสองนิ้วก็สามารถจับสตรีทั้งสามคนได้แล้วไม่จำเป็ต้องใช้ดาบแต่อย่างใด
“ส่วนเ้า ลงไป ไปไกลเท่าใดได้ก็ไปเสีย นับว่าเ้าโชคดีวันนี้ลูกพี่ได้หญิงงามอารมณ์ดีนัก จะไว้ชีวิตเ้าสักคน”
พี่ใหญ่เห็นคนขับรถม้ายังคงยืนทื่องงงันอยู่บนรถรำคาญใจนักจึงให้เขารีบไปเสีย
คนขับรถม้าเปลี่ยนจากท่าทีเจียมตัวเช่นคนรถเมื่อครู่ยืนขึ้นมองชายทั้งสามคนข้างล่างด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวพลางเอ่ยว่า“ดูซิว่าพวกเ้าจะกล้าแตะต้องฮูหยินแม้แต่เส้นขนหรือไม่”
ระหว่างที่พูดนั้นแส้ยาวในมือของคนขับรถม้าก็สะบัดซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่วสองสามหนหวดมัดเอาดาบเล่มโตที่คนทั้งสามวางไว้บนพื้นขึ้นมาหมุนอยู่กลางอากาศหลายรอบก่อนจะโยนเข้าไปภายในตัวรถราวกับเล่นกล
“หา” โจรทั้งสามมองกันตาค้าง มือสั่นเทาของคนหน้าบากชี้ไปยังคนขับรถม้าที่ยืนอย่างน่าเกรงขามอยู่บนรถก่อนพูดไปทั้งปากสั่นว่า “จะ…จะ…เ้าคือ…”
ยังไม่ทันรอให้เขาพูดจบ คนขับรถม้าก็ะโอย่างขัดเคืองว่า“รู้แล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก วันนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินใ ไม่อยากให้มีเื่ฆ่าฟันเกิดขึ้นหาไม่แล้วพวกเ้าจะตายอย่างไรก็ยังมิอาจรู้”
อีกสองคนคล้ายจะนึกบางสิ่งออก จึงทรุดตัวลงคุกเข่าเอาแต่ร้องไม่หยุดว่า “ไว้ชีวิต ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอท่านไว้ชีวิตด้วย”
“ไสหัวไป อย่าให้ข้าเห็นพวกเ้าอีก”คนขับรถม้ามองพวกมันด้วยสายตาเกรี้ยวกราดดั่งเทพแห่งสายฟ้า
“ดะ ดะ ได้” พวกมันสามคนรีบคลานขึ้นมา หันหลังไปเตรียมจะวิ่ง
“ช้าก่อน” น้ำเสียงกังวานของสตรีร้องเรียกพวกมัน
คงเพราะใเกินไปเมื่อได้ยินคำว่าช้าก่อนนี้พวกมันสามคนจึงรีบคุกเข่าลงขณะยังหันหลังให้กับรถม้า ไม่กล้าขยับเขยื้อน
“ฮูหยิน ท่านมีคำใดจะสอบถามพวกมันอีก หรือว่า?” คนขับรถม้าสอบถามหลิ่วจิ้งอย่างนอบน้อม
หลิ่วจิ้งพยักหน้าให้เขาแล้วพูดกับสามคนนั้นว่า“เอาตั๋วเงินที่ข้าให้ไปคืนมาให้ข้า”
หลิ่วจิ้งก็ไม่ใช่คนใจบุญ ในเมื่อพวกมันคิดชั่วก่อนก็อย่าโทษว่านางไร้มนุษยธรรม
“ได้ยินแล้วหรือไม่ มันผู้ใดเอาตั๋วเงินของฮูหยินไป จงมอบออกมาเสียมิเช่นนั้นพวกเ้าอย่าคิดจะออกไปจากที่นี่เลย” คนขับรถม้าเห็นหลิ่วจิ้งเอ่ยปากแต่พวกมันทั้งสามกลับไม่ขยับหากไม่ใช่ว่ากลัวจะทำให้ฮูหยินใ ป่านนี้เขาคงถีบพวกมันสักหลายหนแล้ว
“อยู่กับข้าๆ” เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยปาก ชายที่รับเงินไปก็ควักตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาอย่างฝืนใจเต็มทนแล้วมอบแก่คนขับรถม้าด้วยท่าทางเ็ป
คนขับรถม้ารับมาพลางปรายตามองคราหนึ่ง เ้าบ้าเอ๊ยห้าร้อยตำลึงเงินทีเดียว ฮูหยินมีเื้ัไม่ธรรมดาเป็แน่จึงมือเติบเพียงนี้จากนั้นก็ส่งตั๋วเงินไปให้หลิ่วจิ้งด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ฮูหยินขอรับ ยังมีสิ่งใดจะสั่งความอีกหรือไม่จะปล่อยพวกมันไปหรือไม่ปล่อยขอรับ?”
หลิ่วจิ้งโบกมือปฏิเสธ เมื่อเข้าใจความหมายของหลิ่วจิ้งแล้วคนขับรถม้าจึงะโลั่นว่า “รีบไปเสีย หากยังชักช้าอยู่ระวังข้าจะเปลี่ยนใจ”
พอทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งทำอย่างกับว่ามีผีวิ่งไล่หลังพวกมันมาอย่างนั้น
_____________________________
