“สิ่งที่ขาดแคลนมากที่สุดในเมืองตอนนี้คืออาหาร ครอบครัวที่มีอาหารก็ปิดประตูแน่นไม่ยอมออกจากบ้าน ส่วนประชาชนที่ไม่มีกักตุนไว้ก็ระเห็จระเหินอยู่ตามถนน คอยหาอาหารในทุกๆ วันเพื่อไม่ให้หิวตาย”
“ของที่ขาดแคลนย่อมมีราคาสูง ยามนี้ราคาข้าวภายในเมืองพุ่งสูงมาก ข้าวที่เคยราคาถุงละหนึ่งตำลึงมีราคาสูงถึงสิบตำลึง แต่ก็ยังมีคนแย่งกันซื้อ เงินกลายเป็ของที่ไร้ค่าที่สุดในเวลานี้”
“เื่ที่ข้ารู้ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ล่ะ”
ท่านเ้าอำเภอบอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง เขาขมวดคิ้วขณะที่มองถนน
ทางข้างหน้านี้เดิมทีเป็ย่านใจกลางเมือง และเป็สถานที่ที่มีผู้คนอยู่มากที่สุด
ขณะนั้นมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา ท่านเ้าอำเภอหยิบผ้าผืนหนึ่งยื่นให้เวินซี “คุณหนูเวินซี ทางข้างหน้าจะเหม็นเน่ามาก อดทนหน่อยนะขอรับ”
เวินซีพยักหน้า รับผ้าไปปิดจมูกและปากทันที
เมื่อนางค่อยๆ เดินไป ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าก็ปรากฏสู่สายตา
กลุ่มคนที่หิวโหยจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกล้มนอนอยู่บนพื้น พวกเขามีเพียงเสื้อคลุมที่ปกปิดร่างกายเท่านั้น
บุรุษคนหนึ่งมีผิวพรรณซีดเหลือง รูปร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรง กำลังทานเปลือกไม้อย่างมูมมาม เขากลัวว่าจะมีผู้ใดแย่งอาหารไปจึงมองไปรอบๆ ด้วยสายตาดุร้ายอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
อีกด้านหนึ่งมีศพของคนที่หิวตายอยู่เป็จำนวนมาก และมีเด็กเล็กที่นอนกอดศพของผู้ใหญ่
เป็ภาพที่น่าสลดใจยิ่งนัก เวินซีที่ไร้ความรู้สึกมาโดยตลอดยังรู้สึกหดหู่
“เหตุใดแค่วันแรกถึงมีคนอดตายมากถึงเพียงนี้?” จ้าวต้านมองดูผู้คนเ่าั้และรู้สึกว่าผิดปกติ
“คนพวกนี้เป็ขอทานเร่ร่อนอยู่ในเมือง ก่อนจะเกิดโรคระบาด พวกเขาก็หิวโหยกันมากอยู่แล้วขอรับ” จ่างกุ้ยตอบพลางมองดูเหล่าขอทาน
ในระหว่างที่พูดคุย เวินซีและคนอื่นๆ ก็เดินเข้าไปในย่านใจกลางเมือง
เมื่อเห็นว่ามีคนมา ขอทานที่ยังพอมีแรงอยู่บ้างก็ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซแล้วไปหาพวกเขาทีละก้าว
“ทำบุญทำทานหน่อยเถิดขอรับ ข้าขออาหารสักหน่อย ข้าจะหิวตายแล้ว”
“ขอร้องล่ะขอรับ ข้ามิได้ทานข้าวมาสองวันแล้ว”
“ขอข้าทานหน่อย ขออาหารหน่อยเถิด ขอร้อง...”
......
เหล่าขอทานเอาแต่อ้อนวอนขออาหาร
เวินซีขมวดคิ้ว นางหยิบขนมชิ้นเดียวภายในอกมอบให้เด็กน้อยที่เดินเข้ามาใกล้
เด็กน้อยรับไปทานอย่างหิวโหยทันใด มีคนเอื้อมมือออกมาแย่ง แต่เขาก็หลบได้ทั้งหมด
“เอามาให้ข้า”
“ข้าบอกว่าเอามาให้ข้า”
......
พวกเขายั่วให้โกรธและช่วยกันจับเด็กน้อยไว้ เด็กน้อยใมากจึงนำขนมใส่ปากไปโดยพลัน
“คุณหนูเวินซี เราไปกันเถิดขอรับ” เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นั้น ท่านเ้าอำเภอก็ถอนหายใจอย่างช่วยมิได้ เขาเร่งให้นางรีบเดินออกไป
ผู้คนที่หิวโหยมีมากเกินไป ไม่สามารถช่วยพวกเขาทั้งหมดได้ หากนางและคนอื่นๆ ยังไม่รีบเดิน เช่นนั้นจะโดนล้อมไว้จนออกไปลำบาก
เวินซีพยักหน้าแล้วยกเท้าเดินจากไป
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสำนักหมอหลวงอย่างรวดเร็ว
ที่โถงของสำนักหมอหลวง ประชาชนที่ติดเชื้อนอนตัวบวมเป่งอยู่บนพื้นเรียงกันเป็แถว แม้แต่จะกรีดร้องด้วยความเ็ปก็ยังทำไม่ได้ นอกจากนอนลืมตามองดูคานเรือนอยู่เช่นนั้น
ส่วนคนรับใช้และสตรีผู้นั้นที่เวินซีเจอครั้งแรกก็ยังคงตัวบวมอยู่ ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
เวินซีเดินเข้าไป นั่งยองลงด้วยความระมัดระวัง และจับชีพจรของผู้ติดเชื้อ
ชีพจรยังเต้นปกติเหมือนเดิม เพียงแต่ลมหายใจมีความผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากเด็กน้อยในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
นางขมวดคิ้วและเปลี่ยนไปจับชีพจรของคนอื่นๆ พวกเขามีชีพจรแบบเดียวกัน
“ตอนนี้นอกจากเด็กคนนั้นแล้ว ในบรรดาผู้ติดเชื้อก็ยังไม่มีผู้ใดตาย อาการของพวกเขายังทรงตัว และไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย”
“พวกเราอยู่กับพวกเขาตลอดทั้งวันั้แ่เมื่อวาน แต่ก็ยังไม่ติดเชื้อ ยามนี้เรายังสรุปมิได้ว่าโรคนี้ติดต่อผ่านกันทางใด คุณหนูเวินซีระวังด้วยนะขอรับ”
สายตาของหมอผู้เฒ่ามองทุกคนอย่างเป็กังวล ก่อนจะหยุดลงที่เวินซี พร้อมกับเอ่ยปากเตือน
เวินซีพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
“ท่านหมอมีความคิดเห็นเช่นไรกับโรคระบาดนี้เ้าคะ?” นางถามขึ้นพร้อมกับเดินสังเกตไปรอบๆ สำนัก
นางยังไม่เข้าใจโรคนี้นักจึงยังไม่ตัดสินใจรักษา เพื่อไม่ให้เื่แย่ลงไปอีก
หมอผู้เฒ่าเดินอยู่ข้างหลังเวินซี เขามองผู้ป่วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยว่า “ยามนี้ยังไม่มีวิธีรักษาที่แน่ชัด เราต้องหาสาเหตุของโรคระบาดให้พบก่อนถึงจะตัดสินใจได้ ตอนนี้เราทำได้เพียงยื้อเวลาของคนพวกนี้
“ศพของเด็กคนนั้นอยู่ที่ใดเ้าคะ?”
“เราได้ส่งให้เ้าหน้าที่ชันสูตรศพแล้ว วันพรุ่งน่าจะได้ผลออกมา”
“เ้าค่ะ”
เวินซีพยักหน้าเบาๆ
กลิ่นของหรดาลแดงผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นเน่าในอากาศ เวินซีสูดดมจนรู้สึกทรมาน เมื่อตรวจดูอาการของผู้ติดเชื้อทั้งหมดแล้วนางจึงรีบวิ่งออกไปที่ประตูสำนักหมอหลวง
นางมีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อหันหน้าออกไปมองบนถนนก็คิดวิธีรับมืออย่างหนึ่งได้
เป็เพราะผู้ติดเชื้อเหล่านี้พูดมิได้จึงยากที่จะทราบสาเหตุ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือศพของเด็กคนนั้น นางต้องไปตรวจด้วยตนเอง จะใช่พิษหรือไม่ เพียงแค่มองแวบเดียวนางก็ทราบแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เวินซีก็หยิบขวดหยกออกจากแขนแล้วมอบให้หมอผู้เฒ่า
“สิ่งนี้คือ...” หมอผู้เฒ่าหยิบขวดหยกมาเปิดออก ดวงตาของเขาเป็ประกายทันทีที่สูดดมยานั้น “ยาบำรุงร่างกายหรือ? แต่ว่า...”
หมอผู้เฒ่ามองดูเม็ดยา ไม่กล้าปักใจเชื่อง่ายๆ
กลิ่นของยาเม็ดนี้เหมือนกับยาบำรุงร่างกายจริงๆ แต่เมื่อดมดีๆ แล้วมันมีความแตกต่างเล็กน้อย
“เป็ยาบำรุงร่างกายที่ข้าทำเองเ้าค่ะ หากต่อไปมีผู้ติดเชื้อที่อาการหนักขึ้น ก็ให้ป้อนพวกเขาเสีย คงจะยืดเวลาได้สักระยะเ้าค่ะ” เวินซีตอบ
ยาบำรุงร่างกายของนางมีประสิทธิภาพสูงในการทำให้เืแข็งตัว หากผู้ติดเชื้ออาเจียนเป็เื ิัปริขาดและเืออก สามารถใช้มันได้
แต่น่าเสียดายที่ส่วนประกอบของยาตัวนี้พิเศษมาก ตัวนางเองก็มีเพียงขวดเดียว ดังนั้นคงจะช่วยคนได้ไม่มาก...
“เช่นนั้นแล้ว ข้าขอรับยานี้ไว้นะขอรับ” หมอผู้เฒ่ามองเวินซีด้วยสายตาชื่นชม
หากมิใช่ว่าตอนนี้เป็สถานการณ์คับขัน เขาคงจะพาเวินซีมาคุยเื่ทักษะการแพทย์แล้วจริงๆ
ยิ่งมองดูนาง เขาก็ยิ่งพอใจมาก หลังจากที่เก็บขวดยาไว้แล้วก็ถอดจิ่นบู้ [1] จากเอวมามอบใส่มือของเวินซี “คุณหนูเวินซี รับสิ่งนี้ไว้ขอรับ มันจะทำให้คนทั้งสำนักหมอหลวงฟังเ้า”
ยามนี้เื่กำลังคนก็มีความสำคัญเช่นกัน เวินซีมิได้ปฏิเสธ นางรับจิ่นบู้ของเขาไว้
ในตอนที่นางกำลังจะหาข้ออ้างขอตัวออกไป เมื่อหันไปก็เห็นเ้าหน้าที่สองคนถือดาบ กำลังวิ่งมาจากหัวมุมถนนอย่างรีบร้อน
นางหรี่ตาลงและไม่ขยับเขยื้อน
เ้าหน้าที่ทั้งสองคุกเข่าลง แต่ไม่ได้หยุดอยู่ที่หน้าเ้าอำเภอ
เพราะพวกเขาวิ่งมาอย่างรีบร้อน ยังพูดอันใดไม่ออกจึงทำไม้ทำมือด้วยท่าทีร้อนรน
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่?” ท่านเ้าอำเภอมองดูพวกเขาจนแทบหมดความอดทน
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเ้าหน้าที่คนหนึ่งก็กลับมาพูดได้ เขามีสีหน้ากระวนกระวาย กลืนน้ำลายลงแล้วเอ่ย
“ท่านเ้าอำเภอ เกิดเื่แล้วขอรับ ประชาชนที่ฝั่งประตูเมืองใช้โอกาสตอนใกล้ค่ำเข้าทำร้ายพวกเราขอรับ คนของเราไม่กล้าทำร้ายประชาชน ทำได้เพียงอดทนกับการรุมทุบตีของพวกเขา ยามนี้เราจะรับมือไม่ไหวแล้วขอรับ”
“อันใดนะ?” สีหน้าของท่านเ้าอำเภอเปลี่ยนไปคราแล้วคราเล่า ใบหน้าของเขามืดมิด ในที่สุดก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป
“ตามไป” เสียงของจ้าวต้านดังขึ้นข้างกายเวินซี นางพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น เ้าหน้าที่ก็รีบลุกขึ้นแล้วตามไปพร้อมกับหมอ
เชิงอรรถ
[1] จิ่นบู้ 禁步 เป็เครื่องประดับที่ทำจากหยกร้อย เป็สายห้อยเอวของคนสูงศักดิ์ในสมัยโบราณ ขณะที่เดินจิ่นบู้ซึ่งเป็หยกหนักจะกดกระโปรง ทำให้กระโปรงไม่พัดพลิ้วไปตามลม ผู้คนที่ห้อยจิ่นบู้จึงมีท่วงท่าการเดินที่สง่างามขึ้น