แม้เจียงชิงอวิ๋นจะคิดว่าตนเองเป็คนเก่งเป็อัจฉริยะ แต่ก็ไม่หยุดอ่านหนังสือ เขาเดินทางไปทั่วทั้งแคว้นต้าโจวั้แ่เหนือจรดใต้ แต่ยามนี้กลับถูกหลี่หรูอี้ย้อนถาม
เขาอ่านหนังสือมากมายนับพันเล่ม แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า เหตุใดตระกูลเจียงจึงตกลงสู่จุดจบเช่นนี้
แต่ในร่างกายมนุษย์มีก้อนหินเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือ
หลี่หรูอี้ไม่มองเจียงชิงอวิ๋นอีก หันไปถามนางหลิวว่า “ข้าจะถามตัวผู้ป่วยเอง เช่นนี้จึงจะวินิจฉัยขั้นสุดท้ายได้ ท่านว่าดีหรือไม่”
นางหลิวรู้สึกลำบากใจ นางร้อนใจจนอยากกระทืบเท้าระบายจริงๆ “หากตาแก่ตื่นขึ้นมาจะเ็ปจนแทบตาย”
“มีข้าอยู่จะปล่อยให้เขาปวดจนตายได้อย่างไร” หลี่หรูอี้กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้าจะใช้เข็มเงินสกัดจุดชีพจรของเขาหลายแห่งเพื่อช่วยลดความเ็ป ทำให้ความเ็ปของเขาถูกจำกัดอยู่ในระดับที่ร่างกายรับไหว”
“ท่านป้า ท่านฟังน้องสาวข้าเถิด”
“ั้แ่น้องสาวข้ารักษาผู้ป่วยมา ยังไม่เคยผิดคำพูดเลยขอรับ”
“น้องสาวข้าเคยบอกว่า หากวินิจฉัยขั้นสุดท้ายได้เร็วก็จะรักษาได้เร็ว”
เด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่พากันโน้มน้าวนางหลิว
จ้าวซื่อก็กล่าวตามไปด้วย “หากบุตรสาวข้าถาม แต่ท่านไม่ได้ถามตัวสามีท่าน ย่อมไม่อาจวินิจฉัยขั้นสุดท้ายได้ว่า สามีท่านป่วยเป็อะไรกันแน่”
ลุงฝูกล่าวโน้มน้าวเช่นกัน “นางหลิว อาการของเหล่าโจวไม่อาจยืดเยื้อ เวลาไม่เคยรอผู้ใด ในเมื่อหมอเทวดาน้อยกล่าวแล้ว เ้าก็ทำตามที่นางพูดเถิด”
วิชาเข็มเงินก็คือ การฝังเข็มนั่นเอง เป็วิชาที่ใช้ทดสอบพลังสายตา พลังข้อมือ และระดับวิชาแพทย์ของผู้ที่เป็หมอได้ดี
หมอประจำร้านยาเรียนกับอาจารย์สิบปี ได้แต่ทดลองฝังเข็มกับหนังหมู สัตว์ต่างๆ และร่างกายตนเองหลายพันครั้ง แต่ไม่กล้าฝังเข็มให้ผู้ป่วย
หมอมีชื่อบางคนเชี่ยวชาญวิชาเข็มเงิน เมื่อปักเข็มลงไปแล้วก็ทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะหมดสติตื่นขึ้นมาได้ หรือไม่ก็ช่วยลดความเ็ปของผู้ป่วยลงได้มาก
วิชาเข็มเงินเป็วิชาลับที่หมอมีชื่อไม่ยอมถ่ายทอดให้ผู้อื่น
ลุงโจวไปหาหมอมีชื่อมาสิบกว่าคนแล้ว มีเพียงสามในหนึ่งคนที่รู้วิชาเข็มเงิน หมอหลวงสองคนที่จวนเยี่ยนอ๋องส่งมาตรวจรักษาให้ลุงโจวก็รู้วิชาเข็มเงินเช่นกัน แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญมีเพียงท่านเดียว
เจียงชิงอวิ๋นอยากรู้จริงๆ ว่า วิชาเข็มเงินของหลี่หรูอี้จะอยู่ระดับใด
หลี่หรูอี้เดินกลับไปหยิบกล่องเครื่องมือแพทย์มาจากในห้องนอน จากนั้นจึงฝังเข็มให้ลุงโจว ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องและสำรวจมองของคนจวนเจียง จนลุงโจวตื่นขึ้นมา
ลุงโจวรู้สึกว่าการตื่นครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เจ็บราวกับถูกมดกัดเท่านั้น มีความรู้สึกชาเล็กน้อย “โอ้ย... เจ็บจะตายอยู่แล้ว ข้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
นางหลิวน้ำตาไหล กล่าวด้วยน้ำเสียงเ็ปปนสงสาร “ตาแก่ เ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ยืนอยู่ตรงหน้าเ้าแล้วไม่ใช่หรือ เ้าดู นายท่านกับเหล่าฝูก็อยู่ด้วย นายท่านพาเ้ามาให้หมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่ตรวจรักษาด้วยตนเองเชียว”
หลี่หรูอี้ให้นางหลิวปลดอาภรณ์้าของลุงโจวออก จากนั้นจึงฝังเข็มบริเวณท้องให้ลุงโจวไปหลายเข็ม
ลุงโจวรับรู้ได้โดยพลันว่าร่างกายของตนชายิ่งขึ้น แต่ความเ็ปลดลง หากเ็ปเพียงเท่านี้ตลอดเขายังสามารถทนได้ ไหนเลยจะต้องเอาหัวไปโขกประตูโขกกำแพงเพื่อเรียกร้องหาความตาย
“ตาแก่ เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้ว ไม่เจ็บเพียงนั้นแล้ว” สายตาของลุงโจวหยุดมองไปบนร่างของแม่นางน้อยเบื้องหน้าที่อายุน้อยกว่าเจียงชิงอวิ๋นหลายปี นางมีรูปโฉมงดงาม ดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาด เขากล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณหมอเทวดาน้อยที่ช่วยฝังเข็มลดความเ็ปให้ข้า”
ในโลกเดิมของหลี่หรูอี้ แพทย์แผนจีนไม่ได้พัฒนาและเป็ที่นิยมเท่าแพทย์แผนตะวันตก วิชาเข็มเงินของนางก็เรียนมาจากหมอสามท่านที่สืบตระกูลมาจากแพทย์จีน
ทายาทของชายชราทั้งสามไม่ยอมเรียนแพทย์แผนจีน พวกเขาไม่อยากให้วิชาเข็มเงินที่สืบทอดมาในตระกูลต้องมาสิ้นสุดลงในมือพวกตน จึงพากันถ่ายทอดให้หนุ่มสาวที่อยากเรียน หลี่หรูอี้เป็ผู้มีพร์ในด้านการแพทย์ อีกทั้งนางก็อยากเรียนจึงได้กลายเป็ลูกศิษย์ของพวกเขา
หลี่หรูอี้เรียนรู้วิชาเข็มเงินมาจากสามตระกูล แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอ นางเคยฝังเข็มให้ผู้ป่วยซึ่งเป็ทหารและคนในพื้นที่มาหลายพันคนตอนที่อยู่ชายแดน เพิ่มพูนศักยภาพและความเชี่ยวชาญในวิชาเข็มเงินไม่หยุดหย่อน ทั้งยังผสมผสานวิชาแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนจีนเข้าด้วยกัน แล้วนำไปพัฒนาจนเชี่ยวชาญ สุดท้ายก็กลายเป็หมอเลื่องชื่อที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของวงการการฝังเข็ม
เมื่อมาที่แคว้นต้าโจว หลี่หรูอี้ก็ใช้หนังหมูและสัตว์มาทำการทดลองมากมายเป็เวลาหลายเดือน ทั้งยังได้ฝังเข็มให้ผู้ป่วยที่มาขอให้รักษาอีกสิบกว่าคน ทำให้วิชาเข็มเงินของนางฟื้นฟูถึงระดับที่สูงที่สุดในโลกก่อนแล้ว
นางหลิวกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมาก หมอเทวดาน้อย”
ตอนนี้เจียงชิงอวิ๋นไม่ได้ใช้สายตาพิจารณามองหลี่หรูอี้อีก เขาคิดในใจว่าหากมีวิชาแพทย์เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจถูกเรียกว่าเป็หมอเทวดาได้แน่ อย่างมากก็เป็เพียงหมอชาวบ้านที่รู้จักวิชาเข็มเงิน
หลี่หรูอี้มองไปทางลุงโจว การลดทอนความเ็ปให้ผู้ป่วยเป็สิ่งที่ผู้ที่ทำงานด้านการแพทย์สมควรทำอยู่แล้ว แต่จุดประสงค์ของนางไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นางถามไปว่า “ข้ามีคำถาม้าถามท่านสักหน่อย หลายปีมานี้ท่านเคยปัสสาวะเป็เืหรือไม่”
ลุงโจวไม่แม้แต่จะคิด “ไม่เคย” หมอที่เขาไปหาก่อนหน้านี้ก็เคยถามคำถามนี้เช่นกัน เขาปัสสาวะเป็ปกติ ไม่เคยปัสสาวะเป็เื
“ท่านหงุดหงิดง่ายขึ้นใช่หรือไม่”
“ใช่”
“ั้แ่ท่านป่วย ท่านก็รับความใไม่ค่อยไหวใช่หรือไม่”
“ใช่” ลุงโจวรู้สึกสั่นสะท้านยิ่งนัก ลอบคิดในใจว่า ก่อนหน้านี้แม้์จะส่งสายฟ้าฟาดลงมาบนหัวเขา ก็ยังไม่แม้แต่จะกะพริบตา ทว่าั้แ่ตนป่วยเป็โรคประหลาดนี้ก็กลายเป็คนขี้ขลาด มีคนมายืนตบไหล่อยู่ด้านหลังก็ทำให้เขารู้สึกใได้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีหมอคนใดถามเช่นนี้มาก่อน แต่หมอเทวดาน้อยกลับถาม ดูท่าทางหมอเทวดาน้อยคงทราบแล้วว่านี่เป็โรคประหลาดอันใด
“บางครั้งหากท่านกินอาหารจะรู้สึกขมในปากใช่หรือไม่”
“ใช่” ลุงโจวรู้สึกตะลึงพรึงเพริดยิ่งขึ้น
หลี่หรูอี้ถามไปอีกหลายสิบคำถาม ซึ่งทำให้ลุงโจวต้องตอบจนคอแห้ง สุดท้ายก็กล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ข้าวินิจฉัยขั้นสุดท้ายได้แล้วว่า ท่านป่วยเป็โรคนิ่วในถุงน้ำดี”
อาการป่วยที่ถุงน้ำดีจะแบ่งออกเป็นิ่วในถุงน้ำดีและถุงน้ำดีอักเสบ ในโลกก่อนมีเครื่องมือแพทย์พร้อมสรรพ หากทำการเอกซเรย์หรือซีทีสแกน ก็สามารถวิเคราะห์แยกแยะอาการป่วยทั้งสองชนิดนี้ออกจากกันได้
แต่แคว้นต้าโจวในโลกนี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่ล้าหลัง ไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่สามารถตรวจดูอวัยวะภายในของมนุษย์ได้เลย หลี่หรูอี้จึงทำได้เพียงสอบถามผู้ป่วย จากนั้นก็อาศัยประสบการณ์หลายปีมาทำการวินิจฉัย
ลุงโจวมีสีหน้าตื่นตะลึงและหวาดกลัว มนุษย์เรามีก้อนหินอยู่ในถุงน้ำดีได้ด้วยหรือ แล้วเขาจะตายหรือไม่
เขายังมีชีวิตไม่นานพอ เขาไม่อยากทิ้งนางหลิวที่เคยสูญเสียลูกหลานแล้วจากไปเพียงลำพัง ไม่อยากไปจากเจียงชิง อวิ๋นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และยังไม่ได้แต่งภรรยาสร้างครอบครัว
ชั่วขณะนั้นชายชราถึงกับน้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า
นางหลิวเช็ดน้ำตาให้เขาแล้วพูดว่า “ตาแก่ ที่แท้เ้าก็เป็โรคนิ่วในถุงน้ำดีนี่เอง นิ่วในถุงน้ำดีเป็โรคประหลาด ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน มิน่าเล่าหมอหลวงหลายคนจึงรักษาเ้าไม่ได้”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “อาการป่วยนี้เกิดจากการที่ท่านไม่กินข้าวเช้า” สาเหตุของโรคนิ่วในถุงน้ำดีมีมากมาย ซึ่งการไม่กินข้าวเช้าก็เป็หนึ่งในสาเหตุเ่าั้
นางหลิวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “์ ตาแก่ เ้าฟังที่หมอเทวดาน้อยกล่าวเถิด เ้าดื้อรั้นเพียงนั้น ไม่ยอมฟังคำพูดของข้า หากเ้ากินข้าวเช้าทุกวันจะเป็นิ่วในถุงน้ำดีได้อย่างไร”
“ไม่กินข้าวเช้าก็ทำให้มีก้อนหินเกิดขึ้นในถุงน้ำดีได้หรือ” ไม่ใช่เพียงลุงโจวเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมถึงเจียงชิง อวิ๋นและคนบ้านหลี่ก็พึมพำประโยคนี้ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ลุงโจวรู้สึกเสียใจจนแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักสองครั้งจริงๆ หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ เหตุใดตอนแรกเขาจะไม่ทำเล่า
“เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้มองคนในครอบครัว “นี่เป็สาเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงดื้อรั้นจะกินข้าววันละสามมื้อให้ได้”
ลุงโจวมองไปยังนางหลิวที่มีผมดำขลับเต็มหัว ทว่าสีหน้ากลับโศกเศร้าเ็ป คิดในใจว่าลูกหลานก็ไม่มีแล้ว หากเขาตายไปอีกคนนางคงต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “หมอเทวดาน้อย ข้ายังพอมีทางรอดหรือไม่”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้