วันรุ่งขึ้น
ณ จวนตระกูลชุย
ฉินจ้านคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น และพูดเบาๆ ว่า “แม่ทัพใหญ่ ความผิดทุกอย่างอยู่ที่ข้า ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัยให้กับความไร้เดียงสาของฉินอวี่ด้วย”
“ฉินจ้าน ในอดีต เ้ากับข้าร่วมติดตามต่อสู้ร่วมกันมากว่าสิบปีแล้วใช่หรือไม่? แม้ว่าเ้าจะถอยออกมาแล้ว แต่ตัวข้าปฏิบัติต่อเ้าเช่นไร?” ชุยหงจ้องมองที่ฉินจ้านด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม กล่าวอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
“บุญคุณของท่านแม่ทัพ ฉินจ้านไม่มีวันลืม!” ฉินจ้านกล่าว
ชุยหงคว้าถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ และขว้างตรงไปที่ฉินจ้าน ก่อนพูดอย่างเข้มงวด “ข้าปฏิบัติกับเ้าเหมือนเป็ลูกชายแท้ๆ แต่เ้ากลับหักแขนของเสี่ยวซั่วเป็การตอบแทนหรือ? และยังปล่อยให้สัตว์ร้ายนั่นหักแขนหักขาของเสี่ยวหย่งและเสี่ยวเฟิงอีก? เสือถึงจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง เ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีก? อีกอย่าง เ้าก็รู้อยู่ว่าเสี่ยวซั่วคือความหวังของตระกูลชุย มีความสำคัญมากกับตระกูลชุย อย่าบอกนะว่าเ้าไม่รู้?”
ฉินจ้านยังคงนิ่งเงียบ ปล่อยให้รอยน้ำชาไหลลงมาจากหน้าผาก
“ส่งตัวลูกชายคนที่สามของเ้าฉินอวี่มาเถอะ ไม่เช่นนั้น จะมาหาว่าข้าไม่ไว้หน้าตระกูลฉินไม่ได้นะ” ชุยหงกล่าวอย่างเ็า
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉินจ้านกระตุกขึ้น และกล่าวขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ ข้าเองที่เป็คนหักมือของเสี่ยวซั่ว ไม่เกี่ยวอะไรกับฉินอวี่ หากท่านแม่ทัพ้าลงโทษ ก็ลงโทษข้าฉินจ้านเถอะ!”
“เ้า? เมื่อวานนี้เ้ายังบ้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ฮึ เ้าก็อย่าคิดหนี ข้าไม่ได้้าเพียงชีวิตของฉินอวี่ แต่สิ่งที่ข้า้าคือชีวิตของทุกคนในตระกูลฉิน!” ในตอนนี้ ชุยซั่วส่งเสียงอันเคียดแค้นเข้ามาจากประตูด้านข้าง เขายังคงอยู่ในชุดสีม่วง อาการาเ็บนร่างกายต่างหายดีภายในระยะเวลาเพียงข้ามคืน ไม่มีร่องรอยจากการต่อสู้เมื่อวานนี้หลงเหลืออยู่เลย เพียงแต่ มีเพียงสีหน้าที่ซีดขาว และดวงตาของเขาเท่านั้นที่ไม่ดูจองหองอย่างในอดีต แทนที่ด้วยความแค้นและชิงชัง
ชุยซั่วเป็เพียงลูกที่เกิดจากภรรยารอง ั้แ่เล็กจนโตจึงมักถูกพี่น้องคนอื่นในตระกูลชุยรังแก ทำให้เขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลชุยอย่างแแ่ แต่โชคยังดีที่เขามีความสามารถโดดเด่น และเข้าสู่สำนักเทียนหั่วได้โดยการชักนำและการกระตุ้นของชุยหง
ั้แ่เข้าสู่สำนักเทียนหั่ว ด้วยคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิเหนือใครๆ จึงทำให้เ้าสำนักแห่งสำนักเทียนหั่วยอมรับเขาเป็ศิษย์ และด้วยมิตรภาพอันดีของเขากับหลานชายของผู้าุโทั้งสาม ทำให้ตำแหน่งในสำนักเทียนหั่วของชุยซั่วนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
เขากลับมาที่ตระกูลชุยในครั้งนี้ ชุยซั่วกลับมาอย่างทะนงตน วางท่าทางเหมือนคางคกขึ้นวอ คอยเหยียบย่ำคนที่เคยรังแกเขาในอดีตอย่างรุนแรง และเมื่อได้รับสายตาของความเคารพและเกรงกลัวจากคนอื่น นานวันเข้ายิ่งทำให้ชุยซั่วหลงระเริงมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าจะไม่เอ่ยถึงเื่ที่วิ่งหนีจื่อซวินเอ๋อเพราะความกลัว แต่เขาก็ต้องได้รับาเ็สาหัสจากฉินอวี่ การถูกฉินจ้านหักแขน ทำให้ชุยซั่วไม่พอใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาแอบได้ยินคนรับใช้ของตระกูลชุยคุยกันเื่ที่เขาได้ต่อสู้กับฉินอวี่ ใบหน้าของชุยซั่วก็รู้สึกร้อนผ่าว และอยากจะฉีกร่างฉินอวี่เป็ชิ้นๆ เพื่อชำระล้างความอับอายของเขา
ฉินจ้านก้มศีรษะลง และมีแสงเย็นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แต่ในไม่ช้าก็หายไปและพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ โปรดเห็นแก่ฉินเอ๋อในอดีต ไว้ชีวิตฉินอวี่ด้วย! ฉินจ้านขอรับรอง ในภายหน้าฉินอวี่จะไม่ล่วงเกินชุยซั่วอีกแน่นอน”
ใบหน้าของชุยหงตกตะลึง ราวกับว่าเขากำลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาขุ่นมัวของเขาจ้องไปยังฉินจ้าน ด้วยดวงตาที่เป็ประกายอย่างเฉียบคม หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นทีละคำ “ครั้งนี้ข้ายกเว้นให้!”
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพ!” หัวใจของฉินจ้านร่วงลงกับพื้น ขณะที่ชุยซั่วส่งเสียงกรีดร้อง “ท่านปู่ ข้าไม่ยอมให้ปล่อยฉินอวี่และตระกูลฉินไป!”
“ไอ้เด็กเวร! ออกไปเดี๋ยวนี้!” ชุยหงตบโต๊ะอย่างแรงและะโอย่างเบื่อหน่าย จนชุยซั่วใ เขาเหลือบมองไปที่ชุยหงอย่างบึ้งตึง ใบหน้าของเขาดูอึดอัด จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป!
“เห็นแก่เื่ในอดีต ข้าจะยอมไว้ชีวิตเขา แต่เ้าจะต้องคุกเข่าหน้าตระกูลชุยสามวันสามคืน เพื่อเป็เยี่ยงอย่าง!” ชุยหงกล่าวอย่างเ็า
“รับทราบ ท่านแม่ทัพ!” ใบหน้าของฉินจ้านกระตุกเล็กน้อย และเมื่อเขาพูดจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้น และออกจากห้องรับรองไป ขณะที่ชุยหงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฉินจ้าน โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชุยหงก็พูดขึ้นมากะทันหัน “เข้ามาเถอะ”
ชุยซั่วที่จากไปก่อนหน้านี้ เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ย “ท่านปู่ ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้ ช่วยบอกข้ามาตามตรงได้หรือไม่?”
“ตระกูลชุยของข้าเป็หนี้ฉินจ้านอยู่เื่หนึ่ง และเื่นี้จะต้องได้รับการตอบแทน! อย่าได้พูดถึงเื่นี้เลย” ชุยหงจ้องมองชุยซั่วและพูดอย่างอ่อนโยน
“ท่านปู่ ถ้าฉินอวี่ไม่ตาย... สักวันหนึ่ง...” ชุยซั่วพูดอย่างไม่เต็มใจ
“ข้าแค่ยื่นน้ำใจคืนให้ จึงเพียงพูดไปว่ายกเว้นให้สักครั้ง และไว้ชีวิตเขา แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะปกป้องไม่ให้ฉินอวี่ตาย กล้าจะคุกคามตระกูลชุยของข้า... หากปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ ข้าจะนอนหลับลงได้อย่างไร?” ชุยหงพูดเย้ย จากนั้นจึงพูดกับชุยซั่วด้วยใบหน้าที่รื่นรมย์ “เสี่ยวซั่ว ต่อไปภายหน้าเมื่ออยู๋ในสำนักเทียนหั่วจงจดจำไว้ คนที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกใบนี้มีเพียงตัวเ้าเอง!”
“รับทราบ ท่านปู่!” ชุยซั่วกล่าวด้วยความเคารพ และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ใน่ไม่กี่วันนี้ ผู้คนในเมืองหลักเทียนอู่ต่างพูดถึงเื่นี้ อดีตแม่ทัพ และผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลฉินได้คุกเข่าลงที่หน้าจวนตระกูลชุย สิ่งนี้กระตุ้นการคาดเดาของทุกคนทันที
บางคนกล่าวกันว่า ฉินจ้านล่วงเกินแม่ทัพชุย และมีบางคนบอกว่า ฉินจ้านทุบตีฮูหยินของเขา และฮูหยินของเขาเป็ลูกสาวของแม่ทัพชุย ดังนั้น ฉินจ้านจึงต้องมาถึงที่นี่เพื่อรับการลงโทษ
เมื่อมีข่าวออกมาว่าฉินอวี่ลูกชายคนที่สามของฉินจ้านเป็คนทำร้ายชุยซั่ว ผู้เป็อัจฉริยะของตระกูลชุย จึงทำให้ทั่วทั้งเมืองหลักเทียนอู่เต็มไปด้วยความโกลาหล
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าลูกชายคนที่สามของฉินจ้านเป็คนไร้ค่า มีคุณสมบัติที่ธรรมดาและชอบก่อปัญหา? และตอนนี้ก็มีการกล่าวกันว่า คนไร้ค่าคนนั้นกลับทุบตีอัจฉริยะแห่งตระกูลชุยในขั้นปราณเสถียรจนได้รับาเ็? เื่เช่นนี้จะจะไม่ให้ทุกคนใได้อย่างไร?
จู่ๆ ข่าวลือเื่ฉินอวี่ก็ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะกล่าวกันว่า ฉินอวี่เคยต้องทนต่อความอัปยศ และแสร้งทำเป็อ่อนแอมาตลอด...
แต่แล้วก็มีข่าวออกมาว่าฉินอวี่ไปยั่วยุอัจฉริยะของตระกูลชุย หลังจากพ่ายแพ้ก็้าลอบโจมตี ทำชุยซั่วคับแค้นใจ เพราะความโกรธเขาจึง้าฆ่าฉินอวี่ สิ่งนี้ทำให้ฉินจ้านโกรธ ฉินจ้านจึงหักมือของอัจฉริยะตระกูลชุย จนต้องมาตามขอขมาและยอมรับความผิด
มีผู้คนรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หน้าประตูจวนตระกูลชุย ทุกคนต่างมองมาทางฉินจ้าน หลายคนพูดด้วยคำพูดที่เลวร้าย บ้างก็ะโใส่ฉินจ้าน บางคนถึงกับหยิบไข่และผักออกมาขว้างปาใส่ฉินจ้าน
ฉินจ้านกำลังคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าจวนตระกูลชุย เอวของเขาตั้งตรงและสูงสง่าเหมือนรูปปั้นหิน ปล่อยให้คนอื่นทำร้ายและด่าทอเขาโดยไม่ตอบโต้
เมื่อฉินอวี่ฟื้นขึ้น เขารู้สึกเจ็บและอึดอัดไปทั่วร่าง ดูเหมือนว่าเขาถูกทุบตีโดยคนจำนวนมาก เขาลืมตาและมองไปรอบๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงพูดคุยของเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่ดังเข้ามาในหูของเขา ฉินอวี่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
ยังไม่ตายหรือ?
เมื่อคิดถึงการต่อสู้กับชุยซั่ว เมื่อหวนนึกถึง่เวลานี้ ใจของเขาก็ยังรู้สึกหวาดผวา แต่ก็ต้องใกับวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต
ด้วยเหตุที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับหกแต่ต้องเผชิญหน้ากับชุยซั่วในขั้นปราณเสถียรระดับต้น และยังไม่ได้ยืมใช้พลังจากภายนอก สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่แทบจะไม่กล้านึกถึงมัน ท้ายที่สุด ในทุกระดับการฝึกตนล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงที่สั่นะเืฟ้าดินได้ หากเขาต้องเผชิญกับขั้นยุทธ์ระดับเก้าก็ยังไม่เท่าไร แต่ขั้นปราณเสถียร เพียงแค่พลังปราณสิ่งเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองจะแบกรับได้ จึงจะเห็นได้ว่า นี่คือพลังอันแข็งแกร่งของวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต
แน่นอนว่าในครั้งนี้สามารถโจมตีชุยซั่วได้ เป็เพราะเขายังมีประสบการณ์ต่อสู้ที่ไม่มากมายนัก มิฉะนั้น หากเขาเป็คนที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ฉินอวี่อาจจะต้องมีจุดจบที่ไม่ดีนัก เป็เพราะฉินอวี่แทบจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อนเลย แม้ว่าในความทรงจำจะเต็มไปด้วยข้อมูลทั้งหอตำรา แต่ในตอนนี้ ฉินอวี่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับตำรานับหมื่นเล่มมากนัก และยังไม่ถึงขั้นวางกลยุทธ์ อย่างดีที่สุดในตอนนี้เขาก็อาจจะยกย่องได้ว่าเป็นักรบบนกระดาษ
เมื่อนึกย้อนไปถึงความรู้สึกว่ายิ่งาเ็หนักเท่าไร ก็ยิ่งเผาผลาญพลังและเืได้มากขึ้นเท่านั้น จนพลังในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น ฉินอวี่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังในวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต นี่เป็เพียงขั้นแรกเท่านั้น แล้วถ้าเช่นนั้น หากถึงจุดสูงสุด วิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน?
เกรงว่าในระดับหนึ่ง มันจะเกิดเป็ความอยู่ยงคงกระพัน
เดี๋ยวก่อน เนื่องจากในขั้นแรกคือพลังปราณ ยิ่งพลังปราณของข้าแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด เมื่อใช้ขั้นที่หนึ่งพลังที่ข้าได้รับก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น? มีสองวิธีในการปรับปรุงพลังปราณ ประการแรกคือ ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง พลังปราณจะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้น สำหรับผู้ที่ฝึกฝนตน พลังปราณจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
อีกอย่างหนึ่งคือพลังของสายเื แต่เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติทางกายภาพของร่างนี้ เกรงว่าจะไม่มีพลังสายเือยู่เลย
“น่าเสียดาย... แม้ว่าวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตจะมีพลังมหาศาล แต่ผลค้างเคียงของพวกมันก็ทรงพลังเช่นกัน พลังปราณของร่างกายอาจจะหมดลง และเมื่อพลังนั้นหายไปก็จะหมดสติเนื่องจากการสูญเสียพลังปราณ หากไม่ถึงขั้นที่ไร้ทางเลือกก็ไม่ควรจะใช้มัน” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง
วิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังเป็เพียงขั้นแรก หลังจากใช้ไปหนึ่งครั้งก็หมดสติไป พลังปราณหมดไปอย่างมาก และไม่อาจรู้ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของปีศาจคลั่งหลังจากนี้จะเป็ไปอย่างไร
เมื่อมองไปที่าแที่ตกสะเก็ดบนร่างกายของตนเอง ฉินอวี่ก็หยิบเม็ดยาออกมาแล้วใส่เข้าไปในปาก นอนอยู่บนเตียงและเริ่มใช้วิชาเซียนมรรคา์ เพื่อดูดซับพลังิญญาฟ้าดินเพื่อฟื้นฟูตนเอง
ตอนนี้เขาได้แต่ฟื้นฟูอาการาเ็เท่านั้น พลังปราณยังไม่สามารถเสริมสร้างได้ การชดเชยพลังปราณนั้นมีอยู่สองวิธี หนึ่งคือการทำสมาธิ สองคือการกลืนเืเนื้อของสัตว์ิญญาเพื่อชดเชย
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา
ฉินอวี่ที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ ได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้น และเสียงนั้นทำให้ฉินอวี่ลุกขึ้นนั่งทันที แต่กลับมองเห็นฉินเสวี่ยกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ
“เสวี่ยเอ๋อ เป็อะไรไป?” ฉินอวี่ถาม
ฉินเสวี่ยที่กำลังร้องไห้ด้วยความเศร้า หันศีรษะของนางไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฉินอวี่ที่กำลังนั่งอยู่ นางรีบวิ่งเข้ามาและร้องไห้อย่างขมขื่น “พี่ชาย...”
“พี่ก็ไม่ได้เป็อะไรสักหน่อย?” ฉินอวี่ลูบผมสีครามของฉินเสวี่ย และพูดขึ้นเบาๆ
“เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่ร้องไห้ แต่ท่านพ่อ... พี่ชาย ท่านไปดูท่านพ่อหน่อยเถอะ เขา... เขาคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนตระกูลชุยมาสามวันแล้ว ข้าเกลี้ยกล่อมอย่างไรเขาก็ไม่ยอมลุกขึ้น ฮือๆ...” ฉินเสวี่ยพูดพลางร้องไห้ออกมา
นางอายุเพียงสิบสามปี ยังเป็แค่เด็กคนหนึ่ง ใน่เวลาสามวันที่ฉินอวี่หมดสติไปทำให้นางรู้สึกยาวนานยิ่งนัก และในตอนนี้เมื่อฉินจ้านต้องคุกเข่าอยู่หน้าจวนตระกูลชุย การคุกเข่าอย่างไม่ลุกขึ้นยืนทำให้หัวใจของนางเ็ปและเศร้าใจอย่างยิ่ง
“ตระกูลชุย?” ฉินอวี่หรี่ตาลง ตบไหล่ฉินเสวี่ยเบาๆ เพื่อปลอบโยนนาง “เสวี่ยเอ๋อ พี่จะไปดู”
“อืม!” ฉินเสวี่ยเช็ดน้ำตาของนาง แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไร น้ำตาของนางก็ยังคงไหล
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เมื่อฉินอวี่มาถึงประตูของจวนตระกูลชุย ผู้คนนับพันได้รวมตัวกันอยู่โดยรอบ ในหมู่พวกเขามีคนจากทั่วสารทิศของแคว้นอู่ และยังมีผู้ฝึกตนอีกหลายคนที่รายล้อมอยู่รอบประตูจวนตระกูลชุย และกำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน
“สั่งสอนลูกไม่ดีต้องโทษพ่อแม่ แม้จะสอนลูกออกมาแบบนี้ แม้จะปรนเปรออย่างไร แต่ตอนนี้กลับต้องมารับภัยที่ถึงตัวเองสินะ?”
“ทำตัวเอง ก็สมควรได้รับแล้ว! ข้าว่าอันที่จริง ต้องจับตัวฉินอวี่มาคุกเข่าที่นี่ด้วย”
“ฮ่าๆ ผู้นำตระกูลฉินก็มีวันเช่นนี้ด้วย ถ้าข้าเป็ตระกูลชุย ข้าจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ จะต้องสังหารฉินอวี่ให้ได้”
มีการวิจารณ์และด่าทอมากมาย ฉินอวี่เดินฝ่าผู้คนเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อได้เห็นร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนตระกูลชุย ม่านตาของเขาก็หดตัวอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเหมือนถูกค้อนกระแทกเข้าอย่างจัง
เขามองเห็นผมที่ยุ่งเหยิงของฉินจ้าน และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยไข่แดง ผัก ของเหลือ และเศษอาหาร มีกลิ่นเหม็นอยู่บนตัวของเขา แต่เขายังคงตัวตรงราวกับกระบี่ คุกเข่าอยู่ที่นั่นโดยไม่ไหวติง
เมื่อเห็นฉินจ้านในสภาพเช่นนี้ ฉินอวี่ก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก
เป็เื่ยากที่จะจินตนาการว่าฉินจ้านที่อยู่ตรงหน้ากำลังลำบาก คือฉินจ้านที่เขาได้เห็นในครั้งแรกหลังจากเขากลับมาเกิดใหม่
ในตอนนั้นเขาสำรวมกิริยาท่าทาง ทรงอานุภาพ เปี่ยมด้วยความสง่าราศีและเคร่งขรึมทั่วทั้งร่าง
ในตอนนั้น เขาเป็เหมือนแม่ทัพที่มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอยู่ในกำมือ
แต่ตอนนี้...
ฉินอวี่รู้สึกะเืใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ว่าฉินจ้านจะเป็อย่างไรมาก่อน แต่ครั้งนี้ เขากำลังคุกเข่าอยู่ที่นี่เพื่อตนเอง ครั้งนี้ เขาคุกเข่าที่นี่เป็เวลาสามวันสามคืนก็เพื่อปกป้องตนเอง
และนี่... คือความรักของพ่อหรือ?
ฉินอวี่หายใจเข้าลึกๆ รู้สึกอึดอัดภายในใจอย่างมาก!
ขณะที่ฉินอวี่กำลังรู้สึกเ็ปเล็กน้อยในใจ คำพูดที่อ่อนโยนก็ดังขึ้น “ท่านอาฉิน ทำไมต้องลำบากเช่นนี้?”