เมื่อลงจากรถม้าหน้าประตูวัง หรงซิวพลันจับมือนางไว้แน่น
อวิ๋นอี้รู้สึกเขินอาย รอบข้างรายล้อมไปด้วยบุคคลสำคัญและขุนนาง ท่าทางที่สนิทสนมมากเกินไปของพวกเขา ทำให้นางหน้าแดงและอยากจะดิ้นหนี
หลังจากพยายามไม่สำเร็จหลายครา นางจ้องมองดูเขาอย่างโกรธเคือง
บุรุษข้างกายเงียบและไม่พูดกระไร แววตาสีเข้มของเขาราวกับมีหยดน้ำเกาะอยู่
นางยังไม่ทันได้พูดกระไร ก็ได้ยินเขาถามอย่างไม่พอใจว่า "เ้าจะหลบกระไร?"
อวิ๋นอี้อ้าปาก "ข้ามิได้หลบ"
เห็นได้ชัดว่าหรงซิวไม่เชื่อคำพูดของนาง เขาหยุดแล้วพูดต่อ "เราเป็สวามีชายากัน หากไม่สนิทสนมกัน ผู้อื่นจะคิดว่าเราห่างเหินกัน ถึงเพลานั้น..."
เขาหยุดพูด อวิ๋นอี้กลับมามีสติคิดได้
ไทเฮาจะมาร่วมงานเลี้ยงครานี้ หากนางจะใช้เหตุผลที่ว่าสองสวามีภรรยาไม่ลงรอยกัน บังคับยัดเยียดนางปีศาจให้หรงซิวเช่นนั้นจะได้หรือ?
มิได้อย่างแน่นอน!
หรงซิวเป็ของนาง!
ทรัพย์สินในจวนองค์ชายเป็ของนางเช่นกัน!
อวิ๋นอี้ทำตัวประจบประแจงทันที คว้าแขนของบุรุษหนุ่มโดยไม่พูดกระไร ทั้งยังเอนหัวเข้าไปเล็กน้อย ออดอ้อนเบาๆ "โอบเอวข้าสิเพคะ!"
หรงซิวเบนหนีจากใบหน้าเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ของนาง ดวงตาของเขาย้ายไปที่เอวเรียวของนาง เขาโอบเอวนางเบาๆ
"ไปกันเถิด!" อวิ๋นอี้พูดด้วยรอยยิ้ม "ถึงตาข้าแสดงแล้ว!"
"......" เขาโค้งริมฝีปากยิ้ม ไม่พูดกระไร แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักเอ็นดู
ทั้งสองเป็แขกผู้มีเกียรติ มีขันทีนำทางตลอดเวลา
พระราชวังที่เดิมสวยงามมากอยู่แล้ว เมื่อตกกลางคืน ต้นไม้สูงตระหง่าน ร่มรื่นและมีไฟประดับทำให้ความสวยงามยิ่งลึกลับมากขึ้น
ตลอดทางอวิ๋นอี้สายตาไม่หยุดนิ่ง ดื่มด่ำกับความงามจนถอนตัวไม่ขึ้น
จนกระทั่งทั้งสองมาถึงห้องโถง มือที่เอวของนางรัดแน่นขึ้น ย้ำเตือนนางอย่างไร้เสียง
อวิ๋นอี้จึงมองไปที่หรงซิว แววตาของบุรุษหนุ่มซ่อนอยู่ในแสงและเงา เขายิ้มอย่างอ่อนโยนมาก "ถึงแล้ว"
แค่เพียงเขายิ้ม หัวใจของนางก็ละลาย
ช่วยด้วย!
หล่อจนผิดกฎเกณฑ์ไปแล้ว!
หรงซิวรูปงามอยู่แล้ว หลังจากที่มองเขาเปลี่ยนไป มองดูเขายิ่งสบายตามากขึ้นอีก บางคราในตอนที่เขาอ่านหนังสืออย่างจริงจัง อวิ๋นอี้แอบอดกลืนน้ำลายอยู่หลายอึกมิได้
“ฝ่าา...อย่าเข้ามากะทันหันเช่นนี้สิเพคะ!” นางกระแอมอย่างทำตัวไม่ถูก หันหน้าออกไป
หรงซิวไม่เซ้าซี้กับท่าทีของนาง สายตาหันออกไปและเมื่อเห็นว่าเสื้อที่ไหล่ของนางเอียง เขาจึงเอื้อมมือไปจัดให้ “ไปกันเถิด”
พระราชวังขนาดมหึมา สูงตระหง่านและมั่นคง กระเบื้องทองส่องแสงเจิดจ้าภายใต้แสงไฟ ัสองตัวที่อยู่ใต้ชายคาเกร็ดเกราะสีทอง ดูมีชีวิตราวจะโบยบินออกไป
บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความคึกคัก มีเสียงโห่ร้องครึกครื้นในทุกที่
หลังจากที่อวิ๋นอี้เหลือบมองดูคร่าวๆ ก็แอบใ คิดมิถึงเลยว่าค่ำคืนนี้จะมีผู้คนมากมายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการต้อนรับทูตจากเป่ยิมีความสำคัญต่อราชวงศ์นี้มาก!
หลังจากคิดไป ปากของนางก็พลันบึ้งลง เวลานี้ถึงจะรู้สึกได้จริงๆ ว่าความเสียหายที่ซูเมี่ยวเออร์ทำนั้นมากมายเพียงใด
ฮึ่ม!
นางเดือดปุดไปด้วยเืเดรัจฉานแล้ว [1] พร้อมที่จะตบหน้านาง!
"มิต้องตื่นเต้น" หรงซิวเตือนนางพลางลูบมือที่ขดเป็กำปั้นของนาง "ซูเมี่ยวเออร์ยังไม่มา คืนนี้น่าตื่นเต้นมาก เพลิดเพลินไปกับมันเถิด"
อวิ๋นอี้มองไปด้านข้างแล้วถามเขาเงียบๆ "ฝ่าารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังมองหาซูเมี่ยวเออร์?"
หรงซิวมิได้ตอบคำถาม ทั้งสองเดินผ่านฝูงชนอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็ถึงที่นั่ง
ทันทีที่นั่งลงพลันมีเงาของสองร่างเดินเข้ามา อวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็กู่ซือฝาน จึงทักทายนางด้วยรอยยิ้ม
บุรุษมีเื่ของบุรุษที่ต้องคุย สตรีอยู่ด้วยกันกับสตรี
หลังจากทักทายกันพอเป็พิธี กู่ซือฝานพลันเบียดเข้ามา พูดอย่างเป็กังวลว่า “ท่านพี่สะใภ้เพคะ ท่านพร้อมสำหรับการแสดงคืนนี้หรือไม่เพคะ?”
“อื้ม” อวิ๋นอี้มีความมั่นใจ ตอบด้วยสีหน้าแน่นิ่ง ตอบที่พูดยังแสร้งทำเป็พลางจิบชาด้วย ช้าๆ เรียบร้อย ดูสงบนัก
กู่ซือฝานมุมปากกระตุก กระแอมออกมาเบาๆ “เป็อย่างไรล่ะเพคะ? ท่านพี่มิมีข่าวคราวเลย ข้ากลัวว่าท่านจะขายหน้าน่ะสิเพคะ!”
อวิ๋นอี้กลอกตาขาวใส่นาง ตบไหล่นางเบาๆ “เ้าคอยดูก็พอแล้ว วางใจเถิด ได้หรือไม่?"
กู่ซือฝานยังวางใจไม่ลง แต่ไม่ว่านางจะถามต่ออย่างไร นางกลับได้รับเพียงรอยยิ้มมั่นใจจากอวิ๋นอี้เท่านั้น
โถ่เอ๊ย
นางกุมขมับ เหนื่อยใจมาก
เมื่อผู้คนเข้ามาในวังมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ใกล้จะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยง
หลังจากที่กู่ซือฝานถูกหรงหลินดึงกลับไปนั่ง บุรุษที่แต่งตัวประหลาดสองคนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
หรงซิวกระซิบข้างหูว่า “สองผู้นี้เป็เ้าชายองค์โตและเ้าชายสามของราชวงศ์เป่ยิ”
“เ้าชายหรือ?” อวิ๋นอี้ส่งเสียงไอหยา ปิดปากพูดเสียงเบา “มิใช่ว่าท่านทูตจะมาหรอกหรือเพคะ?”
พูดถึงเื่นี้หรงซิวก็สงสัยเช่นกัน เขายังไม่ทราบจุดประสงค์ของการเดินทางมาของเป่ยิครานี้ จึงไม่กล้าสรุป เขาพูดอย่างคลุมเครือว่า “เกรงว่าน่าจะมีเื่สำคัญ”
“ฝ่าาไม่รู้หรือ? " อวิ๋นอี้สงสัย สบตาเขาเงียบๆ แล้วพูดว่า "ข้านึกว่าฝ่าาจะรู้ทุกอย่างเสียอีก"
นางพูดจบก็หัวเราะ ส่ายหน้า หรงซิวไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ เพียงลูบหัวนางอย่างช่วยมิได้ "หยุดเลย เป็เด็กดีหน่อย ที่นี่คนเยอะนะ"
อวิ๋นอี้นั่งตัวตรงทันที สายตามองไปตามเ้าชายเป่ยิสองคนนั้น
พวกเขาดูแข็งแกร่ง ในแวบแรกราวกับบุรุษหนุ่มที่โลดแล่นลานหญ้า เสื้อผ้าของพวกเขาเรียบง่าย เป็ชุดขี่ม้า นอกจากนี้ พวกเขายังประดับไปด้วยเครื่องประดับทองเงิน ซึ่งสามารถทำให้คนตาบอดได้เลยทีเดียว
นางละสายตามิได้ด้วยความประหลาดใจ พูดกับหรงซิวว่า “ฝ่าามิได้บอกว่าเป่ยิยากจนหรือเพคะ?”
“ในวังจะยากจะจนอย่างไรก็มินับว่ายากจนหรอกใช่หรือไม่?” หรงซิวเอามือปิดตานางไว้ พูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า "หากยังจ้องอยู่อีก อีกครู่คนทั้งหมดจะหันมาดูเ้าแล้วนะ"
อวิ๋นอี้ก้มหน้าลงทันที เชื่อฟังอย่างเหลือเชื่อ
หลังจากที่เ้าชายเป่ยินั่งลง ก็มีการทักทายกันมากมาย
ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าพร้อมกับองค์ไทเฮาและเหล่านางสนม ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกัน
กว่าจะได้นั่งเข้าที่เข้าทาง ฮ่องเต้อวี่ซวนพูดนู่นนี่มากมาย หลักๆ แล้วนั้นพูดกับเ้าชายของเป่ยิทั้งสอง
อวิ๋นอี้ได้ยินเสียงท้องร้อง หรงซิวที่อยู่ข้างๆ นางแอบหัวเราะ นางจ้องเขาพร้อมใบหน้าแดง
“มิได้หัวเราะ ข้ามิได้หัวเราะ” หรงซิวกลั้นขำทันที “ข้ามิได้ยินเสียงใดเลย”
“เหอะเหอะ” นางตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
มิรู้ว่าเพราะอวิ๋นอี้ไม่พอใจโจ่งแจ้งไปหรือไม่ หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้อวี่ซวนก็หยุดการพูดคุย และงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น
เื่ต่อมาคือการแสดงความสามารถที่เตรียมตัวมานาน
รายการแรกเป็ประเภทการร้องเพลงและเต้นรำ สตรีนับไม่ถ้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใสกำลังหมุนตัวและะโโลดเต้นอยู่กลางโถงใหญ่
อวิ๋นอี้เหลือบมองดูเล็กน้อย แล้วให้ความสนใจกับการรับประทานอาหารอย่างเต็มที่
นางทานอย่างมีความสุขอยู่ด้านนี้ ผู้อื่นๆ พลันเริ่มพูดคุยกันแล้ว
หรงซิวมักถูกล้อมรอบด้วยขุนนางใหญ่ๆ ที่มาร่วมดื่มเลี้ยง เขามักจะพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค เสียงของเขาไม่เล็กหรือใหญ่เกินไปอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้รู้จักเื่การทำงานของหรงซิวมากขึ้น
ในที่สุดงานเลี้ยงก็มาถึงกลางงาน การแสดงความสามารถดึงดูดให้ฝูงชนที่ส่งเสียงดังเงียบลงไปชั่วขณะ และมองไปยังใจกลางห้องโถง
อวิ๋นอี้มองไปตามสายตาของผู้คน เมื่อเห็นว่าเป็ซูเมี่ยวเออร์ก็พลันเลิกคิ้ว ไอหยา
นางพ่นลมหายใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เชิงอรรถ
[1] เดือดปุดไปด้วยเืเดรัจฉาน 兽血沸腾 หมายถึงความกระตือรือร้นหรืออยากเอาชนะราวกับเดรัจฉานนักล่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้