จางกุ้ยฮัวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกหลิวซานกุ้ยดักไว้ก่อน จากนั้นได้ยินเขาเอ่ยว่า “ท่านแม่ วันนี้พวกข้ายังต้องรีบกลับไป ตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อน หากเหลือกับข้าวมากมาย ท่านกินคนเดียวต้องกินไม่หมดเป็แน่ สู้เลี้ยงปลาหลี่อวี๋ไว้ในโอ่งก่อน รอมีโอกาสท่านค่อยทำกิน”
เฉินซื่อไม่มีความสุขและถามว่า “เหตุใดจึงต้องรีบกลับวันนี้ด้วย?”
แม้ว่าทั้งสองครอบครัวจะไม่ไกลกันนัก แต่ถึงอย่างไรเฉินซื่อก็ไม่ได้เจอจางกุ้ยฮัวมาหลายปี
“แม่สามีไม่ยอมให้ข้าค้างคืนที่นี่” แม้ว่าเสียงของจางกุ้ยฮัวจะเบามาก แต่ผู้เป็มารดาก็ได้ยิน
สีหน้าของเฉินซื่อซีดลงในตอนแรก แล้วจึงพูดประชดประชันขึ้นมาว่า “ต้องโทษพ่อเ้า เ้าว่าเขาจะจากไปเร็วเช่นนั้นด้วยเหตุใดกัน”
เมื่อคิดว่าบุตรสาวที่เพิ่งได้พบกันกําลังจะกลับบ้าน ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกทีเมื่อไร ในใจเฉินซื่อนั้นรู้สึกย่ำแย่ คิดเพียงว่าความสุขก่อนหน้านี้เป็เพียงสิ่งหลอกลวง
“ท่านยาย อีกไม่นานพวกข้าจะมาอีก แม้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาไม่ได้ แต่ข้ากับพี่สาวก็จะมาเยี่ยมท่านยาย” เมื่อพูดเช่นนี้นางก็ขมวดคิ้วสวยงามเล็กๆ ท่าทางวิเคราะห์จริงจังช่างน่ารักจนทำให้เฉินซื่อรู้สึกหวงแหนนางยิ่งนัก
“ท่านย่าของข้าจะพาอาเล็กไปพักที่ตัวเมืองในจังหวัด” หลิวชิวเซียงอธิบายอยู่ข้างๆ
ทันทีที่เฉินซื่อได้ฟัง ความหดหู่ก่อนหน้านั้นก็หายไปหมดสิ้น
“แม่ของเ้าจะไปในจังหวัดจริงหรือ?”
นางถามอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าถ้านางส่งเสียงดังกว่านี้ข่าวดีจะกลายเป็ข่าวร้าย
หลิวซานกุ้ยเห็นนางมองมาทางตนเอง ความรู้สึกผิดก็ยิ่งทวีคูณหนัก จากนั้นก็พินิจว่า หากรออีกหน่อยให้ถึงเวลาแยกบ้าน เขาจะต้องรับแม่ของภรรยาไปอยู่ด้วยกัน จะได้เติมเต็มความปรารถนาในใจให้กับภรรยาด้วย
“มีความเป็ไปได้ขอรับ นางไม่ได้บอกว่าเมื่อใด นับแต่เดือนห้ามา นางก็เอ่ยถึงเื่นี้ตลอดเวลา เพียงแต่เกิดเื่ภายในบ้าน แม่ข้าจึงยังไม่ได้ออกเดินทาง”
เขามิอาจเอ่ยถึงเื่เสื่อมเสียของท่านแม่กับพี่สะใภ้รองต่อหน้าแม่ยายได้
ดวงตาของเฉินซื่อมัวหมองเล็กน้อย หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “อาเล็กเอะอะจะไปให้ได้”
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าและพูดว่า “ท่านแม่ของข้าน่าจะเริ่มมีความคิดแล้ว”
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เสริมประโยคในใจ ขอเพียงน้องสาวตนเองงอแงอีก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเติมเต็มความปรารถนาในใจของนางให้จงได้ จะได้ทำให้ภรรยากับแม่ยายได้พักด้วยกันสัก่
หลิวซานกุ้ยไม่ทันสังเกตว่า วิธีจัดการเื่ราวอย่างซื่อบื้อที่ตนเคยใช้ในอดีต ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาที่มีไหวพริบของหลิวเต้าเซียงสั่นไหว นางเม้มปาก ก้มศีรษะและยิ้มเบาๆ ให้กับพ่อผู้แสนดีของตน นางกำลังคิดว่าสมควรจะพูดอะไรอีกเสียหน่อยดีหรือไม่?
แม้ว่าเฉินซื่อจะไม่ได้รับคําตอบที่ชัดเจน แต่ก็ดีกว่าการที่กลับไปแล้วอีกหลายปีกว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกสักหน
นางควานหาน่องไก่น่องใหญ่แล้วตักออกมา ชิ้นหนึ่งคีบให้หลิวเต้าเซียง แล้วจึงเอ่ย “กุ้ยฮัว หากเ้าสามารถมาเยี่ยมได้บ่อยๆ จะดีมาก”
จางกุ้ยฮัวเองก็อยากกลับมาบ่อยๆ แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของหลิวฉีซื่อ นางก็ไม่มีความมั่นใจ
“ท่านแม่ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีทุกอย่างอาจจะดีขึ้นกว่านี้”
นางหวังอย่างยิ่งว่าครอบครัวฝั่งพี่รองจะทำให้เื่บานปลายกว่านี้ เช่นนี้แล้วครอบครัวฝั่งของนางก็จะได้แยกออกไปด้วย
เฉินซื่อเพียงแค่ถอนหายใจยาว นางไม่้าพูดถึงเื่เหล่านี้อีก
ต่อมาก็นึกได้ว่ามีเื่หนึ่งที่ยังไม่ได้บอกกับจางกุ้ยฮัว
“จะว่าไป ชิวเซียงของเราก็อายุเก้าขวบแล้ว พอคำนวณเช่นนี้ น้องชายเ้าก็ออกจากบ้านไปได้สิบปีเต็มแล้ว”
จางกุ้ยฮัวกลัวว่าท่านแม่ของตนจะโศกเศร้า จึงรีบเอ่ย “ตอนนั้นซานกุ้ยได้ไปสืบถามเื่ราวจากที่เกิดเหตุแล้ว และโร่ไปที่อี้จวง [1] ซึ่งหาตัวน้องชายข้าไม่เจอ อีกทั้งไม่ได้เจอ… ของเขา”
พูดถึงประโยคหลัง เสียงของนางก็เบาลงเรื่อยๆ ส่วนคำพูดที่ขาดหายไปนั้น คนรอบข้างจึงไม่ได้ยิน
เฉินซื่อกลับมีท่าทีที่ต่างออกไป นางคว้ามือซ้ายของจางกุ้ยฮัวขึ้นมา ตบหลังมือของนางเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “น้องชายเ้ายังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่จริงๆ”
จางกุ้ยฮัวปลื้มใจมากจนเป็ฝ่ายพลิกมาจับมือเฉินซื่อแทน แล้วรีบถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่ เขายังมีชีวิตรอดจริงหรือ?”
“แม่เคยโกหกเ้าั้แ่เมื่อไร? เป็เื่จริง มีสหายที่เคยร่วมงานกับอวี้เต๋อ หลายวันก่อนไหว้วานคนส่งจดหมายมา บอกว่าน้องชายเ้าหลังจากออกไปก็ติดตามคนผู้นั้นไปยังเขตฝูโจวที่ติดริมทะเลอะไรสักอย่าง ได้ยินว่า เขายังเคยทำงานกับน้องชายเ้าอยู่่หนึ่ง บอกว่าทำงานในสถาบันอะไรสักแห่ง ต่อมา สหายของเขาผู้นี้้ากลับอำเภอข้างๆ ที่เป็บ้านเกิด น้องชายเ้าจึงไหว้วานเขาส่งจดหมายมา ปรากฏว่าสหายผู้นี้ก็เปลี่ยนที่หมายไปยังเขตสู่โจว ได้ยินว่า่ก่อนหน้านี้ได้เจอกับคณะพ่อค้าที่ไปทางนั้น จึงไหว้วานคนผู้นั้นส่งจดหมายมา”
ขณะที่เฉินซื่อพูดก็ดูมีพลังที่แตกต่างไปจากเดิม
ความคิดของนางนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ขอเพียงบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลเฉินของนางก็ไม่นับว่าสิ้นสุด ยังมีเสาหลักอยู่ ต่อไปเมื่อกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย เขาก็ยังสามารถหนุนหลังพี่สาวของตนได้ ขอเพียงบุตรชายกลับมา แม่เฒ่าหลิวก็จะไม่รังแกบุตรสาวของตนอีกต่อไปใช่หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็จางกุ้ยฮัวหรือหลิวซานกุ้ย หรือสองพี่น้อง เมื่อได้ยินเื่ของจางอวี้เต๋อ ทุกคนต่างก็ยินดีปรีดากันอย่างยิ่ง
“จริงหรือ ท่านแม่ เื่นี้เป็ความจริงหรือ?”
“มันเป็ความจริง ข้าไม่ได้โกหกเ้า แม้ว่าจดหมายนี้น้องชายเ้าจะส่งมาั้แ่แปดปีก่อน แต่อย่างน้อย เรารู้ว่าเขาอยู่รอดปลอดภัย ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลังจากประสบกับ ‘การสูญเสียบุตรชาย’ เฉินซื่อก็ปล่อยวางทุกอย่างและอธิษฐานเพื่อความปลอดภัยของบุตรชายและบุตรสาวของนางเท่านั้น
ส่วนหลิวเต้าเซียงเองก็ดีใจ สวดมนต์ขอบคุณ์และเทพทั้งหลาย
“ท่านยาย ข้าหวังจริงๆ ว่าน้าชายของข้าจะกลับมาบ้านโดยเร็ว ไม่แน่ว่าอาจจะเพิ่มลูกพี่ลูกน้องให้พวกเราสักสองสามคน!”
คําพูดของนางสอดคล้องกับความคิดของเฉินซื่อ เห็นนางยิ้มแย้มจนรอยตีนกาเรียงออกมาเป็เส้น “เฮ้อ เต้าเซียงพูดเก่งเสียจริง ยายขออวยพรให้เ้าสมพรปาก”
ไม่ว่าใครก็ตามมักจะชื่นชอบคำพูดที่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้เฉินซื่อยิ่งมั่นใจว่าบุตรชายของนางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย แต่ในใจของตน ต่อให้ข้อไม่ดีของบุตรชายจะมีนับพัน แต่หากมีข้อดีเล็กน้อยคงอยู่ นั่นก็ยังถือว่าเป็บุตรชายของเฉินซื่อคนนี้
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย ในใจรู้สึกขอบพระคุณคนๆ นั้นที่รักษาคำพูด แม้ว่าจะส่งข่าวช้าไปถึงแปดปีกว่าจะมาถึงหมู่บ้านห้าสิบลี้
จั๊กจั่นขับขานวิหคร้อง ดอกกุ้ยฮัวผลิบานพร้อมด้วยสุรา!
เกสรของดอกกุ้ยฮัวสีทองส่งกลิ่นหอมทำให้บ้านที่เยือกเย็นแห่งนี้เริ่มมีกลิ่นอายแห่งความมีชีวิตชีวา
…..
ดวงอาทิตย์ต้นเดือนสิงหาคมนั้นรุนแรงนัก คนรับใช้ผู้หนึ่งสวมเสื้อสีซีอิ๊วกำลังเดินผ่านกำแพงด้านทิศตะวันตก อาศัยกำแพงบ้านหลบแดดที่เผ็ดร้อน
คุณชายรูปหล่อผู้หนึ่งกำลังนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ตรงศาลาริมน้ำ เสื้อผ้าฤดูร้อนสีเขียวอ่อนซึ่งดูมีสง่าราศีถูกสวมอย่างหลวมๆ ไว้บนตัว เผยให้เห็นทรวงอกที่มีพละกำลัง กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ
ดูเหมือนว่าเสียงเดินของผู้มาเยือนจะรบกวนฝันกลางวันของเขา คนรับใช้คนนั้นเพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้ามาทางประตูดวงจันทร์ เขาก็ลืมตาขึ้นทันใด
เผยให้เห็นประกายจากแววตาที่คมกริบ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เมื่อเห็นบ่าวผู้นั้นเดินอ้อมต้นกุ้ยฮัวสีทองมาถึงศาลาริมน้ำ
“จิ้นจง มีเื่อะไร? บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าทางนั้นจะวุ่นวายอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
สีหน้าของเขาดูสบายๆ และผ่อนคลาย แต่น้ำเสียงของเขาเ็ามากเหมือนธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือที่ไหลลงมายังเบื้องล่าง
จิ้นจงเป็หนึ่งในลูกน้องของซูจื่อเยี่ยที่ติดตามเขามาั้แ่เยาว์วัย จนสามารถพูดได้ว่า เวลาที่เขาคลุกคลีกับจิ้นจง จิ้นเซี่ยว จิ้นอี้ และจิ้นเฉิงนั้นมีมากกว่าผู้เป็บิดามารดาเสียอีก
“นายท่าน พระสนมอาการดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ทางด้านพระชายาเอก เนื่องจากนายท่านหายตัวไปหลายเดือน แล้วพระสนมไม่รับสั่ง รั้นจะตามไปแดนใต้เพื่อค้นหาตัวนายท่าน ด้วยเื่นี้พระชายาเอกจึงยังโกรธเคืองอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ซูจื่อเยี่ยมองลงมาที่มือของตนเอง มือคู่ที่อบอุ่นอ่อนนุ่มดุจหยก หากไม่ได้ััฝ่ามืออย่างละเอียด คงดูไม่ออกว่ามือคู่นี้ช่ำชองการถือดาบ
“นางโกรธก็ยิ่งดี ไยจึงต้องสนใจด้วย ใช่แล้ว เสด็จพ่อกลับมาแล้วหรือไม่?”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นจงตอบอย่างเรียบง่าย “้าสืบดูหรือไม่?”
“ช่างเถอะ!” ซูจื่อเยี่ยกำลังจะบิดี้เีและหาว ทันใดนั้นจมูกก็รู้สึกคัน ถัดจากนั้นก็จามอย่างแรงหนึ่งที
เขากระชับเสื้อหลวมๆ และบ่นพึมพํากับตัวเองในใจ คงไม่ใช่เพราะเมื่อครู่้าความเย็นสบายและคิดว่าอากาศร้อนๆ คงไม่ทำให้เป็หวัด
จิ้นเซี่ยวที่อยู่ด้านข้างกำลังพัดให้เขา จึงเข้ามาหยอกล้อ “นายท่าน คงไม่ใช่เพราะแม่สาวน้อยแดนใต้กำลังนึกถึงอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจื่อเยี่ยหยิบชาสมุนไพรบนถาดน้ำชาขึ้นมาดื่มไปหลายอึก เมื่อสบายตัวก็ถอนหายใจแล้วจึงตอบ “จิ้นเซี่ยวนับวันก็ยิ่งปากหวาน จิ้นจง อีกเดี๋ยวมอบน้ำผึ้งให้จิ้นเซี่ยวสักสองชั่ง”
จากนั้นเขาก็พูดกับตัวเองว่า “จะว่าไป แม่สาวน้อยก็น่าจะได้ข่าวคราวแล้ว”
จิ้นจงนั้นเป็คนที่สมความหมายของชื่อ คำว่า 忠 จง ที่หมายความว่าจงรักภักดี
สิ้นเสียงของซูจื่อเยี่ย เขาจึงตอบ “ทางนั้นส่งข่าวกลับมาว่า ได้บอกข่าวเื่จางอวี้เต๋อยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว คาดว่าหญิงชราเฉินซื่อน่าจะได้รับข่าวแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงเื่ของอวี้เต๋อ เขาก็แค่ทำเพราะผลประโยชน์ ตอนนั้นเขาเพียงแค่อยากแกล้งแม่สาวน้อยเพียงแค่นั้น
เมื่อนึกถึงท่าทางแก่นแก้วที่ขู่ฟ่อเช่นนั้น ใบหน้าเยือกเย็นของซูจื่อเยี่ยก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
“เดาว่าแม่สาวน้อยได้รับข่าว จำต้องใจนลูกตาถลนออกมาจากเบ้าแน่”
ถึงแม้ว่าจะตามสืบได้ว่าจางอวี้เต๋อแปดปีก่อนมีร่องรอยปรากฏตัวที่เขตฝูโจว แต่ร่องรอยทุกอย่างชี้ชัดว่า อย่างน้อยเขายังมีชีวิตอยู่
“มีข่าวเพิ่มเติมหรือไม่?”
จิ้นจงหยุดชะงักเล็กน้อย เขาจัดการกับสีหน้าตนเอง แล้วตอบอย่างจริงจัง “ตอนนั้น สถาบันที่รับเขาเข้าทำงาน เราได้ทำการสืบอย่างละเอียดแล้ว เื่มีอยู่ว่าอาจารย์ผู้หนึ่งเห็นว่าเขาน่าสงสาร จึงแนะนำให้เขาเข้าไปทำงาน ใครจะรู้ว่า จางอวี้เต๋อเหมือนจะเคยเล่าเรียน ในระหว่างสองปีนั้นตำราที่ปฐมวัยเล่าเรียนกันเขากลับฝึกได้เป็จริงเป็จัง ต่อมาอาจารย์ผู้นั้นจึงมอบคัมภีร์หลุนอวี่ให้เขาหนึ่งเล่ม เพียงแต่ไม่นานนัก เขาก็ลาออกไปและไม่รู้ที่ไปต่อจากนั้น”
เื่นี้เดิมทีไม่ได้สืบยากนัก เพียงแต่จางอวี้เต๋อคือคนรับจ้างที่บุคลิกไม่ได้ดูเตะตา อีกทั้งได้คลาดจากอาจารย์ผู้ที่เคยช่วยเขา การตามสืบจึงมีความยากลำบากเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงลากมานานหลายวันกว่าจะได้ข่าวของเขา
“นายท่าน เหตุใดจึงต้องหาตัวจางอวี้เต๋อให้ได้พ่ะย่ะค่ะ?”
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยประกายครู่หนึ่ง เขาพลิกตัวแล้วหันหลังให้จิ้นจงและไม่พูดไม่จา เพียงแค่หยิบพัดขนห่านบนโต๊ะน้ำชาเล็กข้างเก้าอี้ขึ้นมาพัด
จิ้นจงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกโมโหว่าคำพูดของตนนั้นเหมือนไม่ผ่านการคิดอย่างละเอียดมาก่อน
ซูจื่อเยี่ยเป็บุตรชายแห่งพระสนมในอ๋องผิง แม้ว่าจะกำเนิดในพระสนม แต่นับว่าเป็รัชทายาทเช่นกัน ซึ่งเท่ากับเป็รายพระนามในราชวงศ์ด้วย
เพียงแต่ว่าพระสนมในอ๋องผิงผู้นี้ร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก อีกทั้งยังมีนิสัยโอนอ่อนคุยด้วยง่าย พระชายาเอกจึงมักจะหาเื่นางอยู่ทุกวี่ทุกวัน และด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จึงได้บีบบังคับให้ซูจื่อเยี่ยเป็คนที่จิตใจโเี้และเด็ดขาดั้แ่เยาว์วัย
-----
เชิงอรรถ
[1] อี้จวง 义庄 บ้านโลงศพเป็ที่เก็บศพชั่วคราว ซึ่งที่แห่งนี้จะมีศพของคนที่เพิ่งป่วยหรือเสียชีวิตนำมาเก็บไว้ชั่วคราว ในขณะที่รอการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ฝังศพ
