“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านต้องช่วยข้านะขอรับ”
ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำก็เดินดุ่มๆ เข้ามาจากข้างนอก น้ำเสียงของเขาฟังดูขุ่นเคืองอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มผู้นี้คือบุตรชายของหวังปิน นามว่าหวังเยว่
“ครั้งนี้เป็อะไรไปอีก?”
หวังปินขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ก่อนหน้านี้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งทุบตีข้า นอกจากนี้เขายังทำร้ายผู้คุ้มกันของข้าอีกสองคนด้วยขอรับ หลังจากข้าเสียเวลาสืบหาอยู่หลายวัน ในที่สุดข้าก็ได้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็คนตระกูลมู่ มีนามว่ามู่เฟิงหรืออะไรสักอย่างนี่แหละขอรับ ท่านพ่อ คราวนี้ท่านต้องช่วยระบายความคับแค้นใจนี้ให้กับข้านะขอรับ ไม่อย่างนั้นผู้อื่นอาจจะคิดได้ว่าตระกูลหวังของพวกเราหวาดกลัวตระกูลมู่ของพวกมัน”
หวังเยว่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า
“เ้าบอกว่าเขาเป็คนของตระกูลมู่งั้นรึ?”
ผู้นำตระกูลหวังขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเื่นี้
“ใช่แล้วขอรับ ท่านพ่อมีอะไรหรือขอรับ?”
หวังเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านผู้นำตระกูล ข้าคิดว่าเราควรอาศัยเื่นี้ไปสืบหาความจริงของตระกูลมู่นะขอรับ”
ศิษย์ตระกูลหวังที่อยู่ด้านข้างกล่าวกระซิบในทันที
“อืม ข้าเองก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน”
ผู้นำตระกูลหวังพยักหน้า
“จริงด้วยสิ ในเมื่อท่านอาจารย์ของข้าก็มาแล้ว คราวนี้ข้าจะทำให้เ้าเด็กนั่นต้องคุกเข่าขอขมาข้า”
หวังเยว่กัดฟันกรอด
“ว่าอย่างไรนะ นักสลักลายเส้นโจวมาถึงแล้วรึ เขาอยู่ที่ใด? เหตุใดยังไม่รีบเชิญเขามาอีก!”
ผู้นำตระกูลหวังพลันเปลี่ยนเื่อย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมานั้นหวังปินคอยดูแลและปกป้องบุตรชายของเขาเป็อย่างดี เนื่องจากบุตรชายผู้นี้ของเขามีพลังิญญาที่แข็งแกร่งมาก มีพร์ที่จะสามารถฝึกฝนเป็นักสลักลายเส้นได้ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังคำนับนักสลักลายเส้นขั้นหนึ่งผู้หนึ่งเป็อาจารย์อีกด้วย
“ฮ่าๆ ผู้นำตระกูลหวัง ไม่เจอกันเสียนาน”
ทันใดนั้นได้ปรากฏเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านนอก เพียงไม่นานชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำปักลายเมฆสีเพลิงก็เดินเข้ามา
จากรูปลักษณ์ของชายผู้นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ใน่อายุประมาณสามสิบปี ใบหน้าของเขาเรียวยาวจนดูน่ากลัว
ชุดคลุมสีดำปักลายเมฆสีเพลิงที่เขาสวมใส่สามารถบ่งบอกสถานะของเขาได้เป็อย่างดี ชายผู้นี้คือนักสลักลายเส้นขั้นหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะเป็เพียงนักสลักลายเส้นขั้นหนึ่ง แต่สำหรับเมืองขนาดเล็กอย่างเมืองอันหนานแล้ว เขาถือเป็บุคคลที่ยิ่งใหญ่มาก
“ท่านอาจารย์โจว”
ผู้นำตระกูลหวังคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แม้วรยุทธ์ของคนผู้นี้จะอยู่เพียงระดับจื่อฝู่ขั้นหก แต่ด้วยสถานะนักสลักลายเส้นของเขาแล้ว แม้แต่หวังปินที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้ายังต้องให้ความเคารพ
“อืม ผู้นำตระกูลหวังสุภาพเกินไปแล้ว”
นักสลักลายเส้นโจวกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคำนับอีกฝ่ายกลับอย่างไว้มารยาท ทว่าใบหน้าของเขายังคงมีร่องรอยของความทะนงตนแสดงออกให้เห็น
“ท่านอาจารย์โจวเชิญนั่งก่อน ยกน้ำชาเข้ามา”
ผู้นำตระกูลหวังรีบสั่งการให้บ่าวรับใช้ยกน้ำชาออกมา หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว หวังปินก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์โจวเดินทางมาถึงเมืองอันหนานเช่นนี้ หากบอกกล่าวกันล่วงหน้าก่อน ข้าคงสามารถรับรองท่านอาจารย์ได้ดีกว่านี้”
“ฮะๆ การมาครั้งนี้ข้า้าพาหวังเยว่กลับไปยังวิหารสลักลายเพื่อเรียนรู้วิธีการสลักลายเส้น พลังิญญาของเด็กคนนี้สูงถึงขั้นเจ็ด เขามีคุณสมบัติที่ดีที่จะสามารถเรียนรู้วิธีการสลักลายเส้นได้”
นักสลักลายเส้นโจวหัวเราะออกมา
สำหรับบุคคลที่มีพลังิญญาขั้นเจ็ดถือได้ว่ามีพร์ในการเรียนรู้วิธีการสลักลายเส้น
ในความเป็จริงนักสลักลายเส้นโจวไม่มีคุณสมบัติที่จะรับศิษย์ เนื่องจากวิหารสลักลายแต่ละแห่งนั้นเปิดรับบุคคลที่มีคุณสมบัติมากพอจะเรียนรู้การสลักลายเส้นจากทั่วทุกที่อยู่แล้ว
สำหรับบุคคลที่มีพลังิญญาขั้นเจ็ด หากได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก บางทีในอนาคตอาจจะกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองหรือกระทั่งขั้นสามเลยก็ได้
“นับเป็เื่ที่ดียิ่งนัก โอ้ จริงสิ นี่ถือเป็สินน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ขอท่านอาจารย์อย่าได้ปฏิเสธ”
ผู้นำตระกูลหวังหยิบป้ายทองออกมาจากใต้แขนเสื้อก่อนจะส่งมอบมันให้กับนักสลักลายเส้นโจว
“ฮ่าๆ ผู้นำตระกูลหวังเกรงใจเกินไปแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็สิ่งที่ข้าสมควรทำ”
นักสลักลายเส้นโจวรับป้ายทองมาด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี พลางแอบคิดในใจว่าหัวหน้าตระกูลหวังนั้นเป็คนที่เข้าใจอะไรง่ายเสียจริง
“อ้อ จริงสิ เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินมาว่าในเมืองอันหนานมีพวกไม่ลืมหูลืมตาทำให้เยว่เอ๋อร์ต้องขุ่นเคือง ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะช่วยระบายความโกรธนี้ของเยว่เอ่อร์ให้เอง”
เมื่อได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น นักสลักลายเส้นโจวผู้นี้ก็บังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาจึงเสนอตัวช่วยเหลือด้วยตัวเอง
เมื่อหวังเยว่ที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เขาจึงกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ถูกต้องแล้วขอรับท่านอาจารย์ เด็กผู้นั้นมาจากตระกูลมู่ขอรับ หากท่านช่วยออกปากแทนข้าแบบนี้ ข้าคงสามารถไปฝึกฝนที่วิหารสลักลายได้อย่างสบายใจแล้วขอรับ”
“ตระกูลมู่ ฮึ่ม เพียงแค่ตระกูลสายรองเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเสียหน่อย ข้าจะช่วยเ้าสังหารเ้าเด็กนั่นเอง ต่อให้เป็ตระกูลมู่สายหลักที่อยู่ในเมืองหลวงก็ยังไม่กล้าล่วงเกินวิหารสลักลายของเรา ไปกัน พาข้าไปยังตระกูลมู่”
นักสลักลายเส้นโจวกล่าวขึ้นอย่างทะนงตน ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น
“ขอรับ เชิญท่านอาจารย์ทางนี้”
หัวหน้าตระกูลหวังและคนอื่นๆ ได้นำทางนักสลักลายเส้นโจวไปยังจวนตระกูลมู่ในทันที
ณ เรือนพักของมู่เฟิงภายในจวนตระกูลมู่
มู่เฟิงจ้องมองเม็ดโอสถสีแดงเืขนาดเท่าหัวแม่มือด้วยความประหลาดใจ
“เยว่เอ๋อร์ นี่ใช่เม็ดยาโลหิตที่เ้ากล่าวถึงหรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง เนื่องจากหยกเทพชูร่าได้ดูดซับพลังเืเข้าไปเป็จำนวนมาก มันจึงสามารถฟื้นคืนพลังบางส่วนกลับมาและสามารถกลั่นเม็ดยาโลหิตนี้ขึ้นมาได้ เม็ดยาเม็ดนี้คือยาอายุวัฒนะขั้นสามที่กลั่นมาจากแก่นโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกัง ดังนั้นภายในตัวยาจึงบรรจุไว้ด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งเ้าสามารถดูดซับพลังจากมันได้โดยตรง”
ซีเยว่เอ่ยตอบ
“ยาอายุวัฒนะขั้นสาม!”
ดวงตาของมู่เฟิงเป็ประกายขึ้นมาทันที “หากเป็ตามที่เ้ากล่าวมา เช่นนั้นแก่นโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายก็สามารถกลั่นเป็ยาอายุวัฒนะขั้นหนึ่งได้ ในขณะที่แก่นโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่สามารถกลั่นเป็ยาอายุวัฒนะขั้นสองได้อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เป็เช่นนั้น แต่พลังที่หยกเทพชูร่าดูดซับเข้าไปนั้นสามารถกลั่นออกมาได้ถึงแค่ยาโลหิตขั้นสามเท่านั้น”
ซีเยว่พยักหน้า
“ช่างยอดเยี่ยมนัก ฮ่าๆ ในเมื่อมียาโลหิตเหล่านี้ ต่อไปข้าก็ไม่จำเป็ต้องซื้อยาบ่มเพาะพลังปราณเพื่อฝึกฝนอีกแล้ว จริงสิ ตอนนี้สามารถกลั่นยาโลหิตออกมาได้กี่เม็ดแล้ว?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้น
“อืม หลังจากได้ดูดซับพลังเืและแก่นโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังเจ็ดคน ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่อีกหลายสิบคน รวมถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายอีกจำนวนหนึ่ง ตอนนี้หยกเทพชูร่าสามารถกลั่นยาโลหิตขั้นสามออกมาได้เก้าเม็ด กลั่นยาโลหิตขั้นสองได้ยี่สิบเม็ด และกลั่นยาโลหิตขั้นหนึ่งได้หกสิบกว่าเม็ด”
ซีเยว่กล่าวขึ้น
หลังจากได้ยินดังนั้น ดวงตาของมู่เฟิงพลันเปล่งประกายระยิบระยับ ยาอายุวัฒนะจำนวนมากมายขนาดนี้นับว่ามีมูลค่ามหาศาลอย่างยิ่ง
“หึๆ เช่นนี้ต่อไปในอนาคตข้าก็จะมียาอายุวัฒนะไม่ขาดมือ หยกเทพชูร่านี่ช่างเป็ของวิเศษที่ทำลายกฎแห่ง์โดยแท้”
มู่เฟิงลูบหยกเทพชูร่าขณะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่มันกลับยังมีร่องรอยของความรู้สึกเศร้าโศกแฝงอยู่ในนั้น
หยกเทพชูร่าชิ้นนี้เป็สิ่งที่มารดาของเขาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า นับั้แ่ลืมตาดูโลก เขายังไม่เคยเห็นหน้ามารดาของตนมาก่อนเลย
ภายในหัวใจของเด็กหนุ่ม มารดาของเขาเป็เพียงเงาร่างคลุมเครือที่แสนอ่อนโยน ที่แม้จะดูใกล้ชิดแต่ก็กลับไกลเกินเอื้อม
“เ้าเป็อะไรไป?”
เมื่อซีเยว่เห็นมู่เฟิงลูบไล้หยกเทพชูร่าด้วยท่าทางเศร้าสร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
“เยว่เอ๋อร์ นับั้แ่เ้าเข้ามาสถิตในหยกเทพชูร่าชิ้นนี้ เ้าเคยเห็นมารดาของข้ามาก่อนหรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้น
หลังได้ยินคำถามนี้ ซีเยว่ก็ผงะเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยเห็นนางมาก่อน”
“เช่นนั้นรูปลักษณ์ของมารดาข้าเป็อย่างไร? นางงดงามหรือไม่? นางอ่อนโยนหรือไม่? แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่านางอยู่ที่ใด เ้าคงไม่รู้ว่าข้าคิดถึงนางมากเพียงใด...”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นขณะลูบหยกเทพชูร่า ดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย
แม้เขาจะผ่านประสบการณ์การสังหารและอยู่ท่ามกลางแผนชั่วร้ายมามากมาย ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็เพียงเด็กหนุ่มอายุเกือบสิบหกปีเท่านั้น
แน่นอนว่าเด็กหลายคนที่อยู่ในวัยนี้ พวกเขาล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครองและการดูแลอย่างอบอุ่นของบิดามารดา
แต่สำหรับเขาแล้ว เขายังไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของผู้เป็มารดา ส่วนบิดาของเขาก็ถูกสังหารในสนามรบจนตกตายไปแล้ว ส่วนมือของเขาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเื
“นางเป็สตรีที่อ่อนโยนและงดงามมาก เรียกได้ว่าเป็สตรีที่งดงามที่สุด ดีที่สุดบนโลกใบนี้เลย”
เมื่อได้เห็นด้านอ่อนแอและเศร้าโศกของมู่เฟิง ซีเยว่ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา ดังนั้นนางจึงปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้ม
‘อย่างไรเขาก็ยังเป็เพียงเด็กผู้หนึ่ง...’
ซีเยว่ทอดถอนใจ
“แล้วนางอยู่ที่ใด เหตุใดนางจึงทอดทิ้งข้า เหตุใดนางถึงไม่้าข้า ข้าไม่เคยคิดโทษนาง ที่ผ่านมาข้าพร่ำบอกตัวเองมาตลอดว่ามารดาของข้ายังมีชีวิตอยู่ บางทีนางอาจมีเหตุผลให้ต้องจากข้าไป ทว่าข้าคิดถึงนางมากเหลือเกิน”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเหล่านี้ของมู่เฟิง ซีเยว่ก็เงียบลงอีกครั้ง...