เสียงพูดคุยจากห้องโถงด้านข้างนั้นเงียบเชียบลงอีกหน และด้วยความไม่พอใจของล่าวไท่จุน ทำให้อากาศดูราวกับจะแข็งตัว ผู้คนต่างตกตะลึงนิ่งงัน แม่นมฉินกับจี๋เสียงและคนใช้ที่อยู่ข้างนอกนั้น ยิ่งไม่กล้าหลุดคำพูดใดๆ ทั้งยังกลั้นหายใจไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
ฉินหยีหนิงคุกเข่าบนพรมปักลายดอก พลางมองไปที่ล่าวไท่จุนและเอ่ยช้าๆ “เมื่อแม่บุญธรรมของข้าน้อยที่กำลังอยู่ใน่สุดท้ายของชีวิตท่าน ได้บอกให้ข้าน้อยซ่อนตัว ท่านบอกข้าว่าหากข้าถูกจับตัวไปขาย ชีวิตของข้าน้อยต้องไม่ดีเป็แน่ โดนสัตว์ร้ายกินเป็อาหารยังจะดีเสียกว่า”
ในคำพูดดังกล่าวเหมือนนางไร้ซึ่งหนทางที่จะมีชีวิตรอด และมีความยากลำบากแฝงอยู่อย่างเหลือล้น
แต่เดิมนางมีชาติกำเนิดเป็ถึงบุตรีผู้ที่เชิดหน้าชูตาให้อัครมหาเสนาบดี แต่ยามเมื่อนางเกิดมากลับถูกคนอื่นแทนที่ ด้วยการสับเปลี่ยนและพานางไปทิ้งไว้ในป่า โชคดีที่ได้พบกับแม่บุญธรรมผู้โอบอ้อมอารี ทว่ามารดาอุปถัมภ์กลับเสียชีวิตจากไปั้แ่นางอายุได้แปดขวบ ทำให้ฉินหยีหนิงต้องกลายเป็เด็กกำพร้าในเมืองที่มีาวุ่นวาย นางทำได้เพียงแค่เอาชีวิตรอดด้วยการไปหลบซ่อนอยู่ในป่าคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่กับความหนาวเย็นและขาดความอบอุ่น กระนั้นยังสามารถรอดชีวิตมาได้จนอายุสิบสี่ปี กระทั่งพ่อแท้ๆ ของนางมาเจอเข้า
เด็กสาวเช่นนี้ จะไม่ให้สงสารได้อย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็พวกเขา เมื่ออายุแปดขวบเช่นนาง จะสามารถอยู่คนเดียวในป่าทุรกันดารได้ถึงหกปีหรือไม่?
ไม่มีผู้ใดในที่แห่งนี้ ที่มั่นใจว่าจะอยู่รอดเลยแม้แต่คนเดียว
แม้เพียงแค่หกวันเท่านั้น พวกเขาก็กลัวว่าจะทนไม่ไหวเสียแล้ว
อย่าว่าแต่จะกินอะไร จะอยู่อย่างไรเลย แค่การมีชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียว เวลาเจ็บป่วยก็ไม่มีคนดูแล ไม่มีใครใส่ใจว่าจะร้อนหรือหนาวเย็น และแม้แต่เวลาเหงาก็ไม่มีคนพูดด้วย มันเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะทนได้
อย่างไรก็ตามหัวใจของมนุษย์ล้วนทำมาจากเืเนื้อ ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างมองไปที่ฉินหยีหนิง แววตาของนางมีความน่าสงสารและแฝงความอ่อนโยนอยู่ภายใน
"เ้า...มันยากลำบากสำหรับเ้ามากสินะ" ล่าวไท่จุนถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับถ้อยคำที่ท่านพูดก่อนหน้านั้น น้ำเสียงในประโยคนี้ดูอ่อนเบาลงกว่าเดิมเยอะมาก
สายตาของฉินฮุ่ยหนิงมองไปยังล่าวไท่จุนที่กำลังใจอ่อน นางกำมือของตนแน่นจนเกิดเป็เล็บขีดข่วนคล้ายพระจันทร์เสี้ยวสีขาวสี่ขีด จวบจวนเืเกือบจะไหลออกมา แต่ใบหน้าสวยงามบอบบางของนางกลับดูน่าสงสารยิ่งกว่า ดวงตาบวมช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนักนั้นคล้ายมีหยาดน้ำเอ่อคลออยู่ตลอดเวลา
นางย่างเท้าสองสามก้าวไปข้างหน้า จากนั้นจับมือพยุงฉินหยีหนิงขึ้นมา มือเนียนละเอียดดุจหยกขาวของฉินฮุ่ยหนิงเมื่อััมือหยาบกร้านขรุขระ ซ้ำยังมีรูหนอนของฉินหยีหนิงย่อมเห็นความแตกต่างชัดเจน นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสงสาร "น้องเสี่ยวซี ลำบากน้องแล้ว"
หนึ่งประโยคเสี่ยวซีนั้น เท่ากับเห็นพ้องไม่ยอมรับว่าแท้จริงแล้วฉินหยีหนิงนั้นคือใคร
กลุ่มคนในที่นี้ต่างรู้ดี จะมีผู้ใดบ้างที่ไม่เข้าใจ? หญิงสาวบางคนถึงกับก้มหน้าไม่มองบ้าง แต่ก็มีบ้างที่เงยศีรษะและเงี่ยหูฟัง
มือของฉินฮุ่ยหนิงให้ความรู้สึกเหมือนัับางสิ่งที่เปียกชื้นและเย็นเยือก ทำให้ฉินหยีหนิงนึกถึงหนังงูเย็นๆ ไปโดยปริยาย นางกะพริบตาหลายทีและดึงมือของนางกลับมา
ั้แ่ฉินหยีหนิงก้าวเท้าผ่านประตูจวนมาถึงที่นี่ ความเป็ศัตรูของฉินฮุ่ยหนิงที่อยู่ตรงหน้า ณ ขณะนั้นชัดเจนที่สุดสำหรับนาง ดูเหมือนว่าฉินฮุ่ยหนิงเป็ลูกสาวบุญธรรมที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ถึงได้สลับเปลี่ยนตัวกับนาง แต่เมื่อนางกลับมาแล้ว แน่นอนว่า ย่อมขัดกับสถานะของคนตรงหน้า
ฉินหยีหนิงผู้ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในป่าย่อมมีความสามารถโดยธรรมชาติในการรับรู้ถึงความเป็ศัตรู มิเช่นนั้น นางต้องเป็อาหารให้สัตว์ป่าไปนานแล้ว แม้ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ในเขา แต่บางครั้งบางคราวนางก็จำเป็ต้องลงจากเขาบ้าง นางเคยหายาสมุนไพร และเคยล่าสัตว์เพื่อแลกกับสิ่งจำเป็สำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งนั่นเป็เหตุให้นางไม่อาจหลีกเลี่ยงการติดต่อกับพ่อค้าหรือนักล่า ตอนที่นางยังเด็ก นางอาศัยและใช้ชีวิตอยู่กับแม่บุญธรรมในเมือง ทำให้นางเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่าคุณหนูผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในจวนเสียอีก
เพราะการต้องใช้ชีวิตในยุคแห่งาที่วุ่นวาย เพื่อความอยู่รอดไม่ว่าจะเป็เื่สกปรกโสมมหรือความมืดมนเพียงใด นางล้วนเคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น
ความเ้าเล่ห์เสแสร้งทำเป็อ่อนโยนของฉินฮุ่ยหนิง กับความเป็จริงที่เพิ่งรับรู้ทำให้ฉินหยีหนิงต้องเม้มปากออกมา
คุณชายรองฉินหานขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย พลางก้าวไปข้างหน้าพร้อมคำนับ “ล่าวไท่จุน ถ้าเรียกชื่อเล่นของหยีเจี่ยร์ว่าเสี่ยวซีก็ดี อย่างนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเราก็ไม่ลืมบุญคุณของแม่บุญธรรมของนางที่เลี้ยงนางมาแปดปีสินะ แต่ว่าตระกูลฉินของพวกเรา ตามหลักแล้ว การตั้งชื่อลูกสาวนั้นมักจะลงท้ายด้วยคำว่าหนิง เจียหนิง ฮุ่ยหนิง ซวงหนิง อันหนิง ป่าวหนิง มีที่ไม่ใช้หนิงลงท้ายด้วยหรือ? อีกอย่างท่านลุงใหญ่ก็ได้ตั้งชื่อให้เสี่ยวซีว่าหยีหนิง ล่าวไท่จุนถ้า…”
“คำพูดของข้าตอนนี้ต้องให้หลานอย่างเ้ามาออกความเห็นแล้วหรือ? ข้าแก่แล้ว จัดการอะไรๆ บ้านนี้ไม่ได้แล้วสิ!? หรือเ้าจะเป็ผู้จัดการเื่ในบ้านนี้ บ้านฉินเปลี่ยนเป็เ้ามาจัดการแทนเลยดีไหม?”
ถึงแม้ว่าฉินหานเป็ทายาทคนโตของบ้านสาม แต่นายท่านสามเป็เพียงสามัญชนไม่มีลาภยศอะไร ล่าวไท่จุนไม่ชอบสามัญชนนัก จึงไม่ปลื้มฉินหานสักเท่าไร ปกตินั้นนางให้เกียรติฉินหานบ้าง แต่ตอนนี้นางกำลังมีโทสะ ย่อมมีส่วนทำให้นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว
ฮูหยินน้อยเมิ่งซื่อ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมดึงแขนเสื้อของฉินหาน ตักเตือนสามีว่าอย่าขัดใจล่าวไท่จุน
ฉินหานยังมีท่าทีแข็งกร้าว ทั้งยังถูกอารมณ์โกรธครอบงำอันมีสาเหตุมาจากความไม่มีเหตุผลของล่าวไท่จุน “หยีเจี่ยร์ถึงแม้ว่าจะโตมาในป่าลึก ทว่านางก็เป็ถึงลูกสาวแท้ๆ ของท่านลุงใหญ่ ตราบใดที่คนนั้นไม่ใช่คนโง่ ใครๆ ก็สามารถแยกแยะนางได้อย่างรวดเร็วทั้งนั้น ตอนนี้ในเมื่อไม่มีใครสงสัยในตัวนางแล้ว ล่าวไท่จุนยังพูดแบบนี้อีกได้อย่างไร?”
ล่าวไท่จุนเบะปาก เอ่ยออกมาพร้อมความขุ่นเคือง “คนหน้าเหมือนกันบนโลกนี้มีเยอะแยะถมไป! ทำไม? หากมีคนหน้าคล้ายกับท่านลุงใหญ่ของเ้าก็ถือว่าเป็ครอบครัวของเราหมดเลยสินะ!”
“ล่าวไท่จุน ที่จริงท่านก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าหยีเจี่ยร์ ก็คือเด็กที่ถูกศัตรูทางการเมืองของท่านลุงใหญ่สลับเปลี่ยน พวกเราก็ไม่ได้บอกว่าหยีเจี่ยร์กลับมาแล้วจะต้องทำอย่างไรกับฮุ่ยเจี่ยร์สักหน่อย ท่านจะตื่นเต้นทำไมกัน? เด็กที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ท่านยังรักและเอ็นดูเลี้ยงนางมาจนโตได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับหลานของตัวเอง ท่านจะรักและเอ็นดูบ้างไม่ได้เชียวหรือ?”
ประโยคที่ว่า ‘มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน’ ประโยคนี้ทำให้หน้าของฉินฮุ่ยหนิงนั้นแดงเถือก น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าขาวสะอาดและสวยงามของนาง เด็กสาวร้องไห้ครวญครางในอ้อมแขนของล่าวไท่จุน พร้อมเสียงคร่ำครวญ “ท่านย่า หลานไม่ดีเอง...เป็เพราะหลานไม่ดีเอง”
ล่าวไท่จุนเมื่อเห็นฉินฮุ่ยหนิงร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็พลอยเศร้าโศกน้ำตานองใบหน้าไปด้วย นางตบหลังฉินฮุ่ยหนิงเบาๆ “ฮุ่ยเจี่ยร์อย่าร้องไห้เลย มีย่าอยู่ทั้งคน ไม่มีใครกล้าทำอะไรหลานทั้งนั้น”
ดูเหมือนคนรอบตัวจะขับไล่นางออกไปเสียอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ล่าวไท่จุนรักฉินฮุ่ยหนิงมาก จนตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ฮูหยินน้อยเหยาซื่อ ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมเอ่ยตักเตือนฉินหาน “ลุงน้อยก็ให้เกียรติแก่ล่าวไท่จุนบ้างสิ พูดให้น้อยๆ หน่อยเถอะ”
ส่วนฮูหยินน้อยเมิ่งซื่อก็รีบดึงแขนเสื้อของฉินหานออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อบอกเป็นัยให้ชายหนุ่มรู้ว่า อย่าพูดมากนักเลย มีแต่จะทำให้คนเกลียดคนชังเสียเปล่าๆ
แต่เขากลับไม่สนใจ ยังคงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ถ้าไม่ให้เรียกลูกหยีว่าหยีหนิง ก็ไม่เป็การยุติธรรมกับนางเลย ฮุ่ยเจี่ยร์เองอาศัยอยู่ในจวนนี้ โดยไม่ต้องกังวลเื่อาหารและที่อยู่ ใช้สิทธิ์ความสบายที่เคยเป็ของหยีเจี่ยร์อย่างนี้! ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ช่วยนางพูดแทนสิถึงจะถูกต้อง แต่นี่อะไรกลับแทงใจได้อย่างนี้เสียล่ะ”
ฉินฮุ่ยหนิงเมื่อโดนเรียกชื่อของตน ใบหน้าก็ยิ่งซีดเผือด นางแหงนมองไปยังฉินหาน
คุณชายรองเอ่ยออกมาอีก “ตอนนี้เกิดาความวุ่นวายขึ้นมา บ้านเมืองไม่ใช่บ้านเมืองอีกต่อไป ในเมืองเหลียงสิบบ้านมีเก้าบ้านที่ว่างเปล่า มันดูโหดร้ายจนทนดูไม่ได้ ถ้าทุกคนที่นี่เห็นชีวิตของหยีเจี่ยร์ด้วยตาของท่านเอง ท่านก็จะเข้าใจถึงความยากลำบากของหยีเจี่ยร์! ข้าออกไปในครั้งนี้ ใจที่เคยเข้มแข็งดั่งเสือของข้ายังต้องหดหู่ลงมาครึ่งหนึ่งเลย ข้าชื่นชมในความมุ่งมั่นของหยีเจี่ยร์ ข้าไม่พูดอะไรอีกแล้ว ความยากลำบากของนางในอดีต หากเปลี่ยนเป็พวกท่านคนใดคนหนึ่งล่ะ หญ้าบนหลุมศพคงสูงถึงสามฟุตแล้ว! เราเจอเืเนื้อเชื้อไขของตระกูลเราแล้ว น่าจะดีใจและยอมรับสิ ไม่แน่สองวันหลังจากนี้ บ้านเมืองอาจจะล่มสลายแล้ว อย่างน้อยคนในครอบครัวจะได้ตายในที่เดียวกัน”
ใบหน้าของฉินฮุ่ยหนิงแดงก่ำ “ข้าแย่งชีวิตของเสี่ยวซี ข้าผิดเอง”
ฉินหานเบะปาก พร้อมกลอกั์ตาค่อนแคะ
“พอได้แล้วน้องรอง เ้านี่พูดมากจริงๆ” คุณชายใหญ่ฉินหยูเอ่ยออกมาหลังจากรอจนกระทั่งให้ฉินหานพูดจบ
“ข้ารู้ว่าล่าวไท่จุนไม่ค่อยชอบขี้หน้าข้า ข้าจะไม่ให้ท่านเห็นหน้าข้าแล้วก็ได้!”
“เ้าไสหัวออกไปไกลๆ เลยนะ”
ฉินหานแค่นเสียงฮึพลางดึงมือภรรยาของตนแล้วหันหลังก้าวเดินออกไป
ล่าวไท่จุนโกรธมาก นางตบโต๊ะเตี้ยข้างๆ ดังปัง ใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงลามไปจนถึงใบหู มองตามแผ่นหลังของฉินหานกระทั่งเขาก้าวพ้นประตูออกไปด้านนอก พร้ะโกนออกมา “เ้าคนสารเลว! เ้าคนสารเลว! ไสหัวออกไปให้ไกลๆ อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ใจเย็นๆ นะเ้าคะท่านย่า” ฉินฮุ่ยหนิงเอ่ยปลอบใจ “พี่รองเป็คนตรง พูดตรง แต่เขาก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ที่จริงข้าเองที่ไม่คู่ควร”
ล่าวไท่จุนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กอดฉินฮุ่ยหนิงและร้องไห้พร้อมๆ กับนาง ทำให้เด็กสาวคนอื่นๆ พลอยร้องไห้ไปด้วย บรรยากาศในห้องจึงดูวุ่นวายไปหมด
ถ้าบ้านเมืองข้างนอกสงบสุข นางก็อยากออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง เพราะถึงแม้ว่าจะลำบากแต่อย่างน้อยยังมีชีวิตที่อิสระ
แต่นางไม่อาจทำได้! เพราะที่นี่คือบ้านของนาง นางได้เจอกับผู้ให้กำเนิดและญาติๆ ของนางแล้ว หรือจะให้นางยอมปล่อยสิ่งที่เป็ของตนให้คนอื่นชิงเอาไป?
ฟังจากพี่รองบอกว่า แม่ที่ให้กำเนิดนางยังมีชีวิตอยู่
ผู้เป็แม่ต้องรักลูกอย่างแน่นอน ย่อมไม่ต่างจากแม่บุญธรรมของนาง ที่ถึงแม้ไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ยังรักและทะนุถนอมนางอย่างดีที่สุด ฉะนั้นแล้วมารดาผู้ให้กำเนิดจะต้องรักและทะนุถนอมนางมากกว่านี้อย่างแน่นอนสิ
ฉินหยีหนิงมีท่าทีรีบร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางหันกลับไปหาฉินหวยหยวนที่กำลังขมวดคิ้ว พร้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีขัดเขิน “ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด ทำไมถึงไม่เห็นท่านล่ะ?”
เมื่อฉินฮุ่ยหนิงได้ยินคำพูดนี้ นางก็มองจ้องไปที่ฉินหยีหนิงทันที
ฉินหวยหยวนขานรับเสียงเบา “อืม” จากนั้นก็โบกมือเรียกจี๋เสียง “ไปเชิญฮูหยินใหญ่มา”
จี๋เสียงรับคำเสร็จแล้ว ก็รีบออกไปโดยไม่รอช้า
ฉินหยีหนิงไม่ได้หันกลับไปมองท่าทีของล่าวไท่จุนอีก นางมองไปยังประตูทางเข้าที่อยู่ข้างหน้า ตอนที่นางยังเป็เด็ก นางก็รู้ว่า นางเป็เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง นางคิดและฝันถึงแม่แท้ๆ ของนางมาโดยตลอด วาดหวังว่าแม่ของนางนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็เช่นไร วันนี้นางกำลังจะได้เจอมารดาแล้ว ความทุกข์ความยากลำบากในหลายปีที่ผ่านมา ฝึกจิตใจให้นางเป็คนสงบนิ่งมั่นคง แต่ตอนนี้มือของนางกลับมีเหงื่อไหลออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่นานนักข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามา ตามด้วยเสียงร้องแจ้งของบ่าวรับใช้
“ล่าวไท่จุน ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ฮูหยินสามมาแล้วเ้าค่ะ”
ม่านหนาถูกเลิกขึ้น ผู้ที่ปรากฏตัวให้เห็นเป็หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าและคาดเอวสีม่วงอ่อน ดูสวยสง่ามีราศี บนศีรษะของนางสวมเครื่องประดับถูกตกแต่งด้วยปิ่นทองรูปหงส์แกว่งไปแกว่งมา นางเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ดวงตาทั้งสองข้างของนางบวมโตเป็ลูกท้อ
นางหยุดยืนใกล้กับชั้นวางของโบราณ จากนั้นมองไปรอบๆ จนในที่สุดดวงตาบวมช้ำของนางก็มองไปที่ฉินหยีหนิง
สองมือของฉินหยีหนิงกำแน่น นางก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าวด้วยสัญชาตญาณ พร้อมมองไปที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นเช่นกัน
สายตาทั้งสองคู่สบกัน ถึงแม้ว่าไม่มีใครบอกกล่าว แต่นางสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นเป็มารดาของนาง
“เ้า…” ซุนซื่อก้าวช้าๆ ไปยังฉินหยีหนิง ร่างของนางดูเหมือนหนักเป็พันจิน แหงนหน้ามองพร้อมยื่นมือสั่นสะท้านััไปที่ใบหน้าของฉินหยีหนิง
ในที่สุดดวงตาของฉินหยีหนิงเริ่มมีน้ำตาคลอ นางเปล่งเสียงเรียก “ท่านแม่” ขณะยกแขนทั้งสองและเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
ซุนซื่อส่งเสียงร้องไห้ออกมาในทันใด นางสาวเท้าถอยห่างและเอ่ยว่า “เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้! ที่ผ่านมา…คนที่ข้าเลี้ยงมากับมือไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า เป็แบบนี้ไปได้อย่างไรกัน!”
เมื่อฉินฮุ่ยหนิงเห็นซุนซื่อเป็เช่นนั้นก็รีบโผเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย ดวงตาของเด็กสาวยังบวมแดงยามร้องไห้เสียงดังออกมาอีกหน “ท่านแม่ ลูกผิดเอง ลูกไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากท่านแม่ เป็ลูกแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากเสี่ยวซี แต่ว่า...ลูกไม่ได้ตั้งใจ ลูกไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!”