เสี้ยวเหวินตี้ยืนอยู่ในสวนนอกพระตำหนักพลางมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่ขณะนั้นขันทีไห่ที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล ในใจก็ให้รู้สึกไม่สบายเป็อย่างยิ่ง อย่างไรเสียเขาได้เริ่มติดตามอยู่ข้างกายเสี้ยวเหวินตี้มาั้แ่ยังเด็กถึงแม้จะไม่สามารถเดาได้ทั้งหมดว่าตอนนี้ฝ่าากำลังคิดเื่ใดอยู่ แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ฝ่าาคงกำลังคิดถึงหานอ๋องอยู่
“สิบปีแล้ว...” จู่ๆ เสี้ยวเหวินตี้ก็มองไปยังขันทีไห่แล้วตรัส “ตอนนั้น ตอนที่เขาจากไปก็แค่สิบกว่าขวบ”
เมื่อขันทีไห่ได้ยินก็ไม่กล้าส่งเสียงใด เพราะสิบปีมานี้ เื่ราวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับหานอ๋องถือเป็ข้อต้องห้ามในพระราชวังแห่งนี้หลายปีก่อนไม่เคยมีใครกล้ากล่าวถึงเขา ทว่า นับแต่ที่มีเื่แท้งบุตรของชายาหานอ๋องเมื่อสามปีก่อนก็เป็องค์ชายสี่ที่กล้ากล่าวถึงพี่ชายผู้นี้ต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าา
ขันทีไห่ไม่รู้ว่าตอนนี้ฝ่าารู้สึกอย่างไร จึงทำเพียงเงียบปากไว้ไม่กล่าวคำ
“เ้าว่า ในใจเขาจะโกรธแค้นเจิ้นหรือไม่” จู่ๆ เสี้ยวเหวินตี้ก็ถามขึ้น
ขันทีไห่พูดด้วยเสียงอันเบา “ในโลกนี้ไม่มีลูกชายคนใดจะเคียดแค้นบิดาตนหรอกพ่ะย่ะค่ะในตอนนั้นบ่าวเองก็ถูกบิดาแท้ๆ ส่งเข้ามาอยู่ในวังเช่นกัน ถึงแม้เมื่อแรกเริ่มจะมีตัดพ้อบ้างแต่เมื่อเวลานานไป ความตัดพ้อเ่าั้ก็แปรเปลี่ยนเป็ความคะนึงหาที่มีต่อบิดามารดาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินก็หัวเราะเ็าในใจ คะนึงหาบิดามารดาหรือ?
หากให้พูดตามจริง เขาไม่อาจรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วบุตรชายที่ถูกขับไล่ไปคนนั้นจะมี่เวลาที่คะนึงหาตนบ้างหรือไม่ทว่า สิ่งหนึ่งที่เขารู้ดีก็คือ หลายปีมานี้ฮองเฮาไม่เคยคะนึงหาพระโอรสที่ตนสู้อุตส่าห์อุ้มท้องมาสิบเดือนเลยแม้แต่น้อยวันนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ในราชวงศ์นี้คงไม่ได้มีแค่เขาที่เป็ฮ่องเต้ที่โดดเดี่ยว
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเสร็จจากประชุมเช้าฝ่าาก็ไปพบกับเสนาบดีขั้นสองชั้นสูงของราชสำนัก หรือใต้เท้าจี้หยวนอย่างลับๆเพียงไม่นานก็มีข่าวคราวออกมาว่า เสนาบดีกรมพระคลัง ใต้เท้าจี้หยวนเดินทางกลับบ้านเก่าเพื่อไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ทว่า สิ่งที่บังเอิญเป็อย่างยิ่งก็คือ บรรพบุรุษของใต้เท้าจี้หยวนผู้นี้เป็ชาวชิงโจวแห่งดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
ณ จวนหานอ๋อง
อวิ๋นซีมองดอกไม้งามที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสวน นางยิ้มแล้วพูดกับเด็กทั้งสามคนที่นั่งอยู่ข้างกาย“ข้าจะดูเสียหน่อยว่า วันนี้ใครจะสามารถเขียนชื่อดอกไม้ต้นไม้ในสวนนี้ออกมาได้ทั้งหมดหากว่าเขียนถูกทั้งหมด ตกค่ำข้าจะพาพวกเ้าออกไปกินของอร่อย”
เมื่อต้านีเอ๋อร์และเอ้อนี้ได้ยินก็รีบลุกขึ้นพร้อมตอบอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณฮูหยินเ้าค่ะ”
แรกเริ่มเด็กสองคนนี้ไม่รู้สถานะที่แท้จริงของฮูหยิน และเพิ่งได้มารับรู้ก็ตอนหลังทว่าเพื่อเป็การป้องกันไม่ให้เด็กๆ พลั้งเผลอพูดอันใดที่ไม่ควรพูดออกมา อวิ๋นซานจึงใช้ความสามารถที่มีลบความทรงจำส่วนหนึ่งในยามที่เด็กๆได้พบเจอกับนางที่จางเจียวาน ด้วยการกระทำนี้ ทำให้อวิ๋นซีตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง นอกจากนี้ในทุกครั้งที่ต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีกลับไปบ้านพวกนางก็ล้วนจดจำได้จนเคยชินว่า ห้ามพูดกับบิดามารดาเกี่ยวกับเื่ต่างๆ ภายในจวน
ตอนนี้สิ่งที่พวกนางจดจำได้จนขึ้นใจก็คือ พวกนางต่างเป็คนของจวนหานอ๋องเป็สาวรับใช้ตัวน้อยข้างกายจวิ้นจู่น้อย ส่วนฮูหยินฉินและนายท่านฉินล้วนไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นพวกนางต่างไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน
ตอนแรกที่อวิ๋นซีค้นพบว่าอวิ๋นซานยังมีวิชาลับสุดยอดนี้อยู่ด้วย ในใจนางก็ตื่นเต้นอยู่เป็นานแต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร อวิ๋นซานก็ไม่ยอมสอนเื่เหล่านี้แก่นาง ทำให้นางอดไม่ได้ให้หดหู่ไปอีกหลายวัน
ในตอนที่จวินเหยียนพาหลัวเผิงเข้ามา เขาก็เห็นเด็กทั้งสามกำลังเล่นอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ขณะที่อวิ๋นซีกำลังเอนกายพักสายตาอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ ทันใดนั้นหลัวเผิงก็เบี่ยงกายไปทางอื่นเล็กน้อยเพราะท่าทางเช่นนี้ของพระชายา หากเขายังกล้ามองต่อไปละก็คาดว่าท่านอ๋องน่าจะควักลูกตาเขาออกมาเป็แน่
อวิ๋นซีหันมองพวกเขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่ในท่าทีที่เรียบร้อย“ท่านอ๋อง แม่ทัพหลัวน้อย พวกท่านมาได้อย่างไร” ตอนนี้หลัวเผิงดำรงตำแหน่งเป็แม่ทัพแห่งกองทัพป้องกันหานโจวแล้ว
จวินเหยียนมองนางพร้อมตอบเสียงเบา “ลองเดาดูสิว่ายามนี้คนที่มาจากราชสำนักเป็ผู้ใดกัน”
คำถามชวนสงสัย ทำให้อวิ๋นซีต้องหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้า นับแต่ที่นางมาเกิดใหม่ก็ผ่านไปแล้วห้าปีกว่าแม้สรรพสิ่งในเมืองหลวงจะยังคงอยู่ แต่เกรงว่าคนคงจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปแล้ว ดังนั้นคนที่ตอนนั้นนางเคยรู้จักจะยังมีกี่คนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง?
“ยังจำ จี้หยวนได้หรือไม่? ” จวินเหยียนมองนางแล้วถามขึ้น
จี้หยวน? อวิ๋นซีขบคิด และเป็นานกว่าจะนึกขึ้นได้จี้หยวนก็คือบัณฑิตผู้หนึ่งที่เมื่อสามปีก่อนในฤดูเหมันต์เป็นางที่ช่วยเหลือไว้โดยบังเอิญแท้จริงแล้วจี้หยวนเป็ชาวชิงโจว ยามนั้นรีบร้อนจะไปสอบในเมืองหลวงจึงจำต้องเดินทางผ่านอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนหานโจวและชิงโจว วันหนึ่งจู่ๆ จี้หยวนก็ล้มป่วยเดิมทีเขาเป็คนที่มีพื้นเพยากจน ซ้ำร้ายเงินติดตัวสำหรับเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงที่มีอยู่ไม่ถึงยี่สิบตำลึงก็ถูกขโมยไปทำให้ตอนนั้นเขาที่ไร้หนทางได้แต่พาร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของตนมาหลบพักอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นจวินเหยียนกับอวิ๋นซีบังเอิญผ่านมาพอดี และเพราะยามนั้นมีหิมะปลิวว่อนไปทั่วฟ้าก่อเกิดเป็อุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการเดินทางกลับบ้านของพวกเขา คนทั้งสองจึงตัดสินใจนำเหล่าองครักษ์ไปหลบหนาวอยู่ในวัดร้างและได้เจอเข้ากับจี้หยวนที่ใกล้จะหมดลม
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซีที่เป็หมอมักพกยาติดกายไว้เสมอ ด้วยเหตุนี้ ในตอนนั้นจึงเป็นางที่ช่วยเหลือจี้หยวนไว้ได้ทันหลังจากนั้นก็ช่วยหารถม้า และมอบเงินจำนวนหนึ่งแก่เขาสำหรับเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงมิคาดใบไม้ผลิปีต่อมา จี้หยวนจะกลายเป็จอหงวนด้านอักษรศาสตร์
สามปีมานี้ เขาใช้ความสามารถของตนจนได้กลายมาเป็เสนาบดีขั้นสองชั้นสูง
“ที่แท้ก็เป็เขา” อวิ๋นซียิ้มบางๆ “ดูท่า ฝ่าาจะทรงเชื่อใจใต้เท้าจี้หยวนผู้นี้มาก”
“ก็นั่นนะสิ” จวินเหยียนอมยิ้ม “อย่างไรก็ตาม นิสัยของจี้หยวนผู้นี้ก็นับว่าใช้ได้ถึงแม้คนจะมีพื้นเพต่ำต้อย แต่ความสามารถและลักษณะนิสัยก็มีให้เห็นอยู่ ดังนั้นหากเสด็จพ่อจะให้ความสำคัญกับเขาก็ไม่แปลกเลยสักนิด”
อวิ๋นซียิ้มเย็น นั่นสิ การจะบอกว่าเสี้ยวเหวินตี้เป็ทรราช จริงๆ แล้วก็คงมิใช่เช่นนั้นทั้งยังอาจเรียกได้ว่า เขานับเป็ผู้ปกครองที่ปรีชาสามารถผู้หนึ่ง เพราะเขาไม่แม้แต่จะเรียกร้องเพื่อขยายอาณาเขตและ้าเพียงรักษาแคว้นหนานเย่าไว้ ส่วนกำลังทหารที่มีก็จัดเตรียมพร้อมสำหรับการทำศึกต่อให้ยามนี้จะเป็ยุคที่ความเป็อยู่แสนสงบสุข แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย อีกทั้งคำแนะนำของขุนนางทั้งหลาย หากว่าดีต่อแว่นแคว้น ดีต่อชาวประชา เขาก็พร้อมนำมาปรับใช้โดยตลอด
เหตุที่แคว้นหนานเย่ามีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งและรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ได้ก็เรียกได้ว่าเสี้ยวเหวินตี้เป็ผู้ที่มีคุณูปการที่ไม่อาจดูแคลนได้ ทว่า ผู้ปกครองที่ปรีชาสามารถเช่นนี้กลับตัดสินใจขับไล่พระโอรสสายตรงของตนออกไปออกคำสั่งปะาคนทั้งตระกูลเฉียวของนาง ทั้งยังทำให้ตระกูลอวิ๋นที่จงรักภักดีต่อโอรสแห่ง์ยิ่งมีจิตใจหมองหม่นและไม่คิดเยื้องย่างเข้าสู่ท้องพระโรงอีก แม้แต่ลูกหลานก็ไม่คิดอยากเข้าร่วมการสอบเข้าราชการ
“อาซี” จวินเหยียนรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ สำหรับเื่ร้ายที่เกิดกับตระกูลเฉียวตัวเขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะกล่าวเช่นไรกับนางดี เนื่องด้วยพระบิดาของเขามิใช่คนที่สติเลอะเลือนแต่เื่ตระกูลเฉียวนี้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่า เหตุใดพระองค์ถึงได้ตัดสินพระทัยอย่างกะทันหันเพียงนั้น
ในอดีตเขาเคยสืบหาข้อเท็จจริงของเื่นี้แล้ว แต่กลับไม่พบคำตอบใด
“อืม คิดว่าใต้เท้าจี้คงจะไม่มาหานโจวอย่างเปิดเผยเช่นนี้”นางมองไปยังจวินเหยียนแล้วพูด ด้วยเื่นี้ ตอนนี้คนตระกูลหลัวได้ตัดสินใจยืนอยู่ฝั่งจวินเหยียนแล้วดังนั้น พวกเขาจึงหาได้เกรงกลัวหากจะต้องพูดเื่เหล่านี้ออกมาต่อหน้าหลัวเผิง
แน่นอน สิ่งที่พวกเขาควรรู้ อวิ๋นซีกับจวินเหยียนจะไม่มีทางปิดบัง แต่หากเื่นั้นมิใช่สิ่งที่พวกเขาควรรู้ต่อให้คนตระกูลหลัวจะสงสัยสักเพียงไร พวกเขาก็ไม่มีทางพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ราชสำนักมีประกาศออกมาว่า เสนาบดีจี้จะมาชิงโจวเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลับไปยังชิงโจวก่อนเป็อันดับแรกเป็แน่ เพียงแต่ หลังจากนั้นจะเป็เช่นไรจะมายังหานโจวเมื่อใด เื่เหล่านี้ ท่านอ๋องจะให้กระหม่อมเฝ้าดูไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” หลัวเผิงไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีความเกี่ยวข้องใดกับจี้หยวนเพียงแต่เมื่อได้ฟังจากบทสนทนาของทั้งสอง หลัวเผิงก็คิดว่า พวกเขาคงจะมีความเกี่ยวข้องกันไม่น้อยกระมัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้