เมื่อเห็นมารดาและบุตรสาวในสายเืกอดคอกันร้องไห้ และกำลังจะตามมาด้วยบทสรุปอันชื่นมื่น อู๋อู๋ก็รู้สึกร้อนรน
ยอมรับตามตรงว่าเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่ออินอิน
หลังจากที่เธอคลอดบุตรได้ไม่นานก็เข้าทำงานที่โรงพยาบาล ยังไม่ได้ผ่านการทดลองงานเพื่อเข้าเป็พนักงานประจำ มันเป็่ที่เพิ่งจะเริ่มทำงาน หลังจากอยู่เดือนเสร็จเธอก็ส่งบุตรสาวไปอยู่กับปู่และย่าที่บ้านเกิด จากนั้นเธอก็พุ่งความสนใจให้กับงาน
เมื่อหน้าที่การงานมั่นคงแล้ว หันกลับมามองอีกที บุตรสาวก็เติบใหญ่ขึ้นเหมือนแกะขาวที่วิ่งไปบนช่องเขาสูง ตัวเธอแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการเติบโตของบุตรสาว ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตรสาวจึงห่างเหินกันมาก
หากจะบอกว่าไม่เสียใจก็คงเป็ไปไม่ได้ โดยเฉพาะใน่สองปีนี้ที่การงานของเธอมั่นคงขึ้น เมื่อมีเวลาว่างเธอก็ตั้งตารอที่จะสานสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตรสาว เธอพยายามแก้ไขความสัมพันธ์นี้ ทว่าเด็กสาวอินอินนั้นเป็คนที่ยากจะคาดเดา เป็เด็กที่ดื้อรั้น เมื่อพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้งเธอจึงไม่อยากหาเหาใส่หัวอีก
หลังจากเื่ที่นำลูกกลับมาผิดคนถูกเปิดเผย ภายใต้ความใเธอได้ถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่หลายปีมานี้เธอไม่สนใจบุตรสาวคนนี้สักเท่าไร
ตามความปรารถนา เธออยากรีบส่งบุตรสาวคนนี้กลับไปหาบิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อินอินได้ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้
เด็กคนนั้นไม่ธรรมดา ถึงแม้จะมีที่มาไม่ชัดเจน แต่ถึงขั้นผู้นำจังหวัดโทรศัพท์เข้ามาที่โรงพยาบาลด้วยตนเองเพื่อขอเปลี่ยนห้องผู้ป่วย และขอผู้ดูแลอย่างดีให้แก่เด็กคนนั้น
หลังจากนั้นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงได้มาคุยกับเธอเป็การส่วนตัวและเอ่ยว่า ทางจังหวัดได้มอบโควตาทุนการศึกษาเพิ่มเติมให้กับโรงพยาบาล ซึ่งโควตานั้นเป็ของเธอ
เป็หลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติม[1]ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด และมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากเยี่ยนจิงมาสอนด้วยตนเอง เมื่อเรียนจบหลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติมนี้ก็สามารถเอาไปบอกใครต่อใครได้ว่า ฉันเป็นักเรียนของผู้เชี่ยวชาญคนนี้ แค่นี้ก็มากพอที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้คน เนื่องจากการเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ต้องแย่งชิงกัน ่สี่ห้าปีที่ชั้นเรียนนี้เปิด นี่ถือเป็ครั้งแรกที่มีโควตาเข้ามายังโรงพยาบาลของพวกเขา
อู๋อู๋ยอมรับว่าตัวเองพยายามมาหลายปี มีความสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง สาเหตุที่เธอไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้น ทั้งหมดเป็เพราะวุฒิการศึกษา
หากได้รับโอกาสเรียนหลักสูตรระยะสั้นนี้ ภายภาคหน้าเธอจะต้องไปได้สวยอย่างแน่นอน
ความคิดเหล่านี้จุดประกายขึ้นในใจของอู๋อู๋ เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์แล้ว เธอจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องเหนี่ยวรั้งให้อินอินอยู่ที่นี่ต่อให้ได้
เธอรีบลุกขึ้น เดินตรงไปยังเบื้องหน้าของมารดาและบุตรสาว เอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงใจมากขึ้น “อินอิน ลูกบอกว่าแม่ไม่ใส่ใจลูก แบบนั้นมันไม่ใช่การควักหัวใจแม่ออกมาหรือ!”
เธอเอ่ยพร้อมหันไปขยิบตาด้านหลัง สตรีร่างอวบอ้วนผู้หนึ่งที่อยู่ในตระกูลหลิงจึงเอ่ยว่า “อินอิน ทำไมเข้าใจแม่ผิดแบบนี้ล่ะ ที่แม่ตั้งใจทำงานเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะให้เธอได้ใช้ชีวิตสุขสบายหรอกหรือ สิ่งที่เธอกิน เสื้อผ้าที่เธอใส่ั้แ่เด็ก รวมถึงตึกแถวที่เธออยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่เธอทำงานตรากตรำอย่างหนักหรอกหรือ เด็กคนนี้ช่างโง่เขลาเกินไปแล้ว”
“กุ้ยฮวา!”
อู๋อู๋รีบพูดขัด สีหน้าแสดงความไม่พอใจ “อินอินยังเด็ก อย่าพูดจาแบบนี้”
เอ่ยจบเธอหันไปตบไหล่ซูอินเบาๆ “อินอินอย่าไปฟังน้าสะใภ้ของลูกพูดไร้สาระ แม่เลี้ยงลูกด้วยความเต็มใจ เพราะลูกเปรียบเสมือนเ้าหญิงน้อยของพวกเรา”
น้ำเสียงรักใคร่เช่นนี้…ทำให้ซูอินอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
โดยเฉพาะตอนที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งเถียนเฟินเช่นนี้ ความรู้สึกของอีกฝ่ายช่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มือที่โอบไหล่เธอสั่นเล็กน้อย
ฝ่ายหนึ่งพูดจาสวยหรูเกินจริง อีกฝ่ายหนึ่งกลับเงียบสนิทไม่ปริปาก
หากเป็เมื่อก่อนซูอินคงเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้า แต่หลังจากผ่านสิ่งต่างๆ มากมาย เธอจึงได้เข้าใจลึกซึ้งถึงหลักการหนึ่ง สิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่หูได้ยิน อาจไม่เป็ความจริงเสมอไป บ่อยครั้งที่ต้องใช้ใจัั
“เอาละ หยุดร้องไห้ก่อนเถอะค่ะ”
ตบไหล่ของเมิ่งเถียนเฟินแล้วเธอก็ผละออกจากอ้อมกอดนั้น ก่อนที่ซูอินจะหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เมิ่งเถียนเฟิน
จากนั้นเธอหันไปมองคนของตระกูลหลิงที่มารวมตัวกัน ซึ่งเมื่อครู่ช่วยกันพูดว่าเธอไม่ใช่คนอื่น นั่นคือโจวกุ้ยฮวาน้าสะใภ้ของเธอ
น้าสะใภ้ผู้นี้เป็ตัวอย่างของคนแล่นตามลม สิบหกปีก่อนปฏิบัติต่อเธอเป็อย่างดีและสนิทสนมมากเท่าไร หลังจากสิบหกปีนั้นก็ปฏิบัติต่อเธออย่างร้ายกาจมากเท่านั้น สายตากวาดมองญาติพี่น้องของตระกูลหลิงที่ตัวเป็คนนิสัยเป็สุนัข ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่นิสัยเหมือนกัน
ซูอินค่อยๆ เหล่ตามองช้าๆ
ในตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือกรรมสิทธิ์เลี้ยงดู หากเธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ แน่นอนว่าเธอคงไม่มีทางยอมออกไปพร้อมกับสมุดบัญชีแค่เล่มเดียว ในชาติก่อนเธอต้องเจอประสบการณ์ความเ็าที่รุนแรงหลายปี ต้องอยู่คนเดียวมาหลายครั้ง เธอไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่ตัวคนเดียวเป็สิ่งที่น่ากลัว แต่ในตอนนี้เธออายุเพิ่งจะสิบหกปี จำเป็ต้องมีผู้ปกครอง
เมื่อออกมาจากถ้ำเสือที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ แน่นอนว่าเธอไม่มีทางยอมกลับไปโง่เขลาอีกครั้ง
เธอกำหมัดแน่น ตามองไปยังตู้ด้านหลัง
“คุณแม่เห็นหนูเป็เ้าหญิงน้อยจริงหรือคะ” ซูอินลูบขนแขนที่ลุกซู่ของตนเอง
อู๋อู๋ไม่รู้สึกกระดากใจเลยสักนิด หันมาให้ความสนใจเธอ “แน่นอนสิ หลายปีที่ผ่านมา อินอินเป็ลูกสาวคนเดียวของพ่อกับแม่ หากพ่อแม่ไม่รักลูกแล้วจะไปรักใคร”
“รักหนูจริงๆ หรือคะ”
ซูอินยิ้มอ่อน ในเวลาต่อมาเธอชี้ไปที่ปิ่นโต “่นี้อากาศร้อนมาก พักกลางวันหนูต้องหิ้วปิ่นโตไปส่งให้คุณแม่ กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลแทบจะเป็ลม หนูพูดออกไปแค่นั้น คุณแม่กลับตำหนิหนูอย่างแรง บอกว่าหนูหนักไม่เอาเบาไม่สู้”
ทิศที่นิ้วของเธอชี้ไป คนของตระกูลหลิงและตระกูลซูต่างหันไปมองปิ่นโตซึ่งวางอยู่บนตู้กับข้าว
ปิ่นโตนั้นเป็ปิ่นโตสเตนเลสสี่ชั้น แค่ดูก็รู้แล้วว่าน้ำหนักไม่เบา หากด้านในใส่ซุปหรือน้ำแกงจนเต็ม ต่อให้เป็ผู้ใหญ่ถือก็คงรู้สึกหนักเช่นกัน
แน่นอนว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความหนักเบาของปิ่นโต แต่เป็เพราะอากาศที่ร้อน เด็กสาวซึ่งไม่ได้พักผ่อน่พักกลางวัน แต่กลับถูกใช้ให้ไปส่งอาหารที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล ไม่เพียงแค่นั้น อากาศร้อนจนหอบ พอเอ่ยปากพูดกลับถูกต่อว่า
นี่เป็เพราะรักลูกจริงๆ หรือ?
การกระทำเ่าั้มีสิ่งไหนบ้างที่ใกล้เคียงกับคำว่า “รัก”
ในห้องรับแขกเงียบกริบไปชั่วขณะ คนของตระกูลหลิงยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉย แต่คนของตระกูลซูกลับมีเสียงสูดหายใจด้วยท่าทีฮึดฮัดขึ้นทีละคน
อู๋อู๋รู้สึกร้อนรน “อินอิน พูดจาไร้สาระอะไรกัน!”
สิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือใบหน้างุนงงของซูอิน อีกทั้งยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า “คุณแม่บอกว่ารักหนูที่สุดไม่ใช่หรือคะ ทำไมขึ้นเสียงใส่หนูแบบนี้”
อู๋อู๋ชะงัก เธอรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ปกติ
วินาทีต่อมา ลางสังหรณ์ของเธอก็เป็จริง
ในตอนแรกเมิ่งเถียนเฟินคิดว่าการให้บุตรสาวของตนเองอยู่ในเมืองต่อไปคือตัวเลือกที่ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ดี เธอยอมแม้จะต้องเ็ป แต่จากที่เห็นในตอนนี้ สถานการณ์กลับไม่เหมือนสิ่งที่เธอจินตนาการไว้เลยสักนิด สายสัมพันธ์ของมารดาและบุตร เธอรู้ว่าอินอินไม่ได้โกหก
“คุณหมออู๋ ในเมื่อลูกเต็มใจ ก็ให้เธอกลับไปดีไหมคะ”
แววตาของเมิ่งเถียนเฟินขอร้องด้วยความจริงใจ อู๋อู๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
สมกับเป็แม่ลูกกัน ต่างก็เชื่อถือไม่ได้ เื่ที่ตกลงกันเสียดิบดีแล้วล้วนกลับคำได้
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็ผลดีกับเธอนัก อู๋อู๋รู้ดีว่าอินอินจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ
เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไร เธอรีบคิดวิธีแก้ไข สมองขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเห็นปฏิทินบนโต๊ะน้ำชา สมองก็เกิดความคิดขึ้นในทันใด
“ไม่ใช่ว่าฉันจะให้หรือไม่ให้ไป…พวกคุณดูสิ อีกไม่นานก็จะถึงเวลาสอบเข้ามัธยมปลายแล้ว ถือเป็่เวลาสำคัญที่สุด หากอินอินไปอยู่ที่นู่นจะต้องกระทบต่อเวลาทบทวนหนังสือ เช่นนั้นให้เธออยู่ที่นี่ไปก่อน รอจนสอบเสร็จแล้วค่อยหารือเื่นี้อีกทีดีไหม”
---------------------------------------------------------------------
[1] หลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติม หมายถึง หลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติมที่เทียบเท่ากับปริญญาโท ซึ่งเมื่อได้ศึกษาและผ่านการสอบก็จะได้รับใบประกาศนียบัตร หากมีคุณสมบัติตรงตามกำหนด จะสามารถสอบเทียบเท่ากับปริญญาโท