“เฮ้อ แกยังเล็ก ตอนนี้เลยไม่เข้าใจ สรุปคือต่อไปหากแกหาคู่ ขอความเห็นชอบจากพ่อแม่พี่น้องก่อนจะดีที่สุด อย่าเป็เหมือนฉัน ดูใจมาตั้งนาน ที่บ้านไม่ยินยอม สุดท้ายก็ต้องเลิกราอยู่ดี” เธอต้องเตือนน้องสาวคนเล็กไว้ ป้องกันไม่ให้หล่อนถูกยุวปัญญาชนหลอกในอนาคต เจิ้งหยวนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่าง หาคู่ห้ามดูแค่ฐานะครอบครัวฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด ต้องมองด้วยว่าคนนั้นนิสัยยังไง ต้องมีความรับผิดชอบและแน่วแน่ พวกหนุ่มหน้าขาว [1] สักแต่พูดคำหวาน ห้ามเอาเลยจะดีที่สุด!”
“…ถ้าอย่างนั้นเมื่อก่อนพี่ชอบหลินเสี่ยวหยางตรงไหนเหรอ?ฉันจำได้ว่าทุกครั้งที่พี่พูดถึงคนแซ่หลิน
พี่มักจะชมว่าเขาเป็คนเมืองซื้อข้าวกินตลอด เหมือนไม่เคยพูดว่าหลินเสี่ยวหยางมีความรับผิดชอบหรือแบกรับภาระเลย”
เจิ้งเจวียนเอ่ยถาม
“…” เจิ้งหยวนนิ่งไปนิด เธอบอกน้องสาวทุกอย่างเลยหรือ! เกลียดน้องไม่ใช่หรือ ทำไมแชร์เื่ลับขนาดนี้ให้น้องฟัง? สมองเธอต้องโดนลาถีบแล้วแน่ๆ ! เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนเอ่ยว่า “เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเลิกกับหลินเสี่ยวหยาง เดิมทีเขาก็มีข้อดีอยู่บ้างที่เป็คนในเมือง แต่พอพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ฉันก็ต้องเลิกกับเขา”
“งั้นก่อนหน้านี้ที่พี่เถียงพ่อ พ่อตีพี่แรงขนาดนั้นแล้วยังไม่เลิกกันเล่า?”
“…” เจิ้งหยวนไม่รู้จะพูดสิ่งใดดี
เมื่อเห็นผู้เป็พี่ไม่ตอบ เจิ้งเจวียนจึงเอ่ยเรียก “พี่คะ?”
เจิ้งหยวนหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบ“นั่นเป็เพราะว่าฉันกำลังอารมณ์เสียต่างหาก?”
“อ้อ” เจิ้งเจวียนมองรอยแดงบนแขนของเธอ แล้วกล่าวต่อ “พี่ ต่อไปนี้พี่ต้องควบคุมอารมณ์บ้าง ทะเลาะกับพ่อแต่ละที พี่เคยชนะเหรอ?”
“…” เจิ้งหยวนเหมือนจุกในอก สมกับเป็น้องสาวเธอจริงๆ ตอกย้ำเธอทุกประโยคเสียจนพูดไม่ออกเลย! เธอกลอกตาพลางว่า “เอาละๆ หยุดถามมั่วซั่ว แล้วรีบไปเรียนหนังสือหนังหาได้แล้ว! ไม่เรียนก็ไปตัดหญ้าเลี้ยงหมู อย่างน้อยก็ยังได้แต้มมาบ้าง”
เจิ้งเจวียนยิ้มแห้ง เธอเรียนไม่เก่ง ไม่มีโอกาสถูกรับรองเข้ามัธยมปลาย เลยไม่ได้เรียนต่อ เธอจึงหันหลังแล้ววิ่งพรวดออกไปข้างนอกแทน “งั้นฉันไปตัดหญ้าเลี้ยงหมูก่อนดีกว่า” แต่ทว่าพอเดินถึงหน้าประตูก็ถอยกลับมา “เอ่อ... พี่ กิ๊บติดผมสีแดงอันนั้น ให้ฉันยืมใส่พรุ่งนี้นะ?”
“กิ๊บติดผม?” เจิ้งหยวนงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยนึกออกว่ามีกิ๊บติดผมพลาสติกอันนี้อยู่ มันเป็ของที่หลินเสี่ยวหยางให้มา ครอบครัวเธอไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อของพวกนี้หรอก คิดได้ดังนั้น เธอจึงว่าพลางโบกมือ “ตามใจสิ แกเอาไปเถอะ” อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่ของสำคัญ ไม่จำเป็ต้องเก็บไว้ดูต่างหน้าsivd
เจิ้งเจวียนะโโลดเต้นอย่างดีใจ ก่อนหยิบกิ๊บติดผมสีแดงแล้ววิ่งร่าเริงจากไป
่มื้อค่ำ เจิ้งหยวนทานข้าวร่วมกับคนในครอบครัว แม้คุณพ่อจะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ก็ไม่พูดว่าจะปล่อยให้เธอหิวอีก
คนชนบทนิยมจัดโต๊ะกินข้าวเย็นที่ลานเรือนในฤดูร้อน พระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ท้องฟ้ายังไม่มืด รวมทั้งอากาศเย็นสบาย ต้นเดือนหกยุงไม่เยอะมากนัก เวลาทานข้าวข้างนอกเลยไม่โดนกัด ทั้งครอบครัวจึงพากันมานั่งล้อมโต๊ะเล็กๆ กินข้าวพลางคุยเล่นด้วยกัน
พี่ชายใหญ่ เจิ้งเทียนิอดหยอกล้อเจิ้งหยวนไม่ได้ “ฉันได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าเธอจะแต่งให้เฝิงเจี้ยนเหวินแล้วเหรอ? น้องรอง ฉันบอกไว้ก่อน ในเมื่อเธอตัดสินใจแต่งไปแล้ว เธอต้องเปลี่ยนนิสัยเ้าอารมณ์นะ แต่ก่อนฉันเรียนหนังสือกับเฝิงเจี้ยนเหวิน เขาก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีหรอก แรงเยอะด้วย เป็ทหารมาหลายปี ต้องรุนแรงขึ้นกว่าเดิมแน่ หากต่อไปพวกเธอสองคนทะเลาะกันแล้วอยู่ๆ ลงไม้ลงมือจะทำยังไงล่ะ? เธอสู้เขาไม่ไหวหรอก ถ้าโดนตบจริงๆ เธออย่ามาอ้อนวอนขอร้องให้ฉันแก้แค้นแทนละ ฉันบอกเลยนะ ฉันสู้เขาไม่ได้เหมือนกัน…โอ๊ย เธอเตะฉันทำไมเนี่ย!” เจิ้งเทียนิถลึงตาใส่เฝิงิเยว่
เฝิงิเยว่จ้องเขม่นเขากลับ ก่อนคีบถั่วแขกให้เจิ้งหยวน “เธออย่าไปฟังพี่ชายเธอพูดจาไร้สาระเลย เจี้ยนเหวินเขาเป็ทหาร ไม่มีทางตบตีผู้หญิงตามอำเภอใจหรอก หรือต่อให้ทะเลาะกัน เขาก็จะยอมเธอแน่ เธอเด็กกว่าเขาตั้งหลายปีนะ”
เจิ้งหยวนมองค้อนพี่ชาย แล้วพูดท้วง “ใครว่าล่ะ พี่ชายยังไม่เคยยอมฉันเลย!”
เฝิงิเยว่เอ่ยเปรียบเทียบเจิ้งเทียนิอย่างตรงไปตรงมา “พี่ชายเธอเป็ชาวนา จะเทียบนายทหารได้ยังไง คนเขาคุณภาพสูง”
“เฮ้ เฝิงิเยว่ ฉันคุณภาพต่ำตรงไหน? เธอดูถูกชาวนาอยู่นะ!” เจิ้งเทียนิแสร้งไม่พอใจ
เฝิงิเยว่คีบผักให้เขา “รีบกินเข้าเถอะ!”
เป็ฝ่ายเฉินชุ่ยอวิ๋นที่พูดกะทันหัน “พรุ่งนี้แกไปอำเภอ จะคุยกับหลิน หลิน…”
“หลินเสี่ยวหยาง” เจิ้งหยวนบอก
“อ้อใช่ หลินเสี่ยวหยาง” เฉินชุ่ยอวิ่นพูดต่อ“จะคุยกับหลินเสี่ยวหยางยังไง?”
“จะคุยอะไรอีกล่ะ บอกความจริงสิคะ” เจิ้งหยวนว่าพลางกัดวอวอ [2] คำหนึ่ง
เชิงอรรถ
[1] หนุ่มหน้าขาว หมายถึง ผู้ชายไก่อ่อน คอยเกาะผู้หญิงกิน
[2] วอวอ หมายถึง อาหารประเภทแป้งที่นิยมรับประทานกันในภาคเหนือของจีน ทำจากแป้งข้าวโพด และมีบ้างที่ใช้ธัญพืชชนิดอื่น ได้ชื่อว่า วอ ซึ่งหมายความว่ารังนก เพราะมีหน้าตาเป็ทรงกรวย หรือครึ่งวงกลม และมีรูตรงกลางฐานคล้ายรังนก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้