ซือถูเวยมองท่าทางงุนงงของสหายรักตน ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง “วันนี้เป็วันมงคลของเ้ากับหานอ๋อง แน่นอนว่าเ้าสาวก็ต้องเป็เ้า อวิ๋นซีน่ะสิ มิเช่นนั้นเ้าอยากให้เป็ผู้ใดกันเล่า” ์รู้ดีว่า ในตอนที่บิดาอวิ๋นไปแจ้งแก่นางว่า อวิ๋นซีจะแต่งให้หานอ๋อง นางที่เป็สหายสนิทตื่นเต้นดีใจแทนคนเป็เ้าสาวเพียงไร
ไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็นับว่าสมดังปรารถนาของอวิ๋นซีเลยนี่ หากนางแต่งงานกับหานอ๋อง ฐานะของนางก็จะสูงส่งเสียยิ่งกว่าลู่เหวินเจิ้น และเมื่อถึงตอนนั้นลู่เหวินเจิ้นก็ทำอะไรคนของโรงหมออวิ๋นซานไม่ได้แล้วอีกทั้ง หากได้มีหานอ๋องผู้ยิ่งใหญ่เป็ที่พึ่ง ในวันหน้านางจะวางท่าอย่างไรในหานโจวก็ไม่มีใครกล้าพูดอันใดแล้ว
ตอนนี้อวิ๋นซีตื่นเต็มตาแล้ว นางผุดลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันแล้วจึงพูดเสียงดัง “ซือถูเวย เ้าช่วยบอกข้าอีกทีเถิด ใครจะแต่งให้หานอ๋องจอมยั่วยวนคนนั้นนะ” นางเพียงหลับไปตื่นหนึ่ง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็มีคนมาบอกว่า ตนจะแต่งให้หานอ๋อง นี่มันเื่ตลกอะไรกัน ให้นางแต่งให้จวินเหยียน? เื่นี้จะเป็ไปได้หรือ?
ซือถูเวยถูกเสียงะโของอีกฝ่ายทำให้ใจนเผลอล่าถอยไปสองก้าวขณะมองหน้าอวิ๋นซี จากนั้นจึงพูดอ้อมแอ้ม “อาซี อย่าบอกนะว่า เ้าไม่รู้ว่าวันนี้เป็วันมงคลของเ้า เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่พ่อบ้านของจวนอ๋องนำขบวนสินสอดมาที่นี่ ชาวบ้านทั่วทั้งหานโจวล้วนเห็นมากับตา อีกทั้งบิดาเ้าเองก็ได้ตอบตกลงไปแล้ว”
ตอนนี้ซือถูเวยเองก็รู้สึกว่าตนมองอวิ๋นซีไม่ค่อยทะลุปรุโปร่งนัก ทั้งที่หานอ๋องเป็คนดี ไม่ลุ่มหลงในอิสตรี ดังนั้น ในวันหน้าไม่ว่าอย่างไรคนย่อมใช้ชีวิตร่วมกันกับอวิ๋นซีไปได้ตลอด แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ไม่ชอบใจในหานอ๋องถึงเพียงนั้นนะ?
“ข้าจะไปหาบิดาข้า” เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีที่กำลังคิดจะเดินออกไปนอกประตูห้องก็ชนเข้ากับเตี๋ยชุ่ยที่นำคนเดินเข้ามา เพียงมองปราดเดียวนางก็เห็นว่า สาวใช้ที่เดินตามหลังเตี๋ยชุ่ยมานั้นกำลังยกชุดแดงมงคลเข้ามา ฉับพลันนั้นหัวคิ้วนางขมวดมุ่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและไม่พอใจ “เตี๋ยชุ่ย นี่มันเื่อะไรกันแน่? ”
“คุณหนู นายท่านให้ข้ามาเร่งให้ท่านรีบเปลี่ยนเป็ชุดแต่งงาน ยามนี้ขบวนรับเ้าสาวของท่านอ๋องจวนจะมาถึงแล้วเ้าค่ะ” เตี๋ยชุ่ยกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย และหากเป็ไปได้ วันนี้ทั้งวันนางก็ไม่อยากจะปรากฏตัวต่อหน้าคุณหนูของตนอีกเลย อย่าคิดเพียงว่าในยามปกติคุณหนูมักจะใจดีกับผู้อื่นและเหล่าคนรับใช้ เพราะในความเป็จริง หากให้คุณหนูได้โกรธแล้วละก็ นั่นจะถือเป็สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ทว่า ตระกูลอวิ๋นนี้มีแค่คุณหนูและนายท่านเป็เ้านายเพียงสองคน ส่วนตัวนางก็เป็สาวใช้เพียงคนเดียว ดังนั้น หน้าที่รับใช้คุณหนู ซึ่งรวมถึงการช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้านี้ แน่นอนว่าเป็นางที่ต้องรับหน้าที่นี้ไป ยิ่งกว่านั้น นายท่านยังกำชับว่า ต่อให้คุณหนูจะโกรธ วันนี้ก็จำต้องพาขึ้นเกี้ยวเ้าสาวให้ได้
“หากขบวนรับเ้าสาวมาถึงแล้วก็ให้นายท่านเ้าสวมชุดเ้าสาวข้า และไปแต่งให้โอวหยางจวินเหยียนสิ ข้าจะบอกพวกเ้าให้นะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่แต่ง” ทันทีที่พูดจบนางก็ผลักเตี๋ยชุ่ยให้ออกไปด้านนอก ทว่านางที่เพิ่งเดินออกไปนอกเรือนชั้นในก็บังเอิญเห็นจวินเหยียนในชุดมงคลสีแดงสดกำลังเดินเข้ามา
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเขาก็โกรธจนแทบะเิ นางรุดเดินไปด้านหน้าพร้อมพูดเสียงดังด้วยความกราดเกรี้ยว “โอวหยางจวินเหยียน ท่านนี่ นี่มันอะไรกันแน่? ข้าไปบอกั้แ่เมื่อใดว่าจะแต่งให้ท่าน” คนผู้นี้สมควรตายนัก เขาทำทุกอย่างเองโดยพลการ
ครานี้คงไม่ต้องพูดถึงความแค้นระหว่างตระกูลเฉียวและตระกูลโอวหยาง และให้มองเพียงพวกเขาสองคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่บุรุษผู้นี้กลับจะมาสู่ขอนางไปแต่งด้วย นี่นับเป็การหาเื่กันชัดๆ นอกจากนี้ นางยังพอเดาได้ว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาพาตนจากไป แต่ต่อมายังยอมให้ตนรั้งอยู่ในหมู่บ้านสกุลโจวอีกสองสามวันก็คงเพื่อเป็การยืดเวลากลับบ้านให้ออกไป เพื่อที่คนของเขาและบิดานางจะได้มีเวลาจัดแจงเื่เหล่านี้
ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้มองดูรอบทิศ ยามนี้มีผ้าไหมและโคมไฟสีแดงสดถูกประดับไว้เต็มไปหมด อวิ๋นซีก็รู้สึกได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากตอนที่นางเพิ่งกลับมาถึงที่นี่ ในตอนนั้นยังไม่มีการตกแต่งเช่นนี้ และเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนก่อนที่ตนจะนอนหลับ ในตอนนั้นจำได้ว่าก่อนหลับไป เตี๋ยชุ่ยได้ยกโจ๊กถ้วยเล็กๆ มาให้นาง...ในที่สุดนางก็เข้าใจเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว นางคงจะหลับไปนานมากเป็แน่ นานจนที่นี่ตกแต่งเสร็จแล้ว ส่วนคนที่เป็ผู้สมรู้ร่วมคิดให้อีกฝ่ายกระทำเื่เหล่านี้ก็คือบิดาของตนอย่างอวิ๋นซาน และสาวใช้เตี๋ยชุ่ย
ตอนนี้เรียกได้ว่านางโกรธจัดเสียจนอยากจะพุ่งออกไปมัดตัวคนไว้แล้วตีเสียให้เข็ด โดยเฉพาะเตี๋ยชุ่ยคนทรยศตัวน้อยผู้นี้
โอวหยางจวินเหยียนยิ้มบางๆ ขณะมองดูท่าทีเกรี้ยวกราดของนาง สำหรับสีหน้าและท่าทีของนางที่เป็เช่นนี้ ตนพอจะคาดเดาได้ั้แ่แรกแล้ว ดังนั้น ยามนี้เขาจึงทำเพียงสะบัดมือไปทีหนึ่ง ทำให้คนทั้งเรือนพากันออกไปจนหมด
คนทั้งสองสี่ตาสบประสาน เขามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ขณะที่นางมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดถึงขนาดที่อยากจะฆ่าชายตรงหน้านี้ให้ตายๆ ไปเสีย ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็หาได้สนใจในสายตาที่จ้องมองตนราวกับศัตรูแม้แต่น้อย ทั้งยังส่งยิ้มให้แล้วเริ่มพูด “มิใช่เ้าหรือที่บอกว่าอยากจะเป็สตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในนครหานโจว เ้าก็น่าจะรู้ว่า ชายาหานอ๋องคือสตรีที่มีอำนาจที่สุดในนครหานโจว ดังนั้น หากเ้ามาเป็ชายาข้า ทุกอย่างในจวนอ๋องล้วนให้เ้าเป็ผู้ดูแล รวมถึงข้าด้วย อีกประการ นับแต่นี้ไม่ว่าเ้าจะอยากรู้เื่อะไร หรืออยากจะควบคุมใครก็ย่อมทำได้ ข้าคิดว่า ด้วยสถานะนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดีกว่าการที่เ้าเป็เพียงหมอหญิงตัวเล็กๆ อยู่ที่นี่มากนัก กระทั่งลู่เหวินเจิ้นเองเมื่อได้เจอเ้าก็ยังต้องเรียกขานเ้าอย่างนอบน้อมว่า พระชายา”
เขาช่วยจัดผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงของนางอย่างเบามือ แล้วจึงกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น ยามนี้พวกเราร่วมมือกันอยู่ หากเ้าอยู่ที่โรงหมอแห่งนี้กับบิดาเ้า เมื่อเ้าคิดจะเคลื่อนไหวทำการใด สุดท้ายก็คงต้องถูกจำกัดอยู่ดี ทว่า หากอยู่ในจวนอ๋อง ทุกสิ่งย่อมแตกต่าง ตัวเ้าจะได้อยู่อย่างอิสระ ถึงกระนั้นข้าก็ขอแค่เ้าไม่เอาตนเข้าไปเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าเื่ใด ข้าก็จะไม่ก้าวก่าย รวมถึงคนในจวนอ๋อง ข้าก็จะยกให้เ้ามีอำนาจสั่งการได้หมด”
เขามองนางด้วยแววตาแย้มยิ้มที่เหมือนกำลังจะพูดว่า ดูสิ แต่งให้ข้ามีข้อดีตั้งมากเพียงนี้ เ้ายังจะรออะไรอยู่อีก?
อวิ๋นซีคิดตามคำพูดของเขาโดยละเอียด ยิ่งคิดไปคิดมาก็เงียบนิ่งไป ชายาหานอ๋อง? แท้จริงแล้วสิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็นับว่าถูก ชายาหานอ๋องนั้น นอกจากตัวหานอ๋องเองที่นับเป็ผู้ที่สูงส่งที่สุดในนครหานโจวนี้ ตัวนางก็จะได้เป็สตรีที่มีอำนาจสูงสุด
นางหัวเราะเ็า “หากจะเป็ชายาหานอ๋อง ไม่ใช่ท่านจะบอกว่าใช่ก็ต้องใช่เสมอไป สตรีผู้นั้นจำต้องมีชื่อในอวี้เตี๋ย [1] ของราชวงศ์ถึงจะนับว่าใช่ ดังนั้น หากไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าเชื้อพระวงศ์ ตำแหน่งชายาอ๋องของข้าก็เป็ได้แค่เื่ตลกเื่หนึ่งที่ให้ผู้อื่นมาขบขันเท่านั้น”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อข้าเลือกเ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ทำให้เ้าต้องกลายเป็เพียงเื่ตลกให้ผู้อื่นมาขบขันอย่างแน่นอน เสี่ยวซีซี ั้แ่ตอนที่ข้าถูกเสด็จพ่อเนรเทศมาอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงมอบราชโองการหนึ่งแก่ข้า ในวันหน้าเื่การแต่งงานของข้าให้ข้าตัดสินใจเอง ราชวงศ์จะไม่ก้าวก่ายอย่างเด็ดขาด”
หากพูดให้น่าฟังก็คือการไม่ก้าวก่าย แต่หากพูดให้ถูก พูดให้ชัดก็คือเขาถูกคนในราชวงศ์ทอดทิ้งไปแล้วนั่นเอง เื่ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขา ฮ่องเต้จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยอีกแล้ว หรืออาจจะถึงขนาดที่ไม่อยากจะรับรู้อีกแล้วด้วยซ้ำ
คำพูดเ่าั้ของเขา อวิ๋นซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดเมื่อต้องมาได้ยินเขาพูดจาเช่นนี้ ในใจนางก็ให้รู้สึกแย่เป็อย่างมาก เขาที่ถูกบิดาตนทอดทิ้งนับแต่ยังเล็ก อีกทั้ง ใน่หลายปีมานี้อาจต้องได้พบเจอกับการลอบสังหารไม่มากก็น้อยกระมัง เนื่องด้วยตามนิสัยของหวงกุ้ยเฟยและโอวหยางเทียนหัว พวกเขาย่อมไม่มีทางยอมให้โอรสสายตรงของฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่แน่ หรือต่อให้อีกฝ่ายจะเป็เพียงโอรสที่ถูกทอดทิ้งไปแล้วก็ตาม
เมื่อเห็นสีหน้านางดูเศร้าหมองเล็กน้อย จวินเหยียนกลับมีความสุขด้วยคิดว่านางคงกำลังสงสารตัวเขาอยู่เป็แน่ ทั้งยังรู้สึกได้ว่าจะอย่างไรในใจของสตรีนางนี้ก็ต้องมีตนอยู่บ้าง “เป็อย่างไร? ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้วใช่หรือไม่”
อวิ๋นซีขบคิด และรู้สึกว่าเขาพูดจามีเหตุผลยิ่ง หากยังอยู่ที่นี่ ไม่ว่านางจะทำเื่ใดล้วนมีข้อจำกัด หากว่าอยู่ในจวนอ๋อง นางที่เป็บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว บิดาอวิ๋นก็คงไม่สามารถควบคุมนางได้ทุกเื่กระมัง ดังนั้น หากให้พูดตามตรง การอยู่ในจวนอ๋องก็สะดวกกว่าจริงๆ
แต่ว่า การแต่งงานหมายความว่าอย่างไร ตัวนางก็ย่อมรู้ดี เพราะประสบการณ์จากชาติก่อนที่ตัวนางเปิดโอกาสให้คนตระกูลโอวหยางใส่ร้ายป้ายสีจนต้องมีอันเป็ไปทั้งตระกูล แล้วในชาตินี้นางยังต้องผูกติดอยู่กับคนตระกูลโอวหยางอีกหรือ?
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] อวี้เตี๋ย(玉牒)หมายถึง คัมภีร์ลำดับวงศ์ตระกูลของเชื้อพระวงศ์ที่มีมาั้แ่สมัยราชวงศ์ถัง