เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้ามายังตัวเมืองเตี๋ยฮวา มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งท้องว่างมาทั้งวันก็หิวจนไส้กิ่ว คราได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมตามท้องถนน ก็อดไม่ได้ที่จะะโออกไปว่าหยุด!
เมื่อได้ยินเสียงร้องให้หยุด คนขับก็หยุดรถม้าทันที
“มีเงินหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นขบริมฝีปาก มือลูบไปยังกระเป๋าอันว่างเปล่าของตน ก่อนจะมองไปยังฉู่ลี่ซึ่งนั่งอยู่ ข้าง ๆ
ฉู่ลี่ได้ยินก็เลิกคิ้ว ก่อนจะตอบอย่างเนือย ๆ “ไปถามติงเสี่ยน”
“ได้” มู่อวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยความดีใจ ลุกขึ้นแล้วเปิดม่านะโออกจากรถม้า ยื่นมือออกไปทางติงเสี่ยน “ข้าขอเงินหน่อยสิ”
ติงเสี่ยนกระตุกมุมปาก เขาได้ยินสิ่งที่ฉู่ลี่บอกอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนจะหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหยิบมันวางไว้บนฝ่ามือของมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบถุงเงิน ก่อนจะล้วงหยิบเศษเงินที่กระจัดกระจายออกมา จากนั้นโยนถุงเงินกลับไปให้ติงเสี่ยน แล้ววิ่งไปที่แผงลอยเล็ก ๆ ไม่ไกล
ไม่นานนัก มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินกลับมาพร้อมถุงกระดาษมัน ติงเสี่ยน้าจะช่วยพยุงนางขึ้นรถม้าอีกครา แต่มู่อวิ๋นจิ่นราวกับว่ามองไม่เห็นติงเสี่ยเสียด้วยซ้ำ นางะโพรวดขึ้นไปยังรถม้าด้วยตัวเองทันใด
ติงเสี่ยนขมวดคิ้วมุ่น เมื่อนึกถึงสถานการณ์คล้ายกันในเขตชานเมืองตอนนั้น อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย เหมือนกับว่าคุณหนูสามคนนี้จะมีทักษะพิเศษอย่างไรอย่างนั้น
ในรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่งจะนั่งลง จวนจะรอไม่ไหวที่จะเปิดถุงกระดาษมันในมือออก ซาลาเปาร้อน ๆ สองสามลูกก็ปรากฏขึ้นมาในสายตา
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบซาลาเปาขึ้นมา ก่อนจะกัดเข้าไปเต็ม ๆ คำ
ฉู่ลี่มองไปที่ซาลาเปาก้อนกลม สายตาของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยหน่าย เมื่อเขามองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่กำลังกินอย่างมีความสุข ความประหลาดใจก็วาบขึ้นในหัวของเขา
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นหญิงคนไหน กินซาลาเปาได้เอร็ดอร่อยมากมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“กินด้วยหรือไม่?” หลังจากกินซาลาเปาไปหนึ่งลูก ตอนนั้นมู่อวิ๋นจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคนอื่นอยู่ข้างนางด้วย นางจึงยื่นถุงกระดาษมันนั้นให้คนตรงหน้า
ฉู่ลี่ส่ายหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มและไม่ได้พูดต่อ องค์ชายสูงส่งเช่นนี้ถูกเลี้ยงดูมาราวกับเทพ จะมาสนใจของพวกนี้ได้อย่างไรกัน
…
เมื่อรถม้ามาจอดที่หน้าประตูจวนเสนาบดีมู่ ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดลงแล้ว บ่าวที่อยู่แถวประตูเมื่อเห็นรถม้ามาจอด ก็เดินเข้ามา
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงจากรถม้ามาก่อน เมื่อเห็นบ่าวที่จวนเดินมาก็เอ่ยปาก “ลุงหวัง ไปเรียนท่านพ่อที ว่าองค์ชายหกเสด็จ”
ลุงหวังใสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยิน ก่อนจะมองไปยังคนที่ลงจากรถม้าหลังมู่อวิ๋นจิ่น คนที่อยู่ในอาภรณ์งดงามหรูหรานั้น ซึ่งแสดงออกถึงความสง่างามและสูงส่ง เขาคือองค์ชายหกฉู่ลี่!
ขณะตกอยู่ในห้วงความคิด ลุงหวังก็พยักหน้ารับและวิ่งเข้าไปด้านในจวน
“องค์ชายหก เชิญเข้าไปด้านในด้วยกันเถิดเพคะ” เมื่อลุงหวังไป มู่อวิ๋นจิ่นก็หันตัวกลับ มองไปที่ฉู่ลี่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
“อืม” ฉู่ลี่ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปข้าง ๆ มู่อวิ๋นจิ่นเพื่อเดินเข้าไปด้านในจวนด้วยกัน
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปยังโถงด้านหน้า ก็พบกับเสนาบดีมู่ ซูปี้ชิง มู่หลิงจูและคนอื่นค่อย ๆ เข้ามา พวกเขาเ่าั้ไม่มีเวลาพอที่จะสงสัยว่าเหตุใดมู่อวิ๋นจิ่น ถึงได้มากับฉู่ลี่ได้ จึงทำได้แค่ทักทายฉู่ลี่ก่อน
“ข้าน้อยขอคาราวะองค์ชายหกพะยะค่ะ” มู่เซียงโค้งคำนับให้ฉู่ลี่เพื่อแสดงความเคารพ
ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูก็แสดงความเคารพเช่นเดียวกัน
“ท่านเสนาบดีมู่มิต้องมากพิธี วันนี้ข้าเองได้รับคำเชิญจากคุณหนูสาม ขอให้ท่านเสนาบดีมิต้องยุ่งยากมากความเสียจะดีกว่า” ฉู่ลี่พูดเสียงเรียบ คำพูดอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนในน้ำเสียง
เมื่อทุกคนได้ยินว่ามู่อวิ๋นจิ่นเชิญฉู่ลี่มาก็ต่างพากันชะงักงันไปชั่วครู่ บางคนก็สงสัยว่าเหตุใดมู่อวิ๋นจิ่นถึงได้อยู่กับฉู่ลี่ได้
โดยเฉพาะมู่หลิงจู เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่มาด้วยกัน นัยตาของนางก็แดงฉานราวกับไฟลุกโหมกระหน่ำจนไม่สามารถซ่อนไว้ได้
เดิมทีนางคิดว่าชายชุดดำที่พามู่อวิ๋นจิ่นไปนั้นจะไม่ใช่คนดี แต่ที่ไหนได้ นอกจากนางจะรอดชีวิตมาแล้ว ยังกลับมาพร้อมกับองค์ชายหกเสียอีก
หรือว่า...
มู่หลิงจูครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่กล้าที่จะคิดต่อ
“จูเอ๋อร์ เ้ากับอวิ๋นจิ่นมิได้ไปร่วมงานประชันกลอนด้วยกันหรอกหรือ? หรือว่าองค์ชายหกเองก็เข้าร่วมด้วย?” ซูปี้ชิงมีความสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ที่อยู่ตรงหน้า
มู่หลิงจูเม้มริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรจะพูดอย่างไรดีกับเื่นี้
นางเป็คนแรกที่กลับมาถึงที่จวน และนางก็ไม่ได้พูดให้ใครฟังเื่ที่นางเจอโจรระหว่างทาง เพราะนางคิดว่าถ้ามู่อวิ๋นจิ่นไม่กลับมาหลังจากมืดแล้ว นางจะบอกพ่อว่ามู่อวิ๋นจิ่นแค่สนุกและหนีไป
ใครจะรู้เลยว่านางจะโผล่มาพร้อมกับฉู่ลี่เช่นนี้
“ข้าเพียงแค่บังเอิญพบกับคุณหนูสามระหว่างทางเท่านั้น” ฉู่ลี่ตอบคำถามของซูปี้ชิง
ซูปี้ชิงได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มบาง ในใจพลันผุดความคิดบางอย่าง นางเคยได้ยินมาเสมอว่าองค์ชายหกไม่สนใจ ไม่แยแสผู้ใด มักอยู่คนเดียว รักความสันโดษเและยากที่จะใกล้ชิดกับผู้อื่น ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าเขาจะยอมรับคำเชิญของมู่อวิ๋นจิ่น
หากองค์ชายหกผู้นี้ตกหลุมรักมู่อวิ๋นจิ่นจริง ๆ จูเอ๋อร์จะทำเยี่ยงไรต่อไป
…
ณ โต๊ะอาหารยามค่ำ
มู่อวิ๋นจิ่นกินซาลาเปาไปสองสามชิ้นไม่นานมานี้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยอยากอาหารบนโต๊ะนี้มากนัก จึงทำเพียงจิบชาบ้างเป็ครั้งคราวเพื่อให้ชุ่มคอ และสังเกตความเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างเงียบ ๆ
หลังจากมู่หลิงจูนั่งลง นางแทบไม่กล้าส่งสายตาทอดมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น มีเพียงสายตาที่ส่งมาจากซูปี้ชิงที่บอกเป็นัยว่าให้นางช่วยคีบอาหารให้กับฉู่ลี่
ไม่นานนัก ถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าของฉู่ลี่ ก็พูนเสียจนคล้ายกับูเาสักลูก
ทว่าฉู่ลี่ไม่ขยับตะเกียบเลยแม้สักนิด ไม่มีวี่แววว่าจะคีบอาหารเ่าั้เข้าปากเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันมู่หลิงจูก็รู้สึกเก้อเขินต่อท่าทีของฉู่ลี่
“องค์ชายหก มิทราบว่าอาหารถูกปากหรือไม่?” เสนาบดีมู่เห็นว่าฉู่ลี่ไม่ได้ขยับตะเกียบเลย จึงเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง ด้วยความเกรงกลัวว่าตนเองจะทำสิ่งใดไม่ดีหรือทำให้ไม่พอใจตรงไหนหรือไม่
ฉู่ลี่ได้ยินก็เหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปาก “ท่านเสนาบดีกังวลเกินไปแล้ว”
คำตอบของฉู่ลี่ทำให้เสนาบดีมู่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในเหล่าองค์ชายทั้งหมด มีเพียงแค่ฉู่ลี่เท่านั้นที่ยากจะคาดเดา ยากจะทำให้ถูกใจ
ในเวลานี้ ฉู่ลี่กลับมีความติดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา
จากสถานการณ์บนโต๊ะอาหาร มองด้วยสายตาก็แบ่งแยกสถานะในจวนสกุลมู่แห่งนี้ชัดเจน เสนาบดีมู่เป็ใหญ่ จึงนั่งอยู่ตำแหน่งประธานอย่างไม่ต้องสงสัย
ถัดไปทางขวาและซ้าย เป็ฮูหยินใหญ่ซูปีชิงและคุณหนูสี่มู่หลิงจูตามลำดับ
ถัดจากซูปี้ชิงและมู่หลิงจู จะเป็ฮูหยินสามและคุณหนูห้า
มีเพียงลูกสาวคนโตของตระกูลมู่เท่านั้นที่ถูกจัดให้นั่งที่ขอบโต๊ะอาหาร
แต่ถึงกระนั้นเมือมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น เขาก็ได้เห็นการแสดงออกที่ไร้หัวใจของจิ้งจอกน้อยข้าง ๆ ฉู่ลี่คิดเกี่ยวกับเื่นี้ และมองการกระทำของอวิ๋นจิ่นนั้นเปรียบเหมือนการ “แสร้งเป็หมูเพื่อหลอกกินเสือ*”
(* แสร้งทำเป็อ่อนแอไร้น้ำยา เพื่อหลอกลวงให้ศัตรูตายใจ)
ดูเหมือนว่า ข่าวลือที่บอกว่าคุณหนูสามไม่เป็ที่้าจะเป็เื่จริง แต่ข่าวที่บอกว่าคุณหนูสามเป็กระสอบฟางนั้น เป็เื่เท็จ
หลังจากนั่งไปสักพัก ติงเสี่ยนเหลือบมองท้องฟ้า จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงและบอกฉู่ลี่ด้วยเสียงแ่เบาว่า “ฝ่าา ฟ้ามืดแล้ว ค่ำมากแล้วพะยะค่ะ”
ฉู่ลี่เหลือบมองฟ้าเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งถัดไปจากฉู่ลี่ จึงได้ยินสิ่งที่ติงเสี่ยนพูดโดยปริยาย นางเอ่ยถามออกมาว่า “องค์ชายหกจะเสด็จกลับวังแล้วหรือเพคะ?”
“อืม” ฉู่ลี่ตอบออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ค่ำมากแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน ขอบคุณในน้ำใจของท่านเสนาบดีมู่”
“มิได้ มิได้ องค์ชายอย่างทรงเกรงใจเลย” เสนาบดีมู่เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนจะหันไปบอกกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “อวิ๋นจิ่น เ้าไปส่งองค์ชายหกเสียสิ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ
ซูปี้ชิงเห็นดังนั้นก็กระพริบตาไปที่มู่หลิงจูทันทีและกล่าวว่า “หลิงจู เ้าออกไปส่งองค์ชายหกกับท่านพี่ของเ้าเสีย”
“เ้าค่ะ ท่านแม่”
ระหว่างทางไปประตู ติงเสี่ยนขอให้บ่าวรับใช้นำตะเกียงขนาดใหญ่มาให้ เพื่อส่องสว่างตามทางเดินกับฉู่ลี่ พลางเอ่ยเตือนฉู่ลี่เป็ระยะ ๆ ให้ระมัดระวังและเดินช้า ๆ
เห็นเช่นนี้มู่อวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปบนฟ้าและกลอกตา พลางคิดว่าจวนเสนาบดีมู่แห่งนี้เต็มไปด้วยไฟส่องสว่าง แต่ติงเสี่ยนผู้นี้มักมาก ยัง้าที่จะให้มีไฟมาส่องสว่างเพิ่มอีก
เมื่อออกจากประตูจวน มู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดฝีเท้าลง เดิมทีคิดว่าส่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินมู่หลิงจูออกปากเรียกฉู่ลี่
“องค์ชายหกเพคะ หลิงจูมีเื่อยากจะขอคำแนะนำเพคะ” มู่หลิงจูก้าวไปด้านหน้าเพียงไม่กี่ก้าว หยุดอยู่ที่ด้านข้างของฉู่ลี่ ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำลงเล็กน้อยอย่างเหนียมอาย
มู่อวิ๋นจิ่นยืนกอดอก เฝ้ามองดูฉากตรงหน้านี้ด้วยความสนใจ นางรอที่จะดูตอนต่อไปแล้ว
“เื่อันใด?” น้ำเสียงของฉู่ลี่เรียบนิ่งและแฝงความเ็าด้วย
“หลิงจูได้ยินมาว่าองค์ชายหกนั้นมีปรีชาเป็เลิศด้านปรัชญา หลิงจูมีคำถามเล็กน้อย อยากจะให้องค์ชายหกชี้แนะ ไม่ทราบว่าองค์ชายหกพอจะมีเวลาว่างสักเล็กน้อยหรือไม่เพคะ” มู่หลิงจูดวงตาวูบไหว หลังจากถามจบก็เฝ้ารอคำตอบของอีกคนอย่างประหม่า
“ไม่ได้”
คำพูดที่เรียบง่ายและชัดเจน ได้ทำลายความหวังทั้งหมดในหัวใจของมู่หลิงจูในทันที นางไม่คาดคิดว่าฉู่ลี่จะปฏิเสธ หนำซ้ำเขายังปฏิเสธอย่างไม่คิดแม้แต่จะรักษาน้ำใจต่อนางเลยสักนิด นางอดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลงอย่างประหลาดใจ
มู่อวิ๋นจิ่นเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองฉู่ลี่ที่เดินไปยังรถม้าด้วยสายตาชื่นชม องค์ชายน้ำแข็งผู้นี้ดู ๆ แล้ว ก็น่าสนใจดีมิใช่น้อย
ด้านหน้ารถม้า ดูเหมือนฉู่ลี่จะคิดอะไรบางอย่างได้ เขาชะงักชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองที่มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งกำลังยิ้มอยู่ในขณะนั้น และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มู่อวิ๋นจิ่น อีกสามวันจากนี้ข้าจะมาหาเ้า”
“เพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า เพียงคิดว่าจะได้รับเงินสามหมื่นตำลึงทองในสามวันข้างหน้า นางก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
หลังจากพูดจบฉู่ลี่ก็เข้าไปในรถม้า ติงเสี่ยนที่ยืนถือโคมไฟอยู่นั้นได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะเดินไปทางมู่อวิ๋นจิ่น พร้อมยื่นโคมไฟที่ถืออยู่ในมือของตนเองก่อนส่งให้นาง “ขอบคุณสำหรับโคมไฟขอรับคุณหนูสาม”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว ก่อนจะมองโคมไฟอันใหญ่ด้วยสีหน้าเหยเกย ปากรีบะโออกไปทันที “ข้าไม่ได้ให้เ้ายืมโคมไฟเสียหน่อย ขอบคุณข้าได้เช่นไร!”
เมื่อรถม้าของฉู่ลี่เคลื่อนห่างออกไป มู่อวิ๋นจิ่นก็สลัดความคิดตัวเองทิ้งพลางมองไปด้านข้างที่มีมู่หลิงจู นางเม้มริมฝีปากและส่งสายตาเยาะเย้ยออกมา
“น้องสี่ เห็นว่าข้ากลับมาอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ เ้าคงจะผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่เล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้มเย็น
มู่หลิงจูได้ยินก็เข้าใจได้ในทันทีว่ามู่อวิ๋นจิ่นหมายความว่าอย่างไร และเมื่อนึกถึงเื่ฉู่ลี่เมื่อครู่ ความโกรธเกรี้ยวของนางก็เดือดพล่าน นางกัดฟันกรอดก่อนจะพูดกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “ใช่แล้ว ข้าผิดหวังเหลือเกิน คนสกปรกแบบเ้า เหตุใดถึงไม่ตาย ๆ ไปเสีย มีชีวิตรอดกลับมาได้เยี่ยงไรกัน!”
“ให้ตายสิ ข้านี่ช่างน่าสงสารเสียจริง หากเ้าอยากจะโทษใคร ก็โทษองค์ชายหกของเ้าแล้วกัน” มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปข้าง ๆ มู่หลิงจู จากนั้นเอนตัวไปกระซิบข้างหู “เพราะว่าชายชุดดำผู้นั้นที่มาช่วยข้าเอาไว้ ก็คือคนรับใช้คนสนิทขององค์ชายหกน่ะสิ”
“ว่าไงนะ?” มู่หลิงจูเซเล็กน้อยราวเสียการทรงตัว ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ ราวกับว่าหัวใจของนางตกลงไปที่ก้นหุบเขาในพริบตา
ทันทีหลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงของมู่อวิ๋นจิ่น ซึ่งแฝงไปด้วยความเ็าและเจตนาเย้ยหยันมู่หลิงจูผู้เป็น้อง “เ้าหลงรักเขามาแปดปี ทว่าเมื่อเ้าตกอยู่ในอันตราย เขากลับไม่สนใจใยดีชีวิตหรือความตายของเ้าเลยแม้สักนิด กลับช่วยชีวิตข้า...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มู่หลิงจู ข้ารู้สึกเสียใจแทนเ้าเสียจริง!”