ตอนที่ 1
จักรพรรดิคนบ้า
หลายวันต่อมา
‘เจอกันตอนสี่ทุ่มที่ร้าน xxx ต้องมาให้ได้เลยนะ! จากลูกปัด’
จื๊อวนอ่านข้อความในโทรศัพท์อยู่นาน เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็เวลาสามทุ่มแล้ว...เ้าของข้อความดังกล่าวคือเพื่อนสนิทสมัยมหา’ลัย เธอเป็คนนิสัยร่าเริงแต่ก็ขี้น้อยใจมากกว่าที่คิด จื๊อนึกอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้า จึงได้แต่มานั่งกลุ้มใจอยู่ตอนนี้
นั่งร้านเหล้าตอนสี่ทุ่ม...ไม่ใช่ทางของเขาเลยจริง ๆ
ทำไมคนอื่นถึงชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืนกันนักนะ สี่ทุ่มนี่มันเวลานอนของจื๊อนะ!
“เฮ้อ...”
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนหงายบนเตียง มองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอย...ไลน์กลุ่มรวมของนักศึกษาคณะการบัญชีที่เงียบเหงาั้แ่เรียนจบ จู่ ๆ ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าดังสามวันสามคืนไม่ยอมหยุดจนต้องปิดการแจ้งเตือนหนี
กระนั้นก็ยังไม่วายถูกลูกปัดทักมาหาผ่านข้อความส่วนตัว บอกว่าเพื่อน ๆ ได้นัดรวมตัวกันเป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามีคนเข้าร่วมจำนวนมากถึงขั้นต้องเหมาร้านกันเลยทีเดียว แม้แต่คนที่ไร้ตัวตนที่สุดในคณะอย่างเล่าจื๊อก็ยังถูกชวนไปด้วย
“...”
จะไม่ไปก็กระไรอยู่...หลังเรียนจบแล้ว ลูกปัดก็บ่นอยากเจอเขาอยู่หลายครั้ง จื๊อที่อุทิศตัวเองให้กับงานก็เลือกที่จะปฏิเสธไปทุกครั้ง หากครั้งนี้ยังปฏิเสธอีกล่ะก็ อีกฝ่ายคงต้องน้อยใจเป็แน่ อีกอย่าง แม้ว่าเขาจะไป ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘คนคนนั้น’ จะไปด้วยเสียหน่อย
จักรพรรดิเป็เ้าของกิจการกลางคืน คงไม่มีทางทิ้งงานมานั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนเก่าที่สถานบันเทิงอื่น ซึ่งถือว่าเป็คู่แข่งทางธุรกิจหรอกมั้ง...
คิดได้ดังนั้นก็ยอมลุกขึ้นจากเตียง หยิบผ้าขนหนูเดินคอตกเข้าห้องน้ำไปในที่สุด
...
22.30 น.
“จื๊อ!! ทางนี้ ๆ”
จื๊อยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าร้าน ครั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็รีบหันไปมองทันที ลูกปัดกำลังโบกมือให้กันจากโต๊ะมุมหนึ่งของร้าน ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อเห็นว่าที่โต๊ะดังกล่าวมีคนนั่งอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว มีที่นั่งเหลืออยู่เพียงแค่สองที่เท่านั้น
“ขอโทษที เรามารถประจำทาง ก็เลยช้า”
“ไม่เป็ไร ๆ ...แต่จื๊อตัวผอมลงหรือเปล่านะ”
ลูกปัดเอ่ยอย่างไม่จริงจังมากนัก ก่อนจะตบเก้าอี้ข้างกายสองสามครั้งเป็เชิงให้นั่งลง สักพักหนึ่งก็หันไปพูดหัวข้อที่ค้างไว้ต่ออย่างออกรสออกชาติ ในขณะที่จื๊อเอาแต่นั่งเงียบ เรียบเรียงคำพูดไปต่อบทสนทนากับคนอื่นไม่ถูก ได้แต่แอบกวาดสายตาสำรวจบรรยากาศของร้านไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
พื้นที่ในร้านขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านในสุดคือเวทียกสูงที่มีไว้สำหรับนักดนตรี มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่แทบทุกมุมของร้านเพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าได้หลายคน อีกทั้งยังมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ยังโชคดีที่มีแสงสีม่วงคอยส่องผ่านไปผ่านมาอยู่เป็ระยะ
เท่าที่รู้ ที่นี่คือร้านเหล้ายอดฮิตของบรรดานักศึกษาในสมัยที่เขายังเรียนอยู่ แทบทุกสุดสัปดาห์ก็มักจะได้ยินเพื่อน ๆ นัดแนะกันที่ร้านนี้เสมอ มีก็เพียงเล่าจื๊อที่ไม่เคยเข้าร่วมด้วยเลยสักครั้ง จบคลาสก็รีบหอบกระเป๋ากลับหอพัก แน่นอนว่าตลอดสี่ปีในรั้วมหา’ลัย ความสนิทสนมที่มีต่อบรรดาเพื่อนร่วมเอกก็ไม่ได้มีมากมายถึงขนาดนั้น
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยรำลึกความหลังกันอย่างสนุกสนาน ตัวเขากลับไม่มีอะไรไปพูดด้วยเลยสักอย่างเดียว...ถึงได้เอาแต่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่อย่างนี้ไงล่ะ
“นี่ จื๊อต้องกินเยอะ ๆ นะรู้ไหม ยิ่งไม่ค่อยมีเนื้อมีหนังอยู่”
ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ เมื่อลูกปัดอาสาตักกับแกล้มให้จนแทบพูนจาน เธอแต่งกายด้วยชุดเดรสสั้นสีแดง เข้ากับเส้นผมที่ถูกย้อมเป็สีบลอนด์ ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอเป็ถึงนางแบบมืออาชีพ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรนัก คนอื่นในโต๊ะเดียวกันก็แต่งกายสีสันฉูดฉาดไม่แพ้กัน จื๊อก้มหน้ามองตัวเองที่ใส่เสื้อยืดสีขาวเรียบ ๆ และกางเกงขายาวก็ได้แต่ดันแว่นขึ้นแก้เก้อ
เอาเถอะ กังวลไปก็เปล่าประโยชน์...ไหน ๆ ก็ถูกชวนมานั่งแล้ว เขาควรจะพยายามชวนคนอื่นคุยดูบ้างดีหรือเปล่านะ
คิดได้ดังนั้นก็เริ่มกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบ หาสิ่งที่คิดว่าน่าจะยกขึ้นมาเป็หัวข้อบทสนทนาได้ เมื่อเห็นเก้าอี้ตัวตรงข้ามยังคงว่างอยู่ก็อดถามไม่ได้
“ตรงนี้ไม่มีคนนั่งเหรอ” ลูกปัดมองเก้าอี้ตัวดังกล่าว ก่อนจะพยักหน้า
“มีสิ เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ...อ๊ะ พูดยังไม่ทันขาดคำ จักร! ทางนี้!”
เดี๋ยว...ใครนะ?
พลันดวงตาใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง บอกตัวเองในใจซ้ำ ๆ ว่าสิ่งที่ได้ยินอาจจะไม่ใช่เื่จริง ในคณะอาจจะมีคนชื่อจักรที่เขาไม่รู้จักอยู่ก็เป็ได้ ทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นร่างสูงที่โดดเด่นกว่าใครกำลังเดินตรงดิ่งมาทางนี้ จื๊อก็แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะให้สลบไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ไอ้จักร ทำไมมาช้านักล่ะวะ เพื่อนถามหากันั้แ่สามทุ่ม”
“ติดธุระที่บาร์นิดหน่อย”
เ้าตัวตอบกลับเสียงเนิบนาบในระหว่างที่หย่อนกายลงนั่ง ทันทีที่สมาชิกใหม่นั่งประจำที่ บรรยากาศในโต๊ะก็คึกคักขึ้นเป็เท่าตัว เมื่อทุกคนแข่งกันปาคำถามใส่จักรพรรดิไม่ยอมหยุด เ้าตัวตอบบ้างเป็บางครั้ง หากคำถามใดไม่อยากตอบก็เงียบใส่เพื่อตัดบท
ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมรัดรูปสีดำและกางเกงยีนสีซีด จื๊อแอบมองภาพตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะสะดุดลงที่รอยสักบริเวณต้นแขนด้านซ้าย ครั้นดวงตาคมสีน้ำตาลเหลือบมามองสบกันเมื่อรู้ตัว พลันร่างขาวปั้นหน้าไม่ถูก รีบหันหน้าหนีไปมองทางอื่นทันที
ลูกปัดที่เห็นอดีตเพื่อนสนิทเอาแต่นั่งเงียบ ไม่ยอมพูดคุยกับใคร จึงหยิบแก้วใบหนึ่งมารินสุราแล้วยื่นให้ หวังให้เ้าตัวได้มีส่วนร่วมสนุกไปกับเพื่อน ๆ ด้วย
“จื๊อดื่มสิ”
“มันคออ่อน”
เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาในระหว่างที่จื๊อกำลังลังเล หญิงสาวหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะหันมาหยอกเอินใส่
“จริงด้วย จำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนปีสาม จื๊อเมาเละเลย ทั้ง ๆ ที่กินเข้าไปแค่ไม่กี่แก้ว”
จื๊อได้ยินดังนั้นก็ยอมไม่ได้ คล้ายกับไฟในใจลุกโชนเพียงถูกศัตรูนิยามว่าเป็คนคออ่อน คนป๊อดที่ไม่กล้าแม้แต่จะดื่มแชมเปญในบาร์โฮสต์เมื่อหลายวันก่อนหายไปชั่วคราว แทนที่ด้วยจื๊อคนกล้าที่รีบรับแก้วมากรอกเครื่องดื่มลงคอจนหมดในครั้งเดียว พยายามเก็บสีหน้าให้เรียบนิ่งในระหว่างที่กระเดือกรสชาติขมปร่าลงไปอย่างสุดความสามารถ
“ตอนนี้ดื่มได้เยอะขึ้นแล้ว”
ก้นแก้วถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะ พร้อมคำกล่าวน้ำเสียงขึงขัง ลูกปัดและเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ เผลออ้าปากค้างอยู่นาน ก่อนหญิงสาวจะหัวเราะแห้งแล้วรีบพยักหน้ารับ ตอนนี้ก็อายุยี่สิบเจ็ดเข้าไปกันแล้ว แต่ละคนก็ต้องมีพัฒนาการเื่ที่อ่อนด้อยกันทั้งนั้น
“นั่นสินะ ทำงานบริษัทก็ต้องมีฝึกดื่มเข้าสังคมบ้างแหละเนอะ”
“แน่ใจเหรอ”
กระนั้น คนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกลับนั่งเท้าคาง เลิกคิ้วถามราวกับไม่เชื่อเสียอย่างนั้น ั้แ่มานั่งก็ไม่ยอมชวนใครคุยก่อน แต่กลับมานั่งจับผิดคนมืดมนประจำคณะอย่างเล่าจื๊อเสียอย่างนั้น
“...”
จื๊อไม่ตอบ เพียงจ้องตากลับด้วยสีหน้าขึงขัง หยิบขวดเบียร์มารินใส่แก้วแล้วกระดกดื่มโชว์ให้ดูอีกครั้งเป็คำตอบ การกระทำแสนไร้สาระนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว นั่นคือเพื่อแก้ข่าวว่าสิ่งที่จักรพรรดิพูดออกมานั้นไม่มีส่วนใดเป็จริงเลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศรอบตัวดูแปลกไป กระทั่งลูกปัดต้องรีบยืนขึ้นชวนทุกคนชนแก้วด้วยน้ำเสียงสดใส ทุกอย่างจึงดูคึกคักขึ้น ไม่นานทุกคนก็ลืมเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ไปจนหมด
…
อดีต
“เมื่อวานขอบคุณสำหรับขนมมาก ๆ เลยนะคะ วันนี้ดิฉันเลยซื้อฝรั่งมาตอบแทน”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ทางนี้เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
เสียงพูดคุยจากหน้าบ้านดังแว่วให้ได้ยิน เด็กชายวัยอนุบาลในชุดนักเรียนแอบชะเง้อคอมองออกไป เห็นแม่ของตนกำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าไม่คุ้นหน้า ข้างกายของเธอมีเด็กผู้ชายสวมชุดอนุบาลโรงเรียนเดียวกันอยู่ด้วย
ร่างเล็กค่อย ๆ เดินมาเกาะหลังประตูแล้วแอบชะโงกมองอยู่อย่างนั้น ทำท่ายักแย่ยักยัน ไม่รู้ว่าควรจะเดินออกไป หรือควรจะแอบอยู่ในบ้าน เล่าจื๊อเป็เด็กขี้อาย นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่กล้าพูดคุยกับใครอีก กระนั้นผู้เป็แม่ก็พยายามจะแก้นิสัยส่วนนี้ ด้วยการให้ลูกชายมีส่วนร่วมในวงสนทนามากที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“จื๊อ ไปแอบอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ มานี่เร็วลูก”
“!!!”
คนที่ตั้งท่าจะหนีเข้าไปในบ้านสะดุ้งเล็กน้อย แอบพองลมจนแก้มป่องแล้วงอแงในใจ แต่สุดท้ายก็ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตากอดกระเป๋าเป้ลายฮีโร่ไปยืนข้างกายผู้ให้กำเนิด แล้วยกมือไหว้ทักทายเพื่อนบ้านคนใหม่ เธอส่งยิ้มให้อย่างใจดี ในขณะที่คนเป็ลูกชายนั้นมีใบหน้าเรียบเฉย ดูไร้อารมณ์จนจื๊อกลัว
“ลูกชายค่ะ ชื่อเล่าจื๊อ ตอนนี้อยู่อนุบาลสอง ห้องม้าน้ำ”
“บังเอิญจริง เ้าจักรพรรดิก็ได้อยู่ห้องม้าน้ำเหมือนกันค่ะ”
คุณแม่ทั้งสองคนหัวเราะประสานกันให้กับความบังเอิญนี้ ก่อนจะหยิบยกเื่อื่นขึ้นมาพูดคุยต่ออย่างออกรสออกชาติ ปล่อยให้เด็กทั้งสองคนยืนจ้องตากันไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
เมื่อก่อนข้างบ้านของจื๊อเป็พื้นที่โล่งกว้าง กระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้าก็มีคนมาซื้อที่แล้วสร้างบ้านหลังใหญ่ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ เด็กชายนึกสงสัยว่าเ้าของบ้านหลังใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนี้จะเป็ใคร ที่แท้ก็คือแม่ลูกสองคนนี้นี่เอง
“เพื่อนเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ เรียนห้องเดียวกับจื๊อด้วย ลูกต้องดูแลเพื่อนด้วยนะ รู้ไหม”
แม่หันมาชี้นิ้วเน้นย้ำ เด็กชายเล่าจื๊อได้แต่พยักหน้ารับแล้วแอบเหลือบมองเพื่อนใหม่อีกครั้ง อีกฝ่ายเพียงมองกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่คิดที่จะทักทายกันสักคำ พลันคนที่ขี้กลัวอยู่แล้วยิ่งใจห่อเหี่ยว ตัดสินใจเดินไปแอบหลังผู้ปกครองแล้วแอบชะโงกหน้าออกไปให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ไหน ๆ ก็เรียนห้องเดียวกันแล้ว ถ้าวันไหนสะดวก เราไปส่งพวกเขาพร้อมกันก็ได้นะคะ”
เพื่อนบ้านคนใหม่เอ่ยชักชวน แม่ของเขาก็เออออยินดีไปด้วยเสียอย่างนั้น ในขณะที่เล่าจื๊อเริ่มหน้างอ ตีขาโวยวายในใจ...เพื่อนข้างบ้านคนใหม่ชื่อเด็กชายจักรพรรดิ นอกจากหน้านิ่งแล้วยังน่ากลัวอีกต่างหาก
ฮื่อ...จื๊อไม่อยากคบเป็เพื่อนเลย!
แม้จะปฏิเสธในใจให้ตายอย่างไร สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็มายืนจังก้าอยู่ที่หน้าโรงเรียน จื๊อหันไปมองแม่ที่ยืนโบกมือให้อยู่หน้ารั้ว เมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้ว เป็หน้าที่ของนักเรียนที่จะต้องเดินไปยังห้องเรียนด้วยตนเอง
“...”
จื๊อกระชับสายกระเป๋าเป้ มองผู้ปกครองของตนที่เดินไปขึ้นรถตาละห้อย...เขาถูกทิ้งให้อยู่กับเพื่อนใหม่อย่างจักรพรรดิแค่สองคน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาจนจบชั้นอนุบาลหนึ่ง จื๊อยังไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน วันเปิดเทอมวันแรกอย่างนี้เขาก็เป็กังวลใจ แค่จะก้าวขาเดินไปเข้าห้องเรียนก็ยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ
อยากกลับบ้าน!
“!!!”
เด็กชายยืนตัวสั่นเป็ลูกนก ก่อนจะสะดุ้งใเมื่อข้อมือของตนถูกเพื่อนคนใหม่จับเอาไว้ ดวงตากลมใสช้อนมองเ้าของใบหน้าเรียบเฉยสลับกับข้อมือของตนอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมเปิดปากพูดกับเขาเป็ครั้งแรก
“ยีบเดินฉิ เดี๋ยวจะเข้าห้องฉาย...ห้องอยู่ทางนั้นใช่ไหม”
ไม่ว่าเปล่า ยังออกแรงกระตุกข้อมือเบา ๆ เป็เชิงแกมบังคับให้รีบเดินไปด้วยกันได้แล้ว เด็กชายเล่าจื๊อที่เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็ครั้งแรกได้แต่ทำหน้างงเป็ไก่ตาแตก ยอมให้จักรพรรดิเดินจูงมือพาไปที่ห้องเรียนง่าย ๆ โดยไม่ทักท้วงอะไรสักคำ
…นับั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา ภาพของเด็กผู้ชายสองคนที่เดินจูงมือกันเข้าโรงเรียนก็กลายเป็ภาพชินตาของบรรดาครูพี่เลี้ยงไปโดยปริยาย
...
ปัจจุบัน
“อือ...”
เสียงครางเครือดังขึ้นแ่เบา เล่าจื๊อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วกะพริบถี่ ๆ ก่อนจะพบว่าตนเองกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ เท่าที่จำได้ เขาดื่มเข้าไปหลายแก้วติดต่อกัน เพียงไม่นานก็รู้สึกง่วงงุน หนังตาหย่อนยานจนอยากจะพักสายตาสักหน่อย ไม่ได้คิดว่าตนจะหลับเป็จริงเป็จังถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นจากโต๊ะทั้งสภาพดวงตาปรือปรอย รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง อีกทั้งยังมึนหัวไปหมด เสียงเพลงดังอึกทึกก็เงียบไปแล้ว...เขาขยับกรอบแว่นให้เข้าที่แล้วหันมองไปรอบ ๆ พบว่าพนักงานกำลังเก็บกวาดทำความสะอาด ทั้งร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว
“!!!”
ระหว่างที่กำลังสำรวจโดยรอบด้วยความตระหนก ก่อนจะชะงักไปเมื่อฝั่งตรงข้ามของตนยังคงมีคนนั่งอยู่...เห็นจักรพรรดิกำลังนั่งเท้าคางมองกันอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรียวนิ้วยาวเคาะลงบนโต๊ะเป็จังหวะ ราวกับกำลังนับรอว่านายมืดมนคนนี้จะตื่นขึ้นมาเมื่อไร
“นอนพอแล้วเหรอ”
“...”
จื๊อหน้าบูด พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล แล้วเดินโซซัดโซเซออกจากพื้นที่ของร้าน โดยมีจักรพรรดิเดินฮึมฮัมเพลงตามหลัง คอยใช้มือดันหลังให้เป็ระยะเมื่อเห็นเล่าจื๊อเสียหลักจะหงายหลัง ครั้นเมื่อผลักไปได้ก็ทำท่าจะล้มคว่ำหน้าแทน สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินไปหิ้วปีก ก่อนที่เ้าตัวจะไปจูบกับพื้นจริง ๆ
“เดี๋ยวก็ล้ม”
“...”
“เมาง่ายแล้วยังจะแดก”
ฝ่ายเล่าจื๊อที่ถูกหิ้วปีกอยู่ พอได้ยินเสียงบ่นพึมพำก็เริ่มเคืองขึ้นมา ถึงจะเมาสภาพร่อแร่แต่ก็ยังมีแรงผลักอีกฝ่ายออกไปให้พ้นตัว ยืนโซซัดโซเซอยู่สักพักกว่าจะตั้งหลักได้ จักรพรรดิเพียงยืนกอดอกมองคนที่พยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเองนิ่งงัน
“ไม่ต้องมาจับหรอก”
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย บนใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ
“หวงเนื้อหวงตัวเหลือเกินพ่อคุณ ทีตอนจับกันมากกว่านี้ไม่เห็นโวยวา---”
“!!!”
จักรพรรดิเอ่ยหน้าตาย พลันดวงตากลมใต้กรอบแว่นเบิกโพลง จู่ ๆ ก็สร่างขึ้นมาเป็ปลิดทิ้ง รีบวิ่งเข้าไปเอามือตะครุบปากคนตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็หันซ้ายหันขวาจนคอแทบเคล็ด คอยดูว่ามีคนผ่านมาได้ยินหรือไม่
“เงียบนะ!”
“ทำไม? กลัวคนเขารู้หรือไงว่าเคยได้กัน”
คนหนึ่งแยกเขี้ยวขู่ใส่เต็มที่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเลิกคิ้วทำหน้าสงสัยใส่ ราวกับไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรผิดไป จื๊อผละตัวออกแล้วใช้นิ้วดันกรอบแว่นขึ้น กระแอมกระไอในลำคอเพื่อตั้งหลัก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“กะ ก็แค่อุบัติเหตุบังเอิญล้มทับกัน...”
ตั้งใจว่าจะพูดออกไปอย่างหาญกล้า ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับแ่เบาและแกว่งไปมา เพียงเท่านั้นภาพความทรงจำในอดีตก็ลอยเข้าหัวมาเป็ฉาก ๆ จนหน้าเห่อร้อน พยายามเป่าหูตัวเองในใจว่ามันก็เป็แค่เื่บังเอิญโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
จักรพรรดิทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แสร้งทำเป็ว่าเห็นด้วย
“อืม...ก็บังเอิญทับกันหลายรอบอยู่นะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้