สองคนนั่นคือผู้คุ้มกันที่เฝ้าองค์ไท่จื่อใต้หอโรงน้ำชาในวันนั้นชัดๆ เลยนี่
ดวงตาของเจินจูกวาดไปบริเวณโดยรอบในลานตรงนั้นทันที
องค์ไท่จื่ออยู่ในลานนั้น!
เมื่อรับรู้สถานการณ์ก็ทำให้หัวใจของเจินจูเต้นรัวขึ้น
ฝีเท้าของนางไม่ได้หยุด ยังคงเดินตามอยู่ด้านหลังกลุ่มคน และเมื่อเลี้ยวเข้าไปหลังูเาเทียมที่ก่อด้วยก้อนหินทะเลสาบไท่หู จะมีต้นสนนานาพันธุ์สูงตรงและเขียวขจีซึ่งสามารถปกปิดกายของนางได้ทันที
เจินจูกลั้นลมหายใจ แอบหยุดอยู่ข้างโพรงหินด้านหลังูเาเทียมที่สูงใหญ่
นางผ่อนลมหายใจอย่างแ่เบาและเงียบสงบนิ่ง เงี่ยหูฟังบริเวณโดยรอบทิศทาง ระดมความตื่นตัวระมัดระวังจากทุกส่วนทั่วทั้งร่างกายขึ้น
หลัวจิ่งไม่ได้รับข่าวว่าองค์ไท่จื่อจะมาที่นี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดพวกองค์ไท่จื่อจึงเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ได้ล่ะ? เจินจูใจเต้นรัวหนัก นี่เป็โอกาสที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญนัก
ทำอย่างไรจึงจะปะปนเข้าไปถึงลานที่องค์ไท่จื่ออยู่ได้นะ? เจินจูมองซ้ายแลขวา ทันใดนั้นสีหน้าก็ปีติยินดีขึ้นฉับพลัน นางเดินไปอีกด้านหนึ่งของูเาเทียมด้วยความระมัดระวัง
ูเาเทียมลูกนี้ก่อได้สูงใหญ่ยิ่งนัก ก้อนหินลาดเอียงซ้อนกันเป็ชั้นๆ เจินจูตะกายปีนขึ้นไปถึงส่วนยอดของูเาเทียมอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งตรงกลางมีส่วนที่สูงขึ้นสองด้าน ระหว่างสองด้านมีหลุมหินเว้าลงตรงกลาง นางนั่งยองลงไปตรงนั้นครึ่งหนึ่ง สามารถมองเห็นสภาพและเหตุการณ์ในลานบ้านได้ลางๆ
ลานภายในลึกมาก มีต้นไผ่สีเขียวบดบังและขับให้ดูงดงามขึ้น ห้องที่อยู่ข้างโถงใหญ่กว้างขวางให้บรรยากาศโอ่อ่า ส่วนในสุดมีเรือนพักสูงใหญ่และกว้างขวางเป็พิเศษ
ผู้คุ้มกันด้านในมีไม่มาก นางเห็นเพียงองครักษ์สองคนยืนอยู่หน้าเรือนพัก
นางเอียงหูฟังอย่างละเอียด มีเสียงคำรามของสัตว์แว่วออกมาเป็ครั้งคราว
ด้านในนั้นคงเป็สนามประลองสัตว์กระมัง
ความคิดของเจินจูแล่นด้วยความรวดเร็ว
ทันใดนั้นก็มีวัตถุสีดำทะมึนหนึ่งก้อนปรากฏขึ้นมาอยู่บนก้อนหินตรงหน้านางอย่างกะทันหัน
เจินจูใจนสูดลมเย็นเข้าไปเฮือกหนึ่ง เกือบหลุดร้องเสียงหวีดออกมา ก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นหิน
จนกระทั่งนางเห็นได้ชัดเจนว่านั่นเป็หน้าแมวของเสี่ยวเฮย นางโมโหเป็อย่างมาก
เจินจูคว้ามันไว้แน่น คลึงใบหน้าของมันจนแทบกลายเป็ก้อนกลม
“เ้าแมวดำน่าชังนี่ เกือบทำคนใตายแล้ว เ้าทำเสียงสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
เจินจูกดเสียงต่ำ โมโหจนจ้องมันเขม็ง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยมองนางปราดหนึ่ง จะรู้ได้อย่างไรว่านางขวัญอ่อนเพียงนี้
เสี่ยวเฮยเห็นผู้เป็นายสาวปีนขึ้นบนกองูเาเทียมมาแต่ไกล มันจึงวิ่งเข้ามาใกล้ทางนี้เป็ธรรมดา นางกำชับมันไว้แค่ว่าหากข้างกายนางมีคนมากห้ามวิ่งมาหาเด็ดขาด แต่ตอนนี้มีเพียงนางอยู่ผู้เดียว
เจินจูตบลงไปบริเวณหัวใจดวงเล็กที่เต้นตุบๆ ของตัวเองเบาๆ เกาะก้อนหินพยุงตัวเองขึ้นนั่งยอง
เสี่ยวเฮยมาได้ประจวบเหมาะพอดี ดวงตาของนางเคลื่อนไหวเล็กน้อย
นางกระซิบกับเสี่ยวเฮยครู่หนึ่ง หลังจากนั้นชี้ไปทางห้องกว้างขวางแห่งนั้น
“เ้าต้องระวังให้มาก หากถูกคนพบเข้าต้องรีบหนีทันที คนที่อยู่ข้างในโหดร้ายยิ่งนัก เ้าแค่ช่วยไปดูให้ข้าก่อนว่าคนที่ใต้ตามีไฝเม็ดเล็กสีดำอยู่หรือไม่? รีบกลับมานะข้าจะรอเ้าอยู่ตรงนี้”
“เหมียว” เสี่ยวเฮยเชิดหัวขึ้น คนโง่เขลากลุ่มนั้นอย่าได้คิดเพ้อฝันว่าจะพบมันได้
มันะโจากบนูเาเทียมลงไปด้านล่างหนึ่งที ร่วงลงท่ามกลางพงหญ้าอ่อนนุ่ม และซ่อนตัวเข้าไปในนั้นชั่วพริบตาเดียว
ดวงตาสองข้างของเจินจูจับจ้องเขม็งไปที่ทางเดินอิฐสีฟ้า ไม่นานเงาร่างของเสี่ยวเฮยก็ะโเข้าไปอย่างฉับไว พุ่งตรงหายเข้าไปในป่าไผ่เขียวชอุ่ม
เจินจูผ่อนลมหายใจ ขาที่นั่งยองของนางรู้สึกชาอยู่บ้าง จึงถือโอกาสนั่งลงไปบนก้อนหินเย็นเฉียบนี่เสียเลย และเงี่ยหูคอยฟังการเคลื่อนไหวบริเวณโดยรอบตลอดเวลา ในใจนับเวลาอยู่เงียบๆ
ยังนับไม่ถึงหนึ่งพัน ร่างเล็กของเสี่ยวเฮยก็ะโขึ้นมา
“เหมียว” คนผู้นั้นอยู่ด้านในด้วยล่ะ ใบหน้าชั่วร้ายโเี้ ดุดันเป็อย่างมาก
ดวงตาของเจินจูเป็ประกายขึ้น
“เสี่ยวเฮย เ้าช่วยไปตามเสี่ยวฮุยมาให้ข้าที”
“เหมียว” เสี่ยวเฮยร้องขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
“โธ่เอ๋ย ขอร้องเ้าล่ะ อีกเดี๋ยวคนชั่วด้านในจะหนีไปแล้ว เร็วหน่อยนะ” เจินจูทำท่าคำนับไปทางมันพร้อมกล่าวเสียงเบา
เสี่ยวเฮยจึงหมุนตัวะโลงไปจากูเาเทียม
ไม่รู้ว่าองค์ไท่จื่อจะหยุดอยู่คฤหาสน์นานเท่าไร เจินจูยื่นศีรษะออกไปมองที่ลานบ้านแห่งนั้น
เวลานี้ฟ้ามืดลงไปแล้ว สาวใช้ภายในลานต่างพากันแขวนโคมแดงขึ้นทีละโคม ภาพเหตุการณ์ทั้งลานบ้านมองเห็นได้ชัดเจนภายใต้เงาสะท้อนของแสงไฟ
ในใจเจินจูร้อนรนเล็กน้อย นางบอกโหยวอวี่เวยว่าจะออกมาชมสัตว์ แต่นี่ฟ้ามืดแล้วยังเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกอีก หาข้อแก้ตัวไม่ง่ายเลย
ยังดีที่ผ่านไปไม่นานเสี่ยวเฮยก็พาเสี่ยวฮุยมาถึง
“จี๊ดๆ” บนคอของเสี่ยวฮุยแขวนขวดไม้ใบเล็กไว้อยู่ ดวงตาเล็กดังเม็ดถั่วดำมองมาที่นาง
นางประคองมันขึ้นและวางลงบนก้อนหินข้างหน้า ขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยกำชับมัน ก็เห็นว่าประตูใหญ่ของเรือนที่พักแห่งนั้นถูกเปิดออก คนหนึ่งกลุ่มเดินออกมาเป็แถว
เจินจูตื่นตระหนกยิ่ง นี่จะไปแล้ว? หรือจะเปลี่ยนสถานที่?
องค์ไท่จื่อสวมชุดตัวยาวสีม่วงเข้มปักดิ้นทอง บนศีรษะกลัดไว้ด้วยกวานสีทองบริสุทธิ์ฝังอัญมณีทับทิม ร่างกายเคร่งขรึมน่าเกรงขาม คิ้วดำขมวดแน่น ดวงตาแสดงออกอย่างเ็า ดูแล้วให้อารมณ์อึมครึมอย่างมาก
ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดผ้าไหมคลุมยาวลายเมฆสีน้ำเงินเดินอยู่ด้านข้างองค์ไท่จื่อ ฉีกยิ้มขึ้นอย่างระมัดระวังเป็ระยะๆ
ด้านหลังพวกเขามีคนรับใช้และองครักษ์อยู่แปดคน
สมองของเจินจูแล่นปราดอย่างรวดเร็ว นางชี้ไปที่องค์ไท่จื่อ ให้เสี่ยวฮุยรู้จักคน “ดูไว้ นั่นเป็คนชั่ว เ้าจำหน้าไว้ให้ดี อีกเดี๋ยวดูว่าจะมีโอกาสปะปนเข้าไปข้างกายเขาได้หรือไม่”
หลังจากนั้นก็จับขวดไม้ใบเล็กของมันไว้ เพื่อบอกใบ้ว่าให้ใช้สิ่งนี้จัดการเขา ให้เขาจมดิ่งอยู่ในจิตใจอันร้อนรุ่มปรากฏจิตวิปลาสขึ้น ความระวังตัวจะได้หมดลง
สุดท้าย… นางมองตาเสี่ยวเฮย ก็คงต้องพึ่งเ้าแล้ว
กลุ่มองค์ไท่จื่อออกจากประตูใหญ่ของลานบ้าน เดินบนถนนอิฐสีฟ้าตรงมาทางพวกนาง
ใกล้เพียงนี้ เจินจูเป็กังวลว่าตนเองจะถูกค้นพบเข้า นางจึงกำชับหนึ่งแมวหนึ่งหนูและหลบเข้ามิติช่องว่างไป
พวกเขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เจินจูได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขา
“ฝ่าา หมีสีน้ำตาลที่พ่ายแพ้ตัวนั้น กระหม่อมจะให้คนตุ๋นอุ้งตีนหมีให้ ฝ่าาอย่ากริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงประจบเอาใจ
“…เหอะ หมีเก้งก้างเกะกะเช่นนั้น แม้แต่สุนัขป่าสามตัวก็ยังสู้ไม่ได้ แล่ออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ยังระงับไฟในใจเปิ่นกงได้ยาก เอามันไปเลี้ยงสุนัขเสีย”
เสียงขององค์ไท่จื่ออึมครึมปนแหบและทุ้มต่ำ
“ใช่ๆ ต้องสับมันไปเลี้ยงสุนัข”
“…วันนี้สตรีในครอบครัวขุนนางั้แ่ระดับสี่ล้วนมากันหมด?”
“พ่ะย่ะค่ะ มากันเกือบทุกคนเลย”
“…ดี”
เสียงเริ่มไกลออกไปช้าๆ เจินจูตั้งใจฟังอยู่นานพักหนึ่ง แล้วจึงปรากฏออกจากมิติช่องว่าง
เห็นเพียงเงาแผ่นหลังของกลุ่มองค์ไท่จื่อไกลๆ
เขาถามถึงสตรีครอบครัวขุนนางขั้นสี่เป็พิเศษงั้นหรือ? ในใจเจินจูเกิดความคิด ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าลี่ปู้ซื่อหลางจั่วฉงจงก็เป็ขุนนางขั้นสี่พอดีเลยไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นหมายความว่าโหยวเสวี่ยชิงก็มาด้วย
นี่พวกเขาใช้โอกาสนี้นัดพบกันเป็การส่วนตัวหรือนี่
นางรีบเข้าไปใกล้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุย และกระซิบสั่งการขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่ง หนึ่งแมวหนึ่งหนูจึงลงไปจากูเาเทียม พวกมันมุ่งไปอย่างรวดเร็วยังทิศทางที่พวกองค์ไท่จื่อเดินไป
เจินจูค่อยๆ ปีนลงจากูเาเทียมหินทะเลสาบไท่หู ตบเศษฝุ่นตามร่างกายเบาๆ หลังจากนั้นเดินตามเส้นทางแผ่นอิฐสีฟ้าออกจากสวนหมั่งหยวนอย่างสงบ
นางเดินเข้าไปใกล้ห้องโถงหลักของคฤหาสน์ช้าๆ
แสงไฟบริเวณห้องโถงหลักสว่างไสว โคมไฟมากมายสองข้างทางถนนสดใสสว่างโชติ่ เสียงดนตรีภายในจวนกำลังสนุกสนาน พาให้คนเกิดความรื่นเริง ภายในโถงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักหยอกล้อกันอย่างครื้นเครง ดูเหมือนงานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว
คนรับใช้หญิงทั้งในและนอกห้องต่างยุ่งอยู่กับการยกอาหารชั้นดีแต่ละอย่างเดินเข้าออกขวักไขว่ไปมา เจินจูเดินอ้อมไปถึงหลังห้องโถงหลักอย่างสงบ เลี้ยวเข้าไปด้านหลังกำแพงสูงที่แสงไฟส่องไม่ถึง
นางสังเกตรอบด้านอย่างระแวดระวัง หลังจากนั้นปลุกกำลังใจขึ้น ดวงตาคอยจดจ่ออยู่ตรงทางออกบริเวณห้องโถงหลัก
ในเมื่อองค์ไท่จื่อเอ่ยถึงขุนนางขั้นสี่ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเรียกหาโหยวเสวี่ยชิงแน่ ขอแค่ตามไปอยู่ข้างหลังนางได้ ก็จะหาลานบ้านที่องค์ไท่จื่อหยุดพักเจอได้ไม่ยาก
เป็ไปตามคาด นางแค่รออยู่ไม่นาน หญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากประตูด้านข้างอย่างรีบร้อน
หน้าหนาวที่หนาวเหน็บ โหยวเสวี่ยชิงสวมเพียงชุดกระโปรงเสื้อสั้นปักลวดลายก้อนเมฆสีสันระยิบระยับ สาวเท้าไปทางลานบ้านที่อยู่ทางเหนือ
เจินจูที่รอจังหวะอยู่ทุกเมื่อ จึงเดินตามอยู่ด้านหลังของนาง
อาจเป็เพราะเพื่อให้โหยวเสวี่ยชิงเข้าออกได้สะดวก เลยสั่งให้สาวใช้ออกไปเป็พิเศษ ตลอดเส้นทางพวกนางจึงไม่บังเอิญพบปะกับคนรับใช้คนไหนเลย
นั่นก็สะดวกสำหรับนางพอดีเช่นกัน
เจินจูเดินด้วยฝีเท้าแ่เบา ตามไปอย่างไร้เสียง
โคมไฟใต้ชายคาของระเบียงไม่ได้แขวนไว้แน่นขนัด ภายใต้ความมืดมิดรอบด้านเหมือนจะแปลกประหลาดลงไปเล็กน้อย เจินจูเริ่มใจเต้นสั่นรัว นางเตรียมป้องกันอย่างระมัดระวัง หากเกิดอะไรขึ้นกะทันหัน นางจะได้เลี่ยงทันที
เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุม ตรงกันข้ามกับทางเดินเป็ประตูลายแกะสลักที่สร้างได้โอ่อ่าตระการตา มีองครักษ์ผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู โหยวเสวี่ยชิงเดินตรงเข้าไปตามขั้นบันได เจินจูทำได้เพียงมองปราดหนึ่งและหดศีรษะกลับมาเท่านั้น
องค์ไท่จื่อกับโหยวเสวี่ยชิงแอบคบชู้กันน่าจะไม่ใช่เวลาวันสองวันแน่ องครักษ์ผู้นั้นปล่อยให้นางเข้าไปราวกับมองไม่เห็น ต้องมีเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเช่นนี้แล้วแน่นอน
มีองครักษ์เฝ้าประตูลายแกะสลักเพียงผู้เดียว คิดไปแล้วคงเป็เพราะไม่อยากให้คนรู้เื่มากเกินไปที่องค์ไท่จื่อแอบนัดพบสตรีที่มีสามีแล้ว
ลูกตาเจินจูกลอกกลิ้งไปมา เริ่มมองไปรอบๆ เพื่อหาเงาร่างของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุย เมื่อสักครู่นางให้พวกมันรอนางอยู่บริเวณกำแพงลานที่องค์ไท่จื่อหยุดพัก
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น เสี่ยวฮุยก็ะโมาถึงใต้ขาของนางจากตำแหน่งด้านข้าง
เจินจูดีใจมาก นั่งยองลงและกระซิบถาม “ในลานนั้นยังมีองครักษ์อีกไหม?”
“จี๊ดๆ” เสี่ยวฮุยร้องสองที
ยังมีอีกหนึ่งคนอยู่ด้านในหรือ เจินจูขมวดคิ้ว จัดการข้างนอกนี่ก่อนแล้วกัน นางประคองเสี่ยวฮุยขึ้นมาสั่งกำชับ
เมื่อเสี่ยวฮุยได้รับคำสั่ง มันจึงวิ่งไปถึงบนเสาที่ยื่นลงมารูปร่างลักษณะคล้ายกลีบบัวของประตูลายแกะสลักอย่างฉับไว
มันหมุนฝาขวดไม้ใบเล็กไปจนถึงส่วนที่มีรู หลังจากนั้นกลั้นลมหายใจแล้วโปรยลงไปเหนือศีรษะขององครักษ์
องครักษ์ผู้นั้นมีความรู้สึกระแวดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงมองไปรอบๆ สองสามครั้งและเงยหน้าขึ้นสำรวจ ทันใดนั้นทำให้ได้รับผงที่ร่วงลงมาตรงหน้ามากยิ่งขึ้นไปอีก
องครักษ์รู้สึกจิตใจลางเลือนขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่สติพร่าเลือนราวกับร่วงหล่นเข้าไปในชั้นเมฆ ขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง เขาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งแล้วสะบัดหน้าไปมา เท้าหนึ่งข้างเหยียบพลาดลงไปบนขั้นบันไดหิน ล้มคะมำลงไปกับพื้นทันที ขยับดิ้นไม่หยุดราวกับไส้เดือน
โธ่เอ๋ย เจินจูเคยเห็นกับตามาแล้ว รู้สึกเคารพยำเกรงต่อผงม่านถัวหลัวที่ปรับปรุงเพิ่มความรุนแรงนี่อย่างมาก
รวดเร็ว ประสิทธิภาพรุนแรง มีส่วนช่วยในการฆ่าคนและปล้นสะดมเอาทรัพย์สินได้ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ
นางวิ่งเข้าไปข้างกายองครักษ์ผู้นั้นด้วยความเร็วสูง เขาลืมตาโพลง แต่รูม่านตามีแววยุ่งเหยิง ไม่อยู่กับร่องกับรอย
เจินจูล้วงเอาไม้ตะบองออกมาจากมิติช่องว่าง ทุบเข้าที่หลังศีรษะของเขาอย่างไม่ลังเล
หลังจากตีองครักษ์จนหมดสติ นางก็ชะโงกศีรษะเข้าไปมองสภาพเหตุการณ์ภายในลานบ้านก่อน จากนั้นจึงพยายามอย่างสุดชีวิต ลากเขาไปด้านหลังประตูลายแกะสลัก และงับประตูลานไว้อย่างเงียบเชียบ
เจินจูใจเต้นดั่งกลอง หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่หนาขนาดแขนโอบหนึ่งต้น และรอการร้องเรียกของเสี่ยวฮุย
เสี่ยวเฮยะโลงมาจากกำแพงลานด้านข้าง คลอเคลียเข้าที่ข้างขาของนาง
เจินจูรีบทำท่าให้เงียบเสียง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยร้องออกมาอย่างรำคาญ ก็จัดการไปแล้วไง คนก็ยังฟั่นเฟือนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย
เจินจูยินดีเป็อย่างยิ่ง ถือไม้ตะบองเดินตามมันไป
จริงด้วย คนชุดดำอีกผู้หนึ่งคล้ายกับกำลังตกอยู่ในอาการพิลึกพิลั่นเคลื่อนที่ตุปัดตุเป๋อยู่ในลานบ้าน ในปากยังส่งเสียงคำรามต่ำออกมาอยู่ตลอดเวลา
เจินจูกลัวว่าจะทำให้คนในบ้านใและรู้สึกตัวเข้า นางจึงรีบวิ่งเข้าไปใช้แรงเต็มกำลังจัดการเข้าที่ท้ายทอยของคนชุดดำ
’ผลุบ’ เสียงคนชุดดำล้มลงไปกองกับพื้น
เจินจูกลั้นลมหายใจเงียบเชียบไม่กล้าส่งเสียงออกมา ในห้องที่แสงไฟส่องสว่างไม่มีความเคลื่อนไหว
นางจึงผ่อนลมหายใจ ยกไม้ตะบองขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ ด้านในแว่วเสียงหอบครางกระชั้นอันแสนออดอ้อนดังออกมาเข้าหูนาง
เจินจูหน้าแดงทันที สองคนนี้พอพบหน้ากันก็อดใจไม่ไหวเพียงนี้เลยหรือนี่
องค์ไท่จื่อหานเซี่ยนถือหอกขึ้นม้า [1] ด้วยความร้อนใจ
หานเซี่ยนชื่นชอบสตรีรูปร่างอวบอั๋นสมบูรณ์ยิ่งนัก
ในปีนั้น ขณะที่อยู่ในงานเลี้ยงของเฉิงเอินโหว เขาได้เห็นโหยวเสวี่ยชิงเข้าจึงเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นทันที
เชิงอรรถ
[1] ถือหอกขึ้นม้า หมายถึง เกิดอารมณ์ทางเพศและทำเื่อย่างว่าขึ้นทันที