“แน่นอนว่าท่านไม่เสียอะไร แต่พอข้าฟังสิไม่สบายใจเลย คอยดูนะ ข้าจะจำหน้าพวกนางไว้ทุกคน ถึงคราวเมื่อไหร่ จะต้องได้เห็นดีกันแน่!” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง
“แล้วเ้าคิดจะทำอย่างไร?” จางเจิ้นอันเห็นนางทำแก้มป่องด้วยความโกรธ ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“หากพวกนางหน้าด้านกล้ามาแลกปลาที่บ้านเราเมื่อไหร่ ข้าจะเอาคืนให้สาสมใจเลย!” อันซิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงเ็า
“ใจแคบจริงนะเ้า” จางเจิ้นอันหัวเราะเบาๆ ตำหนิกลายๆ แล้วก้มลงถาม “ว่าแต่...ตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อที่ว่านั่น เป็ใครกันรึ? ข้าได้ยินชื่อนี้อยู่หลายครั้งแล้ว”
“ก็คนนั้นอย่างไรเล่าเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปยังชายผู้หนึ่งที่กำลังเดินสวนทางมาพอดี “ท่านลองดูสิ พวกนางเอาคนแบบนี้มาเปรียบกับท่าน จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร”
จางเจิ้นอันเงยหน้ามองตาม เห็นชายร่างท้วมเปลือยท่อนบน ใบหน้าอูมเต็มไปด้วยไขมัน กำลังเข็นรถไม้ที่วางหมูชำแหละครึ่งซีกผ่านมาพอดี แค่เห็นหน้าตาและสภาพเช่นนั้น ในใจเขาก็พลันรู้สึกรังเกียจขึ้นมา ไม่น่าแปลกใจเลยที่อันซิ่วเอ๋อร์จะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ขนาดเขาเองเห็นแล้วยังนึกอยากจะซัดหน้าสักหมัด
ทั้งสองหลบเข้าข้างทาง พอตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อเข็นรถเนื้อมาถึงตรงหน้า ก็หยุดชะงัก ถามเสียงดัง “ซื้อเนื้อหรือไม่? หมูเพิ่งล้มสดๆ ใหม่ๆ เลยนะ!”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ขอบคุณนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า อยากให้รีบๆ ผ่านไปเสียที
“ซื้อสักหน่อยเถอะ” จางเจิ้นอันกลับพูดขึ้น เขาเหลือบมองร่างผอมบางของอันซิ่วเอ๋อร์ข้างกาย แล้วล้วงเอาเศษเงินสองสามอีแปะออกมาจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้ตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อ ก่อนจะหันไปถามอันซิ่วเอ๋อร์ “จะเอาส่วนไหน?”
“เอา...เอาหมูสามชั้นตรงนั้นก็ได้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ชี้ส่งๆ ไปที่เนื้อส่วนหนึ่ง พูดจบก็รีบถอยหลังไปครึ่งก้าว แอบอยู่หลังร่างสูงใหญ่ของจางเจิ้นอัน
ตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อรับเงินไปแล้วหยิบมีดแล่เล่มใหญ่ออกมาจากข้างรถ แล้วลงมีดเฉือนบนเนื้อหมูสามชั้นอย่างรวดเร็ว ยกขึ้นชั่งบนตาชั่งอย่างคล่องแคล่ว แล่เนื้อติดมันชิ้นเล็กๆ เพิ่มให้อีกหน่อย จากนั้นก็ใช้ปลายมีดกรีดรูเล็กๆ ที่ชิ้นเนื้ออย่างชำนาญ หยิบเชือกฟางที่อยู่ข้างรถมาสองเส้น บิดเป็เกลียว แล้วสอดเชือกฟางร้อยผ่านชิ้นเนื้อ ก่อนจะมัดปม แล้วยื่นส่งให้จางเจิ้นอัน ก็เป็อันเสร็จสิ้นการซื้อขาย
“คราวหน้าถ้ามีหมูสดๆ มาอีก จะให้ข้าแวะมาบอกหรือไม่?” ก่อนไป ตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อยังอุตส่าห์หันมาถามอีกประโยค
“ไม่ต้องๆ เ้าค่ะ ขอบคุณเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้า เนื้อหมูเป็ของมีค่า นางไม่กล้าซื้อกินบ่อยๆ หรอก
“คราวหน้าถ้ามีเนื้อสด ก็ช่วยเก็บส่วนดีๆ ไว้ให้สักชั่งสองชั่งด้วยแล้วกัน” แต่จางเจิ้นอันกลับเป็ฝ่ายเอ่ยปาก
“ได้เลย ไม่มีปัญหา!” ตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อรับคำอย่างแข็งขัน เช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่พาดอยู่บนรถ แล้วเข็นรถจากไป
จางเจิ้นอันยื่นห่อเนื้อส่งให้อันซิ่วเอ๋อร์ แต่นางกลับส่ายหน้าไม่ยอมรับ “อะไรกัน ท่านจะให้ข้าหิ้วเนื้อขึ้นเขาไปด้วยหรือเ้าคะ?”
“เช่นนั้นข้าเอากลับไปเก็บที่บ้านก่อน เ้าก็รอข้าอยู่ตรงนี้แล้วกัน” จางเจิ้นอันกล่าว โดยไม่รู้เลยว่าในใจอันซิ่วเอ๋อร์กำลังบ่นอุบเื่ที่เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่
“เช่นนั้นท่านรีบไปรีบมานะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ว่าอะไรอีก อย่างไรเสียนั่นก็เป็เงินของเขา เขาอยากจะซื้ออะไรก็เป็สิทธิ์ของเขา นางไม่มีสิทธิ์ห้าม คงไม่ดีแน่หากจะต้องมาทะเลาะกันเพราะเื่เนื้อหมูไม่กี่ชั่ง ช่างเถอะน่า อีกเดี๋ยวกลับไปขยันปักผ้าเช็ดหน้าเพิ่มสักสองผืน ก็ได้เงินค่าเนื้อนี่คืนมาแล้ว นางคิดปลอบใจตัวเอง
พอคิดได้ดังนี้ นางก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินอีกต่อไป อย่างมากก็แค่เหนื่อยปักผ้าเช็ดหน้าเพิ่มอีกผืนสองผืน ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แถมยังได้กินของอร่อยๆ ด้วย
จางเจิ้นอันวางตะกร้าและจอบไว้ข้างทาง แล้วสาวเท้าก้าวยาวๆ กลับไปยังบ้านท้ายหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์นั่งยองๆ รออยู่ริมถนนเพียงลำพังครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นก็มีคนรู้จักเดินผ่านมาทักทายสองสามคน นางต้องคอยตอบคำถามไปพลาง ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรน่าขันอยู่ พอนึกได้ว่าตะกร้าก็ว่างเปล่าไม่ได้หนักหนาอะไร นางจึงหยิบตะกร้าขึ้นสะพายหลัง แบกจอบขึ้นบ่า แล้วเดินช้าๆ ล่วงหน้าไปตามทางก่อน
แต่ยังเดินไปได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนางจากด้านหลัง อันซิ่วเอ๋อร์หันกลับไปมอง พอเห็นว่าเป็กู้หลินหลาง แววตาพลันฉายประกายไม่พอใจขึ้นมาทันที “ท่านอาจารย์กู้ ท่านมาทำอะไรแถวนี้หรือเ้าคะ?”
พอเห็นท่าทีห่างเหินของอันซิ่วเอ๋อร์ สีหน้าของกู้หลินหลางก็พลันปรากฏแววเ็ปร้าวรานขึ้นมาหลายส่วน “แถวนี้ก็ใกล้สำนักศึกษา ข้าแค่ออกมาเดินเล่นสูดอากาศน่ะ”
อันซิ่วเอ๋อร์มองไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณนี้อยู่ใกล้สำนักศึกษาจริงๆ บ้านของนางอยู่สุดหมู่บ้าน หากจะเดินไปป่าไผ่ ก็ต้องผ่านเส้นทางนี้ ไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญมาเจอกู้หลินหลางที่นี่เข้าจนได้
“คราวก่อน ท่านอาจารย์กู้บอกข้าว่าจะกลับบ้านเดิมแล้วไม่ใช่หรือเ้าคะ? เหตุใดยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสุภาพตามมารยาท
“ซิ่วเอ๋อร์...เ้าอยากให้ข้าไปจากที่นี่มากถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” แววตาของกู้หลินหลางฉายแววเหลือเชื่อ ดวงตาเรียวยาวที่ปกติจะดูหยิ่งทะนง ตอนนี้กลับหม่นแสงลง
“ท่านอาจารย์กู้กล่าวเกินไปแล้ว ท่านอาจารย์ทุ่มเทอบรมสั่งสอนศิษย์ ซิ่วเอ๋อร์มีแต่ความเคารพและขอบคุณท่าน” อันซิ่วเอ๋อร์ย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเ้าคะ”
“เดี๋ยวก่อน” กู้หลินหลางรีบเรียกนางไว้ รอจนนางหันกลับมา เขาก็จ้องมองนางอย่างพิจารณา แววตาเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา “ซิ่วเอ๋อร์...เหตุใดเ้าจึงแต่งกายมอซอเช่นนี้?”
“ทำไมหรือเ้าคะ? ข้าก็แต่งตัวเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” อันซิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงตอบอย่างเ็า
“หรือว่า...เป็เพราะเ้าจางตาบอดนั่นรังแกเ้า?” กู้หลินหลางเอ่ยถามเสียงเข้มขึ้น “หากเขาทำไม่ดีต่อเ้า บอกข้ามาได้เลยนะ ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องช่วยเ้าทวงความยุติธรรมคืนให้ได้!”
“ขอบคุณในความหวังดีของท่านอาจารย์กู้นะเ้าคะ แต่สามีข้าดีต่อข้ามากเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ฝืนยิ้มบางๆ กล่าว “ส่วนเสื้อผ้าชุดนี้ เป็ชุดเก่าที่ข้าใส่ทำงานที่บ้านเท่านั้นเอง ที่วันนี้ใส่มาเพราะต้องขึ้นเขา กลัวเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สามีเพิ่งซื้อให้จะขาดเสียหาย ก็เลยเอาชุดเก่าออกมาใส่”
“เ้าไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีที่บ้านหรอกรึ? เหตุใดยังต้องมีเสื้อผ้าเก่าขาดเช่นนี้อีก?” กู้หลินหลางยังคงไม่เชื่อ
“เื่นี้คงไม่เกี่ยวกับท่านอาจารย์กู้แล้วกระมังเ้าคะ ลูกชาวนาอย่างพวกเรา ต่อให้ทางบ้านจะเลี้ยงดูดีเพียงใด ก็ยังต้องช่วยงานบ้านงานเรือนอยู่ดี การเตรียมเสื้อผ้าเก่าๆ ไว้สำหรับทำงานจึงเป็เื่ปกติ ถึงจะเก่าจะขาดไปบ้าง แต่ก็ใส่ทำงานสะดวกดี หากขาดขึ้นมาก็ไม่เสียดาย”
อันซิ่วเอ๋อร์ตอบปัดๆ ไป พลางชะเง้อมองไปตามทางข้างหน้า แล้วอุทานว่า “อ๊ะ! สามีข้ากลับมาแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านอาจารย์แล้วนะเ้าคะ”
พูดจบนางก็รีบวิ่งตรงไปหาจางเจิ้นอันทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเจือความน้อยใจ “ท่านพี่ เพิ่งจะมาถึงหรือเ้าคะ ข้ารอนานแล้วนะ”
“อย่างนั้นรึ?” จางเจิ้นอันฟังน้ำเสียงนางก็รู้ว่าผิดปกติ ทั้งยังเจือความออดอ้อนผิดวิสัย พอเงยหน้ามองไปก็เห็นกู้หลินหลางยืนอยู่ไม่ไกล เขาจึงรับตะกร้าและจอบจากมือนาง แล้วใช้แขนโอบไหล่บางไว้ กล่าวเสียงนุ่ม “ให้เ้ารอนานขนาดนี้ เป็ความผิดของข้าเอง”
“เช่นนั้นครั้งนี้ข้ายอมยกโทษให้ก็ได้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวตอบเสียงหวาน ทั้งสองประคองกันเดินจากไป ตอนเดินผ่านหน้ากู้หลินหลาง ทั้งคู่ยังพยักหน้าให้เขาอย่างเป็มิตร แต่อันซิ่วเอ๋อร์สังเกตได้ว่าแขนที่โอบไหล่นางอยู่นั้นกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย
กู้หลินหลางยืนนิ่งงันอยู่กับที่ มองตามร่างของคนทั้งสองที่เดินคลอเคลียจากไปอย่างเหม่อลอย เดิมทีเขาคิดว่าตนเองตัดใจจากนางได้แล้ว แต่ภาพรอยยิ้มหวานปานบุปผาแรกแย้มเมื่อครู่ กลับยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงคำนึง
แม้เสื้อผ้าจะเก่าซอมซ่อ แต่มันกลับยิ่งขับเน้นใบหน้าที่งดงามหมดจดขาวผ่องของนางให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ใบหน้านั้นแย้มยิ้มอ่อนหวานอยู่เสมอ งดงามราวกับดอกกล้วยไม้ป่า แม้จะดูเรียบง่ายไร้เครื่องประดับใดๆ แต่กลับส่งกลิ่นหอมบริสุทธิ์ เย้ายวนใจอย่างประหลาด
จนกระทั่งร่างของคนทั้งสองลับหายไปจากสายตา กู้หลินหลางจึงคลายกำปั้นที่กำแน่นออกช้าๆ ไอ้บอดหน้าผีสวมงอบสานนั่นมันมีดีอะไรกันนักหนา? เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าบุรุษรูปงามมากความสามารถอย่างเขา จะสู้ไอ้คนป่าเถื่อนนั่นไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่านางก็มีใจให้เขา เื่นี้เขามั่นใจอย่างยิ่ง!
ต้องเป็เพราะเ้าจางตาบอดนั่นข่มขู่นางแน่ๆ! เขาจะต้องหาโอกาสเหมาะๆ ถามนางให้รู้เื่จนได้!
เขาหันหลังเดินกลับเข้าสำนักศึกษาไป หยิบตำราขึ้นมา แต่กลับไม่มีสมาธิจะสอนแม้แต่น้อย สุดท้ายจึงได้แต่สั่งให้ลูกศิษย์อ่านหนังสือกันไปเอง แล้วเรียกเด็กโตสองสามคนมาให้ท่องตำราให้ฟัง ใครท่องไม่ได้ก็ถูกเขาใช้ไม้บรรทัดฟาดฝ่ามืออย่างแรงหลายครั้ง จนฝ่ามือเล็กๆ นั้นบวมแดง พอมองเห็นเด็กๆ น้ำตาคลอเบ้าแต่ก็ยังกัดฟันฝืนทน ความหงุดหงิดขุ่นเคืองในใจเขาจึงค่อยทุเลาลงไปได้บ้าง
......
อันซิ่วเอ๋อร์กับจางเจิ้นอันเดินมาจนถึงป่าไผ่ในที่สุด มองจากระยะไกลก็เห็นแนวป่าไผ่เขียวขจีทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สายลมพัดผ่านทิวไผ่เกิดเป็เสียงเสียดสีซ่าๆ กลิ่นหอมสะอาดของใบไผ่โชยมาตามลมเป็ระยะ ชวนให้รู้สึกสดชื่นสบายใจอย่างประหลาด
หมู่บ้านชิงสุ่ยก็มีดีตรงนี้นี่เอง แม้จะอยู่ห่างไกลความเจริญ แต่ทิวทัศน์กลับงดงามตามธรรมชาติ อย่างเช่นป่าไผ่ผืนใหญ่นี้ ก็ไม่มีผู้ใดเป็เ้าของ หากบ้านใดในหมู่บ้าน้าใช้ไม้ไผ่ ก็สามารถมาตัดเอาจากที่นี่ได้เลย
“เอาล่ะ ท่านพี่ ท่านตัดไผ่แถวๆ นี้นะเ้าคะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปขุดหน่อไม้สักหน่อย” พอเห็นป่าไผ่ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา รีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว หันกลับมาบอกจางเจิ้นอัน แล้วก็คว้าจอบเล็กมุดหายเข้าไปในป่าไผ่อย่างรวดเร็ว
จางเจิ้นอันยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากห้าม ร่างเล็กๆ ของอันซิ่วเอ๋อร์ก็แวบหายเข้าไปในดงไผ่เสียแล้ว เดิมทีเขาอยากจะกำชับสักสองสามคำ ว่าอย่าเดินลึกเข้าไปไกลนัก แต่ดงไผ่นั้นหนาทึบเกินไป เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของนางแล้ว
เมื่อเห็นนางมุดเข้าป่าไผ่ไปแล้ว จางเจิ้นอันก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เก็บงำแววตากังวลไว้ภายใต้ผ้าคาดตาสีดำ แล้วลงมือตัดไผ่บริเวณนั้นอย่างเงียบๆ
เขาตั้งใจว่าจะรีบตัดไผ่ให้ได้มากๆ เพื่อจะได้รีบเข้าไปตามหานาง ดังนั้นจึงแอบใช้กำลังภายในถึงสองส่วนช่วย ไผ่แต่ละลำจึงถูกโค่นลงอย่างง่ายดายเพียงแค่การฟันฉับสองฉับเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไผ่กองอยู่บนพื้นจำนวนไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าอันซิ่วเอ๋อร์จะออกมา ในใจเขาเริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง นึกเสียใจว่าเมื่อครู่ไม่น่าปล่อยให้นางเข้าไปในป่าคนเดียวเลย แต่ครั้นจะเข้าไปตามหาตอนนี้ ก็กลัวว่าหากนางออกมาแล้วไม่เจอเขา จะพากันคลาดเคลื่อนไปอีก กลายเป็สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ
“ซิ่วเอ๋อร์!” เขาลองยืนรออยู่ที่เดิมอีกครู่ใหญ่ ก็ยังไม่เห็นนางออกมา ในใจยิ่งร้อนรุ่ม ทนรอต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจมุดเข้าป่าไผ่ตามไป พลางะโเรียกชื่อนาง พลางกวาดตามองหา
“อันซิ่วเอ๋อร์?” ความร้อนใจทำให้เขาเผลอเรียกชื่อเต็มของนางออกมา แต่ก็ยังคงไร้เสียงตอบรับ
หญิงสาวผู้นี้วิ่งเล่นซนไปถึงไหนกันนะ? ในใจเขาร้อนรุ่มดั่งไฟสุม ั์ตาดำสนิทฉายแววกังวลล้ำลึก แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่ทราบ จู่ๆ อาการเก่าทางดวงตาของเขาก็เกิดกำเริบขึ้นมาในตอนนี้พอดี! เขายืนนิ่งอยู่กลางดงไผ่ รู้สึกเพียงว่าภาพรอบกายพร่าเลือนไปหมด มองไม่เห็นสิ่งใดตรงหน้าได้ชัดเจนอีกต่อไป
เขาทำได้เพียงหยุดยืนนิ่ง ยื่นกำปั้นออกไปทุบต้นไผ่ข้างกายอย่างแรง ระบายความอัดอั้นตันใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาการบ้านี่ถึงไม่ไปกำเริบเวลาอื่น แต่กลับมาเป็เอาตอนนี้! ทั้งที่่หลังมานี้ เขารู้สึกว่าอาการของตนดีขึ้นมาก นึกว่าจะใกล้หายดีอยู่แล้ว แต่เพิ่งจะมารู้ซึ้งเอาตอนนี้เองว่า ที่แท้...เขาก็เป็ได้แค่เ้าจางตาบอดอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันจริงๆ!
ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอ้างว้างและสิ้นหวังเข้าจู่โจม ความเปลี่ยวเหงาโดดเดี่ยวที่เคยชินกลับมาครอบงำจิตใจอีกครั้ง เขาใช้มือยันต้นไผ่ข้างกายไว้ พยายามทรงตัว รู้สึกปวดศีรษะรุนแรงราวกับจะะเิออกเป็เสี่ยงๆ
ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์ในขณะนั้นกลับกำลังดีอกดีใจ วันนี้นางโชคดีจริงๆ บริเวณนี้มีหน่อไม้ดินต้นเล็กๆ ที่ยังไม่มีใครเห็นขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางขุดได้ต้นหนึ่ง เดินไปอีกไม่ไกลก็เจออีกต้น พอเห็นหน่อไม้อ่อนๆ แทงยอดขึ้นมาจากดิน นางก็อดไม่ได้ที่จะขุดเพิ่มอีก จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยหอบขึ้นมานั่นแหละ ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเผลอเดินลึกเข้ามาในป่าไผ่มากเกินไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
ความจำนางดีเยี่ยม การรับรู้ทิศทางก็ไม่เลว จึงไม่กลัวว่าจะหลงทางแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้นางขุดหน่อไม้ได้มากพอแล้ว อยากจะรีบเอาไปอวดจางเจิ้นอัน จึงหอบหน่อไม้เต็มอ้อมแขนเดินกลับออกมา แต่พอเดินพ้นแนวป่าไผ่ กลับพบเพียงกองไผ่ที่ถูกตัดแล้ววางกระจัดกระจายอยู่เท่านั้น แต่กลับไร้เงาของจางเจิ้นอัน
