อวี๋หรูไห่ที่อยู่ในห้องได้ยินอวี๋เจียวเอ่ยอย่างสุขุมเช่นนี้กลับรู้สึกกังวลอยู่หลายส่วนเดินออกมาจากข้างในห้องแล้วเอ่ยว่า “หากวันพรุ่งนี้ฝนไม่ตกข้าวในทุ่งนาไม่จมน้ำเล่า?”
อวี๋เจียวแค่นยิ้มหยามเหยียด “ถ้าเช่นนั้นฝนไม่ตกยิ่งเป็การดีไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
ครั้นฟังออกว่าอวี๋เจียวเย้ยหยัน อวี๋หรูไห่ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “หากฝนตกดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ทุกคนย่อมต้องรีบไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา แต่หากไม่ตกดึกดื่นป่านนี้แล้ว ใช่เวลาก่อเื่วุ่นวายโดยใช่เหตุงั้นหรือ?”
อวี๋เจียวคร้านจะเปลืองวาจามากความกับเขา“จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่าน”
กล่าวจบลากอวี๋ฝูหลิงเดินออกไป
อวี๋หรูไห่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความขุ่นเคืองหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งท้ายที่สุดยังคงกลัวว่าผลผลิตของครึ่งปีนี้จะเสียหายจึงเอ่ยกับสตรีแซ่อวี๋โจวด้วยใบหน้านิ่งขรึมว่า“เ้าไปเรียกพวกเ้าใหญ่ทั้งสองคนให้ลงนา”
เดิมทีสตรีแซ่อวี๋โจวคิดอยากจะหมางเมินคนทั้งสองของครอบครัวใหญ่พวกเขาอ้างว่าป่วยไม่อยากลงนา ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องลงนาเป็พอ ภายหน้าจะได้ ‘ไม่ได้คืบจะเอาศอก’ และก่อเื่วุ่นวายอื่นๆ ให้น้อยลง
“นายท่าน แม่หนูเมิ่งอาจจะพูดไปเรื่อย ตลอดหลายวันมานี้แดดจ้ามีเค้าลางว่าฝนจะตกเสียเมื่อใดกัน?” สตรีแซ่อวี๋โจวจงใจเอ่ยเพราะไม่อยากให้ครอบครัวใหญ่สมปรารถนา
อวี๋หรูไห่เอ่ยพลางขมวดคิ้ว “กลัวก็แต่นางไม่ได้พูดจาเหลวไหลหากฝนตกลงมาจริงๆ ไม่รู้ว่าผลผลิตจะเสียหายจนเป็เช่นไรข้าได้ยินมาว่าปีนี้ภาษีที่นาจะเพิ่มอีกแล้ว”
“จะเพิ่มภาษีที่นา? ราชสำนักช่างไม่รับรู้ถึงความยากลำบากของประชาชนจริงๆ ครั้งฮ่องเต้ิจงครองราชย์ภาษีที่นาคือหนึ่งในสามต่อสิบ [1] ยามนี้ฮ่องเต้ิเจิ้งครองราชย์แค่สิบปีกลับเพิ่มเป็หนึ่งในห้าต่อสิบหากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ผลผลิตคงจะไม่พอกินเสียแล้ว”สตรีแซ่อวี๋โจวค่อนข้างกลัดกลุ้ม นางวกกลับมาเอ่ยถึงครอบครัวใหญ่อีกครั้งว่า“ยามนี้ครอบครัวใหญ่ทั้งสองคนกำลังเอาแต่ใจตนเอง หากให้พวกเขาลงนาเกรงว่าคงจะฉวยโอกาสนี้พูดถึงเื่ส่งจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภออีกเ้าค่ะ”
อวี๋หรู่ไห่นวดหน้าผากที่เริ่มนูนเพราะความดันสูงขึ้น “ช่างเถิดจิ่นซูจิ่นเหยียนต่างก็เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอแล้วย่อมไม่อาจลำเอียงจนเกินไปจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาร้าวฉาน ข้าจะไปบอกพวกเ้าใหญ่สักหน่อย”
ครั้นได้ยินความหมายของอวี๋หรูไห่นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมตกปากรับคำส่งอวี๋จือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอสตรีแซ่อวี๋โจวนึกเกลียดตนเองที่ปากมากเดิมทีคิดจะอ้างวาจาของนายท่านเพื่อทำให้คนในครอบครัวใหญ่ตัดใจนึกไม่ถึงว่าจะทำให้พวกเขาสมดังใจ
และไม่ว่าภายในใจของสตรีแซ่อวี๋โจวจะนึกเสียใจภายหลังเพียงใดยามนี้อวี๋หรูไห่ก็ได้สาวเท้าเดินไปทางเรือนฝั่งตะวันตกเสียแล้ว
เพราะมีประสบการณ์ฝนตกตอนไปล่าสัตว์ในครั้งก่อนครั้นอวี๋เฉียวซานได้ยินอวี๋เจียวบอกว่าฝนจะตก เขารีบดึงสตรีแซ่จางไปสวมอาภรณ์เพื่อเตรียมตัวลงนาไปเกี่ยวข้าว
ถึงแม้สตรีแซ่จางยังคงขุ่นเคืองผู้เฒ่าแต่นางยังแยกแยะหนักเบาได้เช่นกัน ผลผลิตเกี่ยวโยงถึงปากท้องคนในสกุลตลอดครึ่งปีนางไม่หัวแข็งอีกต่อไปจึงไปปลุกอวี๋กานเฉ่ากับอวี๋จือหางบุตรคนโตให้ตื่นนอนทั้งคู่
อวี๋หรูไห่ยังไม่รู้ว่าสตรีแซ่จางยอมประนีประนอมเขารีบร้อนมายังเรือนฝั่งตะวันตกเมื่อบังเอิญพบกับอวี๋เฉียวซานที่กำลังเดินออกมาข้างนอกพอดีอวี๋หรูไห่จึงรีบเอ่ยว่า “แม่หนูเมิ่งบอกว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะตกพวกเ้าสองผัวเมียเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว รีบไปเกี่ยวข้าวในนาเร็วเข้า!รอกระทั่งเสร็จสิ้นฤดูทำนา ข้าจะส่งจือโจวไปยังสำนักศึกษาระดับอำเภอ”
ครั้นจู่ๆ ได้ยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้สตรีแซ่จางรีบเดินออกมาจากด้านในห้อง “ท่านพ่อ ท่านต้องรักษาสัจจะนะเ้าคะ”
อวี๋หรูไห่เอ่ยพลางเบิกดวงตาสีขุ่น “ข้าพูดแล้วไม่รักษาสัจจะเมื่อใดกัน? ภายในใจของข้ารักเด็กไม่กี่คนนี้เท่ากันหมด จะลำเอียงได้อย่างไร”
ยามนี้สตรีแซ่จางสมปรารถนาแล้วมีหรือจะยั่วโมโหให้อวี๋หรูไห่ไม่พอใจ เอ่ยคล้อยตามว่า “ท่านพ่อรักเด็กๆพวกเราล้วนแต่ประจักษ์แก่ใจ รอกระทั่งภายหน้าจือโจวมีหน้ามีตา เขาจะต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านเป็อย่างดีแน่นอนเ้าค่ะ”
นอกจากครอบครัวสามและฮูหยินเฒ่า คนอื่นๆ ล้วนแต่มุ่งหน้าไปทุ่งนาพวกเขาวางโคมกระดาษเก่าซอมซ่อสองดวงไว้บนคันนาอาศัยแสงสลัวอันน้อยนิดพากันกวัดแกว่งเคียวในมือเกี่ยวข้าวอย่างขะมักเขม้นโดยที่เหงื่อไคลไหลอาบ
โชคดีที่ผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ บนูเาล้วนเข้านอนเร็วไม่เช่นนั้นหากเห็นภาพนี้ในกลางดึก เกรงว่าคงจะต้องพากันใ
เพราะมากคนจึงมากกำลังนอกจากนั้นสองสามีภรรยาครอบครัวใหญ่ยังเป็คนทำไร่ไถนาฝีมือดีตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขยันขันแข็งจนกระทั่งความมืดมิดทางทิศตะวันออกของป่าเขาเผยแสงรุ่งอรุณในที่สุดทุกคนก็เก็บเกี่ยวข้าวสาลีในทุ่งนาจนหมด
ในท้องนามีมัดข้าวที่พึ่งเกี่ยวเสร็จวางเต็มพื้นสตรีแซ่ซ่งกลับไปในหมู่บ้าน นางเคาะประตูจวนของเพื่อนบ้านแซ่หวัง
คนทั้งสกุลหวังต่างก็ยังไม่ตื่นนอนสตรีแซ่หวังที่ถูกเสียงเคาะประตูปลุกจนตื่นลุกมาเปิดประตูพลางอ้าปากหาวครั้นเห็นว่าผู้ที่เคาะประตูคือสตรีแซ่ซ่งจึงเอ่ยถามว่า “ภรรยาของเมิ่งซานมีเื่อะไรั้แ่เช้าหรือ?”
สตรีแซ่ซ่งเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ท่านอาสะใภ้จวนของข้ายังต้องใช้วัวเทียมเกวียนของท่าน วางใจเถิดจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาไปขนมัดข้าวแน่นอนเ้าค่ะ”
สตรีแซ่หวังไม่ใช่คนตระหนี่ อีกทั้งยังเป็เพื่อนบ้านกับสกุลอวี๋ตลอดหลายปีมานี้ยามคนในจวนปวดหัวตัวร้อนก็ไปเอายาในจวนสกุลอวี๋ไม่น้อยครั้งนางจึงขานรับอย่างสบายอารมณ์ว่า “ได้เ้าตามข้าไปหลังเรือนแล้วเอาวัวเทียมเกวียนไปเถิด”
สตรีแซ่ซ่งเดินตามสตรีแซ่หวังเข้าไปในลานเรือนสกุลหวังสตรีแซ่หวังจูงวัวเทียมเกวียนออกมาจากด้านหลังเรือนแล้วส่งให้สตรีแซ่ซ่งเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า“เมื่อวานจวนของเ้าขนมัดข้าวที่เกี่ยวเสร็จกลับมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังไปขนมัดข้าวั้แ่เช้าตรู่อีกเล่า?”
ครั้นเห็นว่าฟ้ากำลังจะสว่างแล้วสตรีแซ่ซ่งไม่รู้ว่าฝนจะตกตามที่อวี๋เจียวกล่าวมาหรือไม่จึงไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้กล่าวเพียงแค่ว่า “ในจวนไม่มีวัวเทียมเกวียน จำต้องคอยยืมของจวนท่านอาสะใภ้ตลอดเพราะเกรงว่าจะทำให้พวกท่านต้องเสียเวลาพวกเราจึงรีบเกี่ยวข้าวให้เสร็จกลางดึกเ้าค่ะ”
สตรีแซ่หวังหัวเราะหลังได้ฟัง จวนที่มีวัวเทียมเกวียนในหมู่บ้านมีไม่มากนักครั้นถึงฤดูการเกษตรมีคนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยมายืมวัวเทียมเกวียนในสกุลหวังของนางอย่างเกรงอกเกรงใจอยู่ไม่น้อยสกุลอวี๋ที่มีความสามารถถึงเพียงนั้นก็ยังมียามที่ต้องขอร้องจวนของพวกนางเื่นี้ทำให้ใบหน้าของสตรีแซ่หวังเปี่ยมราศีอย่างยิ่ง ทว่าปากกลับเอ่ยออกมาว่า“ไม่เสียเวลาอะไร หากจวนของเ้า้าใช้ก็มาบอกเป็พอ”
สตรีแซ่ซ่งเอ่ยขอบคุณไม่กี่ประโยคจากนั้นจูงวัวเทียมเกวียนของสกุลหวังมุ่งหน้าไปยังทุ่งนา
ท้องฟ้าค่อยๆ ทอแสงสว่าง แต่กลับมีเมฆครึ้มบดบังเอาไว้ พวกนางยังขนมัดข้าวในทุ่งนาสกุลอวี๋ไม่ทันเสร็จเม็ดฝนกลับร่วง ‘เปาะแปะ’ ลงมาเสียแล้วคนในหมู่บ้านที่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทุ่งนาต่างพากับร้อนใจยิ่งนักเมื่อเห็นฝนตก
คนสกุลอวี๋เห็นเช่นนี้ต่างรีบขนมัดข้าวด้วยความรวดเร็วประจวบเหมาะกับทุ่งนาของสกุลอวี๋อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของหมู่บ้านไม่ห่างจากตัวหมู่บ้านมากนักพวกเขาจึงเร่งมือขนมัดข้าวทั้งหมดกลับจวนก่อนที่ฝนจะตกลงมาอย่างหนัก
ใบหน้าของอวี๋หรูไห่เผยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าฝนตกลงมาจริงๆเอ่ยชื่นชมอวี๋เจียวว่ามองการณ์ไกลไม่ขาดปาก ยามนี้รวงข้าวสุกงอมเต็มท้องทุ่งนาผู้คนส่วนมากยังเกี่ยวข้าวไม่เสร็จ ครั้นยามนี้ฝนตกลงมา หลังจากน้ำท่วมรวงข้าวยังไม่รู้ว่าจะเสียหายมากน้อยเพียงใด
เดิมทีสตรีแซ่จ้าวของครอบครัวสามยังเอ่ยบริภาษทว่ายามนี้กลับไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดแม้แต่ประโยคเดียวเสียแล้ว
หลังจากขนมัดข้าวลงจากวัวเทียมเกวียนจนหมดสตรีแซ่ซ่งเอาวัวเทียมเกวียนไปส่งคืนสกุลหวังนอกจากนั้นยังเอาผลไม้ที่ภรรยาผู้ดูแลสกุลจางนำมาฝากก่อนหน้านี้ไปด้วย
สตรีแซ่หวังเผยสีหน้าเป็กังวล หลังจากรับผลไม้ใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา “เกรงใจอะไรกัน พวกเราเป็เพื่อนบ้านกัน แค่ยืมวัวเทียมเกวียนเท่านั้นมีหรือจะยังต้องรับสิ่งของ”
ผู้คนในหมู่บ้านเดียวกันมักคบค้าสมาคมกันเป็ปกติสตรีแซ่ซ่งยังพอเอ่ยวาจาปราศรัยเป็อยู่บ้าง นางเอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า“ไม่ใช่ของหายากอะไร วันนั้นในจวนมีคนอยู่ไม่น้อยตลอดสองวันมานี้ยังง่วนกับการทำนา เดิมทีควรจะเอามาให้อาสะใภ้ลองชิมั้แ่แรกแล้วเ้าค่ะ”
สตรีแซ่หวังไม่บ่ายเบี่ยงต่อไป เอ่ยด้วยความอิจฉาไม่น้อยว่า“จวนของเ้าช่างโชคดีจริงๆ เร่งเกี่ยวข้าวเสร็จกลางดึก ยามนี้ฝนก็ตกลงมาพอดีไม่รู้เช่นกันว่าฝนนี้จะหยุดลงยามใด หากท่วมรวงข้าวในนาคงจะไม่ได้การเสียแล้ว”
..........
เชิงอรรถ
[1] การเสียภาษีที่ดินคือการส่งผลผลิตเข้าท้องพระคลังภาษีจะเรียกเก็บจากเ้าของที่นา โดยผู้เช่าที่นาไม่จำเป็ต้องเสียภาษีภาษีหนึ่งในห้าต่อสิบคือ หลังจากเ้าของที่ดินแบ่งผลผลิต50:50กับผู้เช่า จะต้องส่งผลผลิตหนึ่งส่วนหรือ10% เข้าท้องพระคลัง ยกตัวอย่างข้าวสาลี100กระสอบ สัดส่วนการแบ่งผลผลิตคือ ผลผลิตอันเป็ค่าเช่าที่ดิน 45 กระสอบ : ผลผลิตของผู้เช่าที่นา 50 กระสอบ: ภาษีที่ดิน 5 กระสอบ ด้วยหลักการเดียวกันสามารถทำความเข้าใจได้ว่าภาษีหนึ่งในสามต่อสิบคือ หลังจากแบ่งสัดส่วนผลผลิต30:70 โดยเ้าของที่นาเก็บค่าเช่า30% ผู้เช่าที่นาได้รับผลผลิต70% เ้าของที่นาจะต้องจ่ายภาษีเข้าท้องพระคลังจำนวนหนึ่งส่วนหรือ10% ยกตัวอย่างข้าว สาลี100กระสอบ สัดส่วนการแบ่งผลผลิตคือ ผลผลิตอันเป็ค่าเช่าที่ดิน 30 กระสอบ : ผลผลิตของผู้เช่าที่นา 70 กระสอบ: ภาษีที่ดิน 3 กระสอบโดยสรุปคือภาษีหนึ่งในห้าต่อสิบและภาษีหนึ่งในสามต่อสิบไม่ได้หมายถึงเปอร์เซ็นต์ภาษีแต่หมายถึงอัตราค่าเช่าที่ดิน
