"ต้าเหนียงจื่อ ฝนหยุดแล้วเ้าค่ะ" อูหลันฮวายกน้ำร้อนเข้ามาในห้องของเซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังใช้หวีไม้ต้นเกล้าผมเป็มวยกลมอย่างยากเย็น
"อื้ม ตกมาทั้งคืน ก็ควรหยุดได้แล้วล่ะ"
เมื่อคืนฝนตกหนัก เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินเสียงฝนซู่ซ่า แต่กลับนอนหลับสบายยิ่ง
อูหลันฮวายืนอยู่ข้างกาย แต่ไม่ได้ช่วยเกล้าผม
ใช่ว่านางมิอยากช่วย แต่เพราะทำไม่เป็จริงๆ หลายปีมานี้นางยังแค่ถักผมเปียสองข้าง ไหนเลยจะเกล้าผมเป็
"ต้าเหนียงจื่อ สีผึ้งบำรุงผิวขวดนั้นได้ผลดีจริงๆ ทาบนาแแค่คืนเดียว เหมือนรอยจะจางลงกว่าเดิมมากเลยเ้าค่ะ"
อูหลันฮวายื่นหลังมือที่ทาสีผึ้งให้ดู พลางเอ่ยด้วยความดีใจ
"แค่คืนเดียว อะไรจะวิเศษขนาดนั้น เ้าคิดไปเองรึเปล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นอมยิ้ม หวีผมจนเข้าที่เข้าทาง แล้วลองสั่นศีรษะดู ใช้ได้... ไม่ถือว่าหลวมไป
จากนั้นก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าบ้วนปาก
"แต่ได้ผลดีจริงๆ แผลก็ไม่คันแล้วด้วย"
สีผึ้งราคาสูงลิบ อูหลันฮวาย่อมรู้สึกว่าของราคาแพงแบบนี้ต้องใช้ดีอย่างแน่นอน
"ใช้ได้ผลก็ดีแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังล้างหน้าอยู่ "เอาไว้ทาหมดขวด ดูจากผลลัพธ์ก็รู้ว่าดีจริงหรือหรือไม่"
"ต้องดีแน่นอนเ้าค่ะ" อูหลันฮวายกมือขึ้นมาดม สีผึ้งนี้ยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย
สัญญาเื่กระเป๋าลงนามสำเร็จอย่างราบรื่น เซวียเสี่ยวหรั่นก็เบาใจลงมาก จึงเสนอให้ไปกินมื้อเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวโจวจี้
ร้ายก๋วยเตี๋ยวโจวจี้เป็ร้านขึ้นชื่อในละแวกนั้น พวกนางไปลองชิมมาแล้วสองหน ต่างรู้สึกว่ารสชาติดีเยี่ยม น้ำแกงหอมหวานโอชา เส้นหมี่นุ่มลื่น เครื่องเคียงก็เหมาะเจาะลงตัวยิ่ง
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยไม่มีความคิดเห็น ทั้งสองขอบเส้นหมี่ของร้านนี้เป็พิเศษอยู่แล้ว ที่สำคัญราคาไม่แพง ถูกกว่ากินอาหารในโรงเตี๊ยมมากนัก
มีเพียงเหลียนเซวียนที่ไม่ยอมขยับ บอกให้พวกนางไปกินกันเอง
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่นำพา พาอาเหลยไปปล่อยในห้องเขา บอกว่ากลับมาจะซื้อมาฝากหนึ่งชาม ก่อนพาอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยออกไปอย่างเริงร่า
เห็นนางจากไปอย่างระริกระรี้ เหลียนเซวียนก็ใช้สายตาเยียบเย็นเหลือบไปที่อาเหลยซึ่งกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่
ลิงตัวนี้ ดูจากขนาดไม่อาจนับว่าเป็ลูกลิงแล้ว ขนของมันนุ่มลื่นเป็เงางาม ดวงตามีชีวิตชีวา ฟันที่กำลังแทะเมล็ดแตงก็แปรงจนขาวสะอาด
ไม่ผิด เซวียเสี่ยวหรั่นเป็คนจับมันแปรงฟันเป็ประจำ หากไม่ใช่นางลงมือเอง ก็เป็เซวียเสี่ยวเหล่ย สองพี่น้องผลัดกันลงมือ
ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ หลังจากแปรงไม่กี่ครั้ง เ้าลิงตัวนี้ก็สามารถแปรงฟันได้เอง
ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเื่น่าอัศจรรย์ใจได้เสมอ
สามารถอบรมจนลิงตัวหนึ่งแปรงฟันเองได้ เหลียนเซวียนรู้สึกนับถือสองพี่น้องคู่นี้อย่างแท้จริง
เื่เมื่อวาน หลังจากใจเย็นลงแล้ว เหลียนเซวียนก็ไม่ได้เรียกเซวียเสี่ยวหรั่นไปอบรมตามที่คิดไว้
เซวียเสี่ยวหรั่นในความเข้าใจของเขา อย่าเห็นว่านางเป็คนโผงผาง ร่าเริงกระฉับกระเฉงทุกวัน แท้จริงแล้วนางเป็คนยึดมั่นในความคิดของตนเองมากทีเดียว
มีสติสัมปชัญญะสูงมาก ยามอยู่ในป่า ดวงตาของเขามองไม่เห็น ปากก็พูดไม่ได้ เื่ที่สามารถช่วยเหลือนางก็น้อยมาก แต่นางก็ยังสามารถจัดการทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น
ทั้งหาอาหาร เก็บฟืน ตัดเย็บเสื้อผ้าไม่มีงานไหนที่นางไม่ลงมือทำเอง แม้ปากจะบ่นพึมพำไม่หยุด แต่เื่ที่ควรทำก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง
นางเคยกล่าวขอบคุณ บอกว่าในป่ารกร้างห่างไกลผู้คน โชคดีที่มีเขาอยู่เป็เพื่อน หาไม่แล้วเกรงว่านางคงไม่มีความกล้าที่จะเดินออกไปจากป่าแห่งนั้น
นางเอ่ยเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
แต่เหลียนเซวียนเชื่อว่าต่อให้ไม่มีเขา ด้วยความสามารถของนางต้องออกจากป่าแห่งนั้นได้อย่างแน่นอน
ถึงนางจะหวาดกลัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ความสามารถที่จะออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
กลับเป็เขาเองเสียอีก ถ้าไม่ได้พบนาง คนที่ทั้งพูดไม่ได้เดินไม่ได้เช่นเขา ก็คงต้องติดแหงกอยู่ในป่าแห่งนั้นไปจนตาย
ด้วยนิสัยใจคอของนาง กฎข้อห้ามของสตรีทั่วไปจึงไม่อาจนำมาบีบบังคับนางได้
มิเช่นนั้นอาจเกิดการต่อต้าน อย่าเห็นว่านางมักจะยิ้มหัว ร่าเริงอยู่เสมอ แท้จริงแล้วเป็สตรีหัวรั้นมากทีเดียว เขาััได้อยู่ลึกๆ
เหลียนเซวียนฝนหมึกเงียบๆ หยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง ถือพู่กันจรดลงไปบนน้ำหมึก
นี่คือพู่กันที่เซวียเสี่ยวหรั่นใช้ฝึกคัดอักษร เมื่อวานเขาทำพู่กันของตนเองหัก ถูกนางบ่นไปยกใหญ่ ก่อนหยิบไปซ่อมแล้วเก็บไว้ใช้เอง แล้วเปลี่ยนเอาพู่กันของนางมาให้เขา
"ข้าแค่ฝึกเขียนอักษร ขอแค่พู่กันที่ยังใช้งานได้ก็พอ ท่านเขียนอักษรงดงามถึงปานนั้น จะให้ใช้พู่กันหักซ่อมใหม่ได้อย่างไร"
นางมักเป็เช่นนี้เสมอ ยามเขาพูดไม่ได้ตามองไม่เห็น แม้ว่านางจะพูดบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่แท้จริงแล้วเสียงของนางกลับเติมเต็มคืนวันที่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้
เมื่อครั้งเดินทางอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ขาของเขาไร้เรี่ยวแรง เดินได้ช้ามาก นางก็ไม่เคยเร่งเร้า คอยประคับประคองยามเขาก้าวเท้าเสมอ
นางเปรยไว้นานแล้ว มหามรรคาเทียบเทียมฟ้า หลังออกจากป่าได้ เขาและนางค่อยต่างคนต่างไปในเส้นทางของตนเอง
แต่ตอนนี้นางก็ยังคงอยู่เคียงข้างกายเขา เดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน
นางไม่มีที่ไปจริงหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่
เหลียนเซวียนรู้แก่ใจ นางดูแลเขาจนกลายเป็ความเคยชินไปแล้ว จึงวางใจไม่ลงที่จะปล่อยให้เขาเดินทางเพียงลำพัง
คนตาบอดเป็ใบ้ร่างกายก็ไม่แข็งแรง ต้องเดินทางไหลกลับบ้านเกิดโดยไม่มีคนคอยดูแล นางจะวางใจได้อย่างไร
ดวงตาของเหลียนเซวียนผุดแววอ่อนโยนปานสายน้ำยามวสันต์ รินไหลซาบซึมสู่ก้นบึ้งดวงใจ เขารู้สึกได้ว่าที่ไหนสักแห่งในโพรงอกอ่อนยวบยาบไปหมด
แน่นอน เขารู้ว่านางมีแผนการส่วนตัว
ความคิดอ่านส่วนนั้น เหลียนเซวียนเข้าใจดี แต่ทว่าถึงเวลา หนทางใดสมควรไป อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเพียงคนเดียว
ริมฝีปากบางขบเม้มเบาๆ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ปลายพู่กันตวัดบนกระดาษขาวราวกับสายน้ำไหล
หากการส่งสารเป็ไปอย่างราบรื่น เหลยลี่ควรได้รับจดหมายไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้
รอพวกเขาไปถึงสถานที่นัดพบด้วยม้าเร็วก็ใช้เวลาราวสิบวัน
พวกตนทางนี้ก็ต้องเร่งออกเดินทางแล้ว
พวกเซวียเสี่ยวหรั่นกินก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยจนอิ่มหมีพีมัน ก็หิ้วกล่องอาหารกลับโรงเตี๊ยมไปด้วย ในนั้นมีเส้นหมี่เนื้อสดสองชามใหญ่
กล่องใส่อาหารกับชามล้วนเป็ของร้านก๋วยเตี๋ยว วางเงินประกันไว้ กินเสร็จค่อยเอาไปคืนก็ได้
"่เช้าคนมากินเยอะมาก พวกเรารอตั้งนานกว่าจะได้ที่นั่ง เหลียนเซวียน รีบกินสิ เส้นหมี่ถ้าปล่อยไว้นานจะไม่อร่อย"
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้ตะเกียบคีบแบ่งส่วนของอาเหลยใส่ถ้วยของมัน มันตัวเล็ก กินไม่เยอะ ดังนั้นส่วนที่เหลืออีกหนึ่งชามครึ่งจึงเป็ของเหลียนเซวียน
ให้เขาแบ่งอาหารกับลิง แม้การกระทำเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็ครั้งแรก แต่เหลียนเซวียนก็ยังไม่ค่อยพอใจนัก
"อาเหลย ใช้ตะเกียบสิ นั่นแหละ หยิบตะเกียบขึ้นมา เ้าเรียนรู้แล้วนี่ อย่าแอบเกียจคร้าน ใช้ตะเกียบกินนะเด็กดี เดี๋ยวจะให้ลูกอมกินเป็รางวัล
เซวียเสี่ยวหรั่นนำกระดาษที่เหลียนเซวียนทิ้งแล้วมาวางรองบนเก้าอี้ไม้แดง แล้วเอาชามวางบนนั้น ให้อาเหลยใช้ตะเกียบกินอาหาร
อันที่จริงอาเหลยใช้ตะเกียบเป็แล้ว แต่มันเคยชินกับการใช้มือกินมากกว่า เซวียเสี่ยวหรั่นกับเซวียเสี่ยวเหล่ยจึงต้องใช้ลูกอมมาเป็ของรางวัลหลอกล่อมัน
นอกจากจะเป็วิธีที่แยบยล ่นี้อาเหลยก็ใช้ตะเกียบคล่องขึ้นมาก
เหลียนเซวียนมองดวงตาโค้งยิ้มดั่งเสี้ยวจันทร์ของนาง ก็กินเส้นหมี่เนื้ออีกหนึ่งชามครึ่งลงท้องจนหมดโดยไม่รู้สึกตัว อิ่มจนแทบเรอออกมา
