การผ่าหายไปครึ่งหนึ่ง และเหลือทิ้งไว้อีกครึ่งหนึ่งก็เป็การอธิบายว่าเพราะเหตุใดธูปจึงไม่ได้ดับสนิทในตอนแรกได้อย่างสมเหตุสมผล
ท่านฉางไท่และท่านเฮ่อฉางเหอตกตะลึงจนลืมตัว สีหน้าตกตะลึงของพวกเขาไม่ได้น้อยไปกว่าเฮ่อหลันเยว่และหลี่ชิงเมิ่งเลยสักนิด แต่ทว่าพวกเขาก็มีสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งตรงไปยังธูปที่ยังคงเผาไหม้อยู่อีกทั้ง 4 ดอก นอกจากธูปดอกที่ 10 ที่ยังมีความสมบูรณ์ 100 % แล้ว ที่เหลืออีก 3 ดอกต่างมีรอยแหว่งที่หายไปเหมือนๆ กัน
และก็เป็ความจริง ในธูปทั้ง 10 ดอกนี้มีอยู่ 9 ดอกที่ถูกผ่าโดนตรงตัวธูป
การลงมีด 10 ครั้ง สามารถผ่าถูกได้ 9 ครั้ง
ซึ่งเกินเป้าหมายที่ท่านฉางไท่กำหนดไว้ที่ 6 ครั้งไว้เยอะมาก
หากยังมีคนกล้าเพ้อฝันว่าในการผ่า 10 ครั้ง จะสามารถผ่าได้ถูก 6 ครั้งแล้ว ถ้าเช่นนั้น การผ่า 10 ครั้งแล้วผ่าถูก 9 ครั้งจะเป็ตัวเลขที่ไม่มีใครกล้าคิดฝันขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว
เหตุการณ์ที่ไม่มีใครกล้าวาดฝันเช่นนี้ กลับสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือของหลินเยว่อย่างง่ายดาย
เขาใช้เวลาเพียง 1 เดือน... ใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น!!!
ท่านฉางไท่ไม่สามารถเลือกคำพูดใดๆ เพื่อมาบรรยายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ นอกจากความประหลาดใจแล้ว มันก็ยังเป็ความประหลาดใจอยู่ดี
ที่แท้แล้ว การลงมีดให้ได้ 4 ครั้งที่เขาปรารถนามาตลอดกลับเป็เื่ขี้ปะติ๋วสำหรับคนอื่น สิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต กลับถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าทำลายลงได้อย่างง่ายดาย แล้วยังก้าวข้ามตัวเลขนี้ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
เขาควรจะเศร้าใจ หรือว่าควรจะยินดีกันแน่นะ?
เศร้าใจกับความโง่เขลาของตนเอง? หรือว่ายินดีว่าวิชาของเขาจะมีผู้สืบทอดแล้ว?
ท่านฉางไท่ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ และส่ายศีรษะ
ท่านเฮ่อฉางเหอมองเพื่อนของตนเองที่เล่นกันมาั้แ่เด็กอย่างเข้าใจดี เขารู้ดีว่าเพื่อนของตนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้น เขาจึงถอนหายใจพร้อมพูดปลอบใจและเพื่อเป็การทำใจไปในตัว “พวกเราก็แก่กันหมดแล้ว ต่อไปก็เป็โลกของพวกเด็กๆ แล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านฉางไท่ก็เกร็งตัวขึ้น และริมฝีปากของเขาก็ยิ้มเฝื่อนมากยิ่งขึ้น
นั่นสิ พวกเราแก่กันหมดแล้ว!
ต่อไปก็เป็โลกของพวกเด็กๆ แล้วจริงๆ!
คลื่นลูกหลังซัดสาดถาโถมคลื่นลูกเก่า สุดท้ายคนรุ่นหลังก็ย่อมเข้ามาแทนที่คนรุ่นก่อน
ในชั่วเวลานี้ สีหน้าของท่านฉางไท่ก็ดูแก่ลงไป 10 ปีอย่างฉับพลัน
ท่านเฮ่อฉางเหอตบบ่าสหายรักของตนเองเบาๆ และพูดขึ้น “ความจริงคุณไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะ ผมมีความรู้สึกเหมือนคุณในตอนนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนนั้นผมััได้จากตัวหลานชายของผมเองโดยตรงเลยล่ะ ความรู้สึกนี้มันเป็ความรู้สึกเหมือนคนไม่มีทางออก แต่เราก็จำเป็ต้องยอมรับมันให้ได้ ความจริงคุณไม่ต้องเสียใจไปเลย การที่มีคนรุ่นหลังที่มีความสามารถมากกว่าคนรุ่นเก่าอย่างพวกเราแบบนี้มันก็เป็เื่ที่ดีมากเลยนะ แต่ก่อนวันๆ คุณก็เอาแต่คิดจะหาลูกศิษย์สักคนไม่ใช่หรือ? ตอนนี้หาเจอแล้วแต่กลับไม่ดีใจได้อย่างไรกันล่ะ? อายุเยอะขนาดพวกเราแบบนี้ ความจริงก็ควรจะพักผ่อนอย่างสบายได้แล้วนะ เื่ต่างๆ ก็ปล่อยให้คนรุ่นหลังรับ่เถอะ พวกเราควรจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบั้นปลาย แล้วถ่ายทอดวิชาให้กับคนรุ่นหลังอย่างสบายใจ ปล่อยวางเถอะนะ สหายรัก!”
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านเฮ่อฉางเหอ สีหน้าของท่านฉางไท่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากตอนแรกที่ดูมีอารมณ์แปรปรวน จนสุดท้ายจากประโยคที่ว่า “ปล่อยวางเถอะนะ สหายรัก!” ก็ทำให้สีหน้าของเขาเริ่มสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนเดิม ร่างกายของเขาดูผ่อนคลายลง ความรู้สึกที่ดูหดหู่ ท้อแท้และเศร้าสร้อยเมื่อสักครู่พลันมลายหายไปทันที เขาดูสดชื่นขึ้นแตกต่างจากเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏขึ้น
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเห็นความเปลี่ยนแปลงของท่านฉางไท่ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขากังวลจริงๆ ว่าเมื่อสักครู่หากเพื่อนรักเก่าแก่ของตัวเองคิดไม่ตกต่อไป สุดท้ายเขาอาจจะคิดมากไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ก็เป็ได้
แต่ทว่าตอนนี้เขาดูดีขึ้นแล้ว เพื่อนรักของเขาเริ่มกลับมาอยู่ในสภาพเหมือนเดิม และในเวลาเดียวกันหลินเยว่ก็มีอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
พร์ในการเรียนรู้การพิสูจน์เครื่องเคลือบของหลินเยว่ทำให้ท่านเฮ่อฉางเหอประหลาดใจ แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นการลงมีดอันเด็ดขาดมหัศจรรย์ทั้ง 10 ครั้งของหลินเยว่ เขาจึงต้องยอมรับว่า หลินเยว่มีพร์ด้านการแกะสลักไปไม่น้อยกว่าเครื่องเคลือบและการพนันหินหยกเลย หรือไม่แน่อาจจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ!
เมื่อสามารถคลี่คลายปมในใจได้แล้ว ท่านฉางไท่และท่านเฮ่อฉางเหอจึงเดินเข้ามาหาหลินเยว่อีกครั้ง และเวลานี้ สีหน้าของหลินเยว่ก็เริ่มมีสีเืขึ้นมาบ้างแล้ว สภาพร่างกายและจิตใจของเขาคงจะฟื้นฟูกลับมาจนเกือบจะเป็ปกติ
ท่านเฮ่อฉางเหอเดินเข้าไปตบบ่าหลินเยว่หนักๆ พร้อมกับพูดหัวเราะเสียงดัง “เด็กหนุ่มอย่างคุณก็เก่งเชียวนะ 10 มีดผ่าถูกถึง 9 มีด ไม่รู้ว่าคุณทำได้อย่างไร ฮ่าๆ......”
“เป็โชคทั้งนั้น บังเอิญโชคดีครับ” หลินเยว่ลูบศีรษะของตัวเองอย่างไม่ค่อยเป็ธรรมชาตินัก แต่ความเ็ปที่ส่งผ่านมาจากตรงบ่าของเขาทำให้กล้ามเนื้อตรงมุมปากเกร็งกระตุกเล็กน้อย
ทำไมท่านเฮ่อฉางเหอมือหนักจัง!
ท่านฉางไท่มองหลินเยว่ด้วยสายตาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ตอนแรกดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับคิดถึงอีกเื่หนึ่งขึ้นมาแทน เขาจึงพูดขึ้น “ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ไปกัน ไปกินข้าวด้วยกัน”
“ถึงเวลาเที่ยงแล้วหรือเนี่ย คาดไม่ถึงว่าเวลาจะเดินเร็วขนาดนี้” ท่านเฮ่อฉางเหอได้แต่รำพึง เพราะเขารู้สึกว่าเขาเพิ่งทานอาหารเช้าที่บ้านของตาแก่ฉาง หลังจากนั้นก็เล่นหมากรุกไม่กี่กระดาน และก็ชมการผ่าธูปของหลินเยว่ 10 มีด แล้วเวลาก็เดินมาถึงตอนเที่ยงเสียแล้ว
ท่านฉางไท่ขึงตาใส่ท่านเฮ่อฉางเหอแรงๆ และพูดขึ้น “เป็เพราะว่าตอนเช้าคุณกินข้าวเช้าช้าไงล่ะ เลยทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว”
หลังจากพวกเขาทั้ง 5 คนทานข้าวที่บ้านของท่านฉางไท่เสร็จแล้ว ท่านฉางไท่จึงดึงหลินเยว่พาเข้าไปในห้องหนังสือ ตอนแรกเขาไม่ยอมให้ท่านเฮ่อฉางเหอเข้ามาด้วย แต่ทว่าท่านเฮ่อฉางเหอดึงดันจะเข้ามาให้ได้ เขาบอกว่าเขาจะเข้ามาดูลูกศิษย์ของตัวเอง เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้ลูกศิษย์ของเขาถูกคนที่คิดร้ายพาไปในทางที่ไม่ดี ดังนั้น เขาจึงเบียดตัวเองเดินเข้ามาในห้องด้วยอย่างหน้าตาเฉย
“ดูหนังสือเล่มนี้นะ” ท่านฉางไท่หยิบหนังสือที่เก่าแก่โบราณมากเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือและยื่นให้กับหลินเยว่อย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง
หลินเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขามองหนังสือในมือของตนเอง ้าเขียนไว้ว่า “ชีวประวัติอวี๋ซิน” หนังสือเล่มนี้บางมาก และกระดาษของมันก็เริ่มกลายเป็สีเหลืองจางๆ ทำให้คนจับหนังสือเล่มนี้รู้สึกว่าหากออกแรงมากจนเกินไปอาจจะทำให้หนังสือเล่มนี้ฉีกขาดออกจากกันได้เลยทีเดียว
ชีวประวัติอวี๋ซิน?
หลินเยว่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ท่านฉางไท่ให้เขาดูหนังสือเล่มนี้เพื่ออะไรกัน?
ท่านเฮ่อฉางเหอที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ตาแก่ฉางคงไม่ได้คิดจะใช้หนังสือที่ดูโบราณเล่มนี้หลอกลูกศิษย์ของเขาหรอกนะ หากเป็เช่นนี้จริงๆ เขาจะรีบเอาหนังสือสัก 70 – 80 เล่มออกมาสู้เลยล่ะ
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่เกิดความข้องใจ ท่านฉางไท่จึงพูดขึ้น “ท่านอวี๋ซินเป็ปฐมาจารย์แห่งการแกะสลักของพวกเรา นี่เป็ฉายานามของท่าน ลองดูข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในนี้สิ แล้วคุณจะรู้ว่ามีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บในมือของคุณมีความเป็มาอย่างไร” เมื่อพูดถึงปฐมาจารย์อวี๋ซินท่านนี้ ท่านฉางไท่ก็มีสีหน้าที่เคารพเลื่อมใสยิ่งนัก
หลินเยว่เข้าใจได้อย่างฉับพลัน เขาจึงเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง ตัวหนังสือด้านในถูกบันทึกด้วยตัวอักษรลี่ซูที่เป็อักษรจีนตัวเต็ม โชคดีที่จากการติดตามท่านเฮ่อฉางเหอในหนึ่งเดือนมานี้เขาก็พอเรียนรู้อักษรโบราณมาบ้าง เขาจึงอ่านเนื้อหาได้เข้าใจอยู่เหมือนกัน แต่เป็เพราะว่าเขาต้องอ่านจากบนลงล่างเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไร และยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันเป็การเขียนแบบโบราณไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน ซึ่งเื่นี้ก็สร้างความลำบากให้กับหลินเยว่เป็อย่างมาก แต่ทว่าหลินเยว่ก็พออ่านได้บางส่วนอยู่เหมือนกัน
“อวี๋ซิน เป็บุคคลในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก นามสกุลคือหลี่ ชื่อคำเดียวคือเฉียน ชื่อรองคือจ้งเต๋อ ฉายานามคืออวี๋ซิน......”
หลังจากนั้นคือชีวประวัติของปฐมาจารย์อวี๋ซิน ถึงแม้ว่าจะเป็การเรียบเรียงอย่างเรียบง่าย แต่ทว่าหลินเยว่ก็ยังสามารถรับรู้ผ่านตัวอักษรว่าปฐมาจารย์ของเขาท่านนี้มีความสุดยอดมากเพียงไหน ท่านเคยบุกเดี่ยวด้วยมีดเล่มเดียวผ่านไปทั่วเทือกเขาต้าชวน สุดท้ายท่านก็สามารถค้นพบ “สภาวะการทำตามใจปรารถนา” จากปลาในสระน้ำแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงตั้งฉายานามของตนเองว่าอวี๋ซิน* ตอนนั้นท่านมีอายุเพียง 28 ปี
หลังจากนั้นท่านก็ได้รับการท้าประลองจากยอดฝีมือทางด้านการแกะสลักจากสำนักต่างๆ และก็เป็ท่านที่สามารถเอาชนะได้มาทั้งหมด แต่ท่านมีลักษณะพิเศษที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง คือ ทุกครั้งที่ท่านสามารถแกะสลักผลงานได้เหนือกว่าผลงานชิ้นก่อนๆ ท่านจะทำลายมันทิ้งไป เป้าหมายของท่านก็คือ ท่านไม่้าให้ตนเองหลงละเลิงกับผลงานชิ้นนั้น และสามารถพัฒนาตนเองให้ดียิ่งกว่าเดิมในอนาคต
เมื่ออ่านจนถึงตรงนี้ หลินเยว่ก็รู้สึกเลื่อมใสในปฐมาจารย์อวี๋ซินของเขายิ่งนักจนแทบอยากจะหมอบกราบ เพราะความคิดและการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
เมื่อท่านพัฒนาจนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ปฐมาจารย์อวี๋ซินก็รู้สึกว่ามีดแกะสลักในมือของท่านช่างไม่ค่อยเหมาะกับมือของท่านอีกต่อไป ดังนั้น ท่านจึงออกเดินทางอีกครั้งเพื่อตามหามีดแกะสลักที่หลอมจากเหล็กชั้นดี
*อวี๋ซิน(鱼心)หมายถึงใจปลา / อวี๋(鱼)หมายถึง ปลา / ซิน(心)หมายถึง ใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้