อวิ๋นเจียวหัวเราะแต่ไม่เอ่ยวาจา บังเอิญอาจารย์ตั่งก็หัวเราะลั่น “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมยิ่ง!”
เขาลูบเคราของตนเอง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ความคิดของเจียวเอ๋อร์ครานี้ช่างยอดเยี่ยมนัก หากเป็ยามหิมะโปรยปรายในฤดูหนาว ได้นั่งล้อมวงผิงไฟ ต้มผักและเนื้อสัตว์พร้อมจิบสุราอุ่นๆ คงมีความสุขยิ่งนัก! ทว่าแม้จะเป็่ฤดูใบไม้ผลิที่อากาศยังเย็นเช่นนี้ ได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่เพิ่งแตกยอดอ่อนเช่นนี้ ก็ให้อารมณ์ที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ”
อาจารย์ตั่งเป็ผู้คงแก่เรียน ความรู้กว้างไกล พอเห็นอวิ๋นเจียวขนอุปกรณ์มากมายเช่นนี้ ย่อมเดาได้ว่านาง้าทำอะไร เด็กคนนี้ช่างเป็เด็กสาวที่มีความคิดแปลกใหม่จริงๆ
ในตอนนี้หม้อต้มน้ำหม้อไฟสองใบก็เดือดเป็ฟอง อวิ๋นเจียวคีบลูกชิ้นเป็ดที่เตรียมไว้ใส่ลงในหม้อทีละลูก ทั้งน้ำปรุงใสและน้ำปรุงเผ็ดก็แบ่งใส่ลงไปอย่างละน้อย
“นอกจากไส้เป็ดแล้ว ตอนนี้สามารถใส่เครื่องในอย่างอื่น ลงไปต้มในหม้อได้เลยเ้าค่ะ! ผักก็เช่นกัน กินไปลวกไป ใครไม่กินเผ็ดก็ให้ลวกในฝั่งน้ำปรุงใส อ้อ ใช่น้ำปรุงใสยังตักมาพักไว้ให้เย็นแล้วค่อยกินก็ได้ น้ำแกงเป็ดตุ๋นช่วยดับร้อนได้ด้วยนะเ้าคะ”
เมื่ออวิ๋นเจียวพูดเช่นนั้นทุกคนก็รู้วิธีการกินอาหารแปลกใหม่นี้แล้ว จึงช่วยกันเทตีนเป็ด กระเพาะ รวมถึงคอเป็ด ปีกเป็ด ลงไปในหม้อทั้งหมด
ปกติแล้วพวกตีนเป็ด ตีนไก่มักจะถูกเก็บทิ้ง ตระกูลไหนพอมีฐานะหน่อยต่างก็ไม่กินกัน พวกเครื่องในยิ่งแล้วใหญ่ แต่คราวนี้อวิ๋นเจียวกลับทำตรงกันข้าม นำเอาส่วนที่ถูกทิ้งขว้างเหล่านี้มาทำอาหาร นอกจากอาหารเหล่านี้แล้วยังมีเนื้อหมู ซี่โครงหมู ที่ฟางซื่อจัดเตรียมมาเสริมให้
ฝั่งผู้ชายดื่มสุรา ส่วนฝั่งผู้หญิงและเด็กๆ ดื่มชาจวี๋ฮวา [1] หม้อไฟกับสุราเป็ของคู่กันราวกับเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนยิ่งขึ้น
อวิ๋นเจียวนึกถึง่เวลาที่ได้นั่งล้อมวงกินหม้อไฟ จิบเบียร์เย็นๆ กับเพื่อนๆ ในชาติก่อน หม้อไฟกับสุรารสชาติเข้มข้นทั้งสองอย่างผสานกัน ยิ่งช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้ดียิ่งขึ้น
ทุกคนทำตามแบบที่อวิ๋นเจียวทำให้ดู คีบไส้เป็ดลงไปลวกในหม้อน้ำปรุงเผ็ดจนสุก จากนั้นก็นำไปจิ้มในถ้วยน้ำจิ้มที่ปรุงรสด้วยน้ำมันงา หอมซอย ผักชีซอย กระเทียมสับแล้วค่อยใส่เข้าปาก
รสชาติกรุบกรอบของไส้เป็ดสดใหม่ผสานเข้ากับรสชาติเผ็ดร้อนของน้ำปรุงรสเผ็ด กลิ่นหอมของกระเทียม ต้นหอม ผักชี เต็มปากเต็มคำ พวกผู้ชายยิ่งได้จิบสุราตามลงไปอีก รสชาติช่างวิเศษยิ่งนัก! ทุกคนต่างเพลิดเพลินกับการกินจนลืมพูดคุยกันไปเลย
ส่วนฝั่งผู้หญิงนั้น สุภาพเรียบร้อยกว่าเล็กน้อย หลังจากกินไส้เป็ดไปหนึ่งคำ เฉาซื่อก็เอ่ยถามฟางซื่อว่า “น้องสะใภ้ ความคิดของเ้านี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าไม่นึกเลยว่าไส้เป็ดจะสามารถกินแบบนี้ได้! น้องสะใภ้วิธีการกินแบบนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ?”
ฟางซื่อหัวเราะเบาๆ “อาหารชนิดนี้เรียกว่าหม้อไฟ สูตรนี้เจียวเอ๋อร์ได้มาจากพ่อค้าต่างแคว้นตอนที่อยู่ที่เมืองหลวง เพียงแต่เจียวเอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก จนกระทั่งวันนี้ที่ข้ากำลังเตรียมจะทำเป็ดป่าที่ถังสุ่ยนำมาให้ พอกำลังจะทิ้งไส้เป็ด เจียวเอ๋อร์ก็นึกขึ้นได้”
อาจารย์ตั่งดื่มสุราไปหนึ่งจอกแล้วคีบลูกชิ้นในน้ำปรุงใสขึ้นมากินหนึ่งคำ วางตะเกียบลงก่อนจะเอ่ยชม “สุดยอดจริงๆ! หม้อไฟเช่นนี้ ไม่ว่าจะที่เมืองหลวงหรือที่ใด ข้าก็ไม่เคยเห็นวิธีการกินแบบนี้มาก่อน หากเปิดร้านขายลูกค้าคงแน่นร้านเป็แน่!”
เดิมทีอวิ๋นเจียวก็คิดเื่นี้อยู่แล้วเมื่ออาจารย์ตั่งเอ่ยขึ้น นางจึงรีบพูดต่อ “ท่านปู่ตั่งก็คิดว่าสามารถเปิดร้านขายได้หรือเ้าคะ?”
อาจารย์ตั่งพยักหน้า “ใช่แล้ว แน่นอนว่าเปิดร้านได้ อาหารชนิดนี้ถือว่าเป็เอกลักษณ์หนึ่งเดียวในแคว้นต้าเยี่ยเลยก็ว่าได้!”
อวิ๋นเจียวยิ้มร่า “เช่นนั้นก็ดีเลยสิเ้าคะ ข้าจะได้หาเงินค่าขนมได้แล้ว” กล่าวจบนางก็หันไปมองอวิ๋นหลานเอ๋อร์ ฉี่เสียงและฉี่ชิ่งก่อนจะเอ่ยว่า “พี่ฉี่เสียง พี่ฉี่ชิ่ง พี่หญิงรอง พี่หญิงสาม พวกเรามารวมตัวเปิดร้านหม้อไฟกันดีไหมเ้าคะ?”
เด็กๆ ได้ยินดังนั้นดวงตาทุกคนพลันเป็ประกาย แต่พอคิดว่าตนเองไม่มีเงินทุนก็พลันรู้สึกท้อแท้ “เจียวเอ๋อร์ พวกเราไม่มีเงินทุน... การเปิดร้านต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ!”
อวิ๋นเจียวเอ่ย “พวกเราไม่ต้องเปิดร้าน เริ่มจากการตั้งร้านริมถนนก่อนก็ได้เ้าค่ะ”
ตั้งร้านริมถนนได้! เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องใช้เงินทุนมาก พวกเด็กๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
ฉี่เสียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เจียวเอ๋อร์ว่าอย่างไร พวกเราก็ทำอย่างนั้น พวกเราฟังเ้า!”
อวิ๋นเจียวกล่าว “ง่ายมาก ข้าออกสูตรน้ำปรุงรส ส่วนพวกท่านออกแรงไปตั้งร้านขาย ส่วนรถวัวก็ขอยืมท่านพ่อข้ามาใช้ก่อนได้ พวกเราเองก็เอาเปรียบผู้ใหญ่ไม่ได้ ค่าเช่ารถวัววันละยี่สิบอีแปะ”
“ส่วนผัก ไส้เป็ด เืเป็ดพวกนี้พวกเราไปรับซื้อจากคนขายเนื้อในหมู่บ้านและในตำบลก็ได้ สิ่งเหล่านี้ราคาไม่แพง ไม่น่าจะเกินสองอีแปะ ส่วนผักสดก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ขายผักที่ปลูกในไร่ของพวกเราก่อน”
“แล้วพวกเราก็กำหนดราคา ผักอย่างเดียวชามละห้าอีแปะ ส่วนชามที่มีเืเป็ดและไส้เป็ดด้วยขายชามละสิบห้าอีแปะ ดีไหมเ้าคะ? เนื่องจากเป็ร้านริมถนน จึงไม่สามารถนั่งล้อมวงกินเหมือนกับพวกเราได้ แค่ขายเป็ชามเดี่ยวๆ ไป พวกเราต้องตั้งชื่อใหม่ให้ดูน่าสนใจเรียกว่า 'เม่าไช่ [2]' เป็อย่างไร? แล้วกำไรที่ได้ พวกเราค่อยเอามาแบ่งเท่าๆ กัน พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ตกลงสิ ตกลงตามที่เจียวเอ๋อร์ว่าเลย!”
อวิ๋นฉี่ซานรู้ดีว่าน้องสาวกำลังหาทางให้พี่ชายพี่สาวได้มีเงินเก็บส่วนตัว จึงไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจียวเอ๋อร์ หาก้าให้พี่ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลย หากต้องทำอะไร พวกเ้าบอกมาได้เลย ข้าทำให้เอง ถือว่าเป็ของขวัญเปิดร้านให้พวกเ้าดีไหม?”
อวิ๋นเจียวยิ้มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ดีเลยสิเ้าคะ ขอบคุณพี่รองมากนะเ้าคะ!”
อวิ๋นหลานเอ๋อร์คิดว่าตนเองต้องตัดเย็บชุดให้อวิ๋นเจียวคงไม่มีเวลาไปช่วยเฝ้าร้าน จึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าออกเงินทุนให้สองตำลึงเงินแล้วกัน พวกเราจะตั้งร้านข้างทางก็ต้องซื้อเครื่องปรุง ไส้เป็ดสิ่งของพวกนี้มาเตรียมไว้ด้วยมิใช่หรือ?”
ทุกคนต่างเห็นด้วย “ตกลง พี่หญิงรองออกเงินทุน เจียวเอ๋อร์ออกสูตรน้ำปรุงรส ส่วนพวกเราออกแรง!”
อวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่าต่างก็รู้ดีว่าอวิ๋นเจียว้าทำอะไร ในใจก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณหลานสาวคนนี้
อวิ๋นโส่วกวงเอ่ยขึ้น “พวกเ้าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เื่งานในไร่ไม่ต้องห่วง”
อวิ๋นโส่วจงก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “เื่เลี้ยงวัว ั้แ่วันพรุ่งนี้เป็ต้นไปฉี่เสียงไม่ต้องทำแล้ว น้องสาม เ้าจัดหาคนงานมาช่วยเลี้ยงวัวสักคนแล้วกัน”
อวิ๋นโส่วเย่ายิ้มๆ “ได้สิ ข้าจะรีบไปจัดการ อีกไม่นานก็จะเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์แล้ว เพียงแต่พวกเ้าทั้งหลาย หากหาเงินได้แล้ว อย่าลืมเลี้ยงสุราพวกเราด้วยล่ะ!”
อวิ๋นหลานเอ๋อร์รีบเอ่ย “ท่านพ่อ พวกเรายังไม่ได้เงินเลยนะเ้าคะ”
ทุกคนต่างหัวเราะ “ดูยัยเด็กคนนี้สิ รีบร้อนเสียจริง จะไม่ยอมเสียอะไรเลยหรือ?"
อวิ๋นหลานเอ๋อร์ครุ่นคิด การได้ร่วมงานกับเจียวเอ๋อร์ย่อมต้องได้กำไรอย่างแน่นอน จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “หากหาเงินได้ พวกเราเลี้ยงแน่นอนเ้าค่ะ! เลี้ยงทุกคนเลย! เลี้ยงสุรา เลี้ยงเนื้อให้เต็มที่!”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ ต่างแยกย้ายกันกลับไป ส่วนเด็กๆ ยังคงอยู่ที่บ้านของอวิ๋นเจียวเพื่อปรึกษาหารือเื่แผนการทำร้าน
อวิ๋นเจียววาดภาพร่างออกมาหลายแผ่น มีทั้งตะกร้าใส่เม่าไช่ หม้อ และเตา ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเตรียม เตาไฟนั้นหาง่าย เพียงแค่เข้าไปซื้อในตำบลก็ได้แล้ว ในยุคนี้มีพ่อค้าแม่ค้าขายของชุกชุม เตาแบบที่ใช้รถลากไปมาได้ก็มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องถนน
ส่วนหม้อตอนนี้ใช้หม้อเหล็กใบใหญ่ที่บ้านไปก่อน ส่วนหม้อทรงกระบอกแบบลึก และพวกเก้าอี้พับ โต๊ะพับต่างๆที่อวิ๋นเจียวอยากได้ ก็มอบหมายให้อวิ๋นฉี่ซานเป็คนจัดการ
โดยรวมแล้ว ทุกคนต่างกระตือรือร้นอย่างมาก หลังจากปรึกษาหารือกันแล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็การตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้าใส่เม่าไช่ เข้าไปซื้อของในตำบล บางคนล้างผัก เตรียมหม้อ ชาม อยู่ที่บ้าน ทุกคนต่างขยันขันแข็งราวกับมีพลังเต็มเปี่ยม
ทว่าฉู่อี้ที่อยู่จวนโหว มองสิ่งที่อาจารย์ตั่งนำมาฝากด้วยความหนักใจเป็อย่างยิ่ง
เชิงอรรถ
[1] ชาจวี๋ฮวา (菊花茶) คือ ชาเก๊กฮวย
[2] เม่าไช่ (冒菜) เป็อาหารเสฉวน คล้ายหม้อไฟที่กินคนเดียว โดยไม่ต้องใช้หม้อใหญ่แบบหม้อไฟ โดยนำเนื้อสัตว์ ผัก หรือเครื่องใน มาลวกในน้ำซุป และนำมาเสิร์ฟในชามพร้อมกับน้ำซุปและน้ำจิ้มที่ปรุงได้ตามใจชอบ