หิมะโปรยปรายปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง
จั๋วอวี้หวั่นเดินผ่านเรือนหลังหนึ่ง เมื่อนางเห็นประตูห้องที่ปิดสนิทก็อดส่ายศีรษะไม่ได้
จั๋วอวิ๋นเซียนอยู่ในโบราณสถานสุสานโบราณในมิติมายาสุญญตามาครบเจ็ดวันเจ็ดคืน นอกจากทานข้าวกับปลดทุกข์แล้ว แทบจะไม่เคยออกจากห้อง
จั๋วอวี้หวั่นรู้จักนิสัยน้องชายดี นางจึงไม่อยากรบกวน เพียงแค่สั่งให้คนเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้าเกิดเื่อะไรขึ้นจะได้รายงานได้ทันที
พิธีเซ่นไหว้ใกล้เข้ามาถึง จั๋วอวี้หวั่นมีเื่ให้ทำมากขึ้นไม่น้อย นางยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงคิดจะพักผ่อนก่อนแล้วค่อยพูดคุยกับน้องชาย
แต่การเป็ผู้นำตระกูลจะเป็เื่ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?
คนธรรมดาหากไม่ลองมาเป็เองคงไม่มีทางรู้คุณค่าของตำแหน่งนี้ ยิ่งเป็ตระกูลวิถีเซียนยิ่งแล้วใหญ่ ต้องรักษาสถานการณ์ภายในให้มั่นคง ใส่ใจทุกคน อีกทั้งยังต้องระมัดระวังภัยจากภายนอกและรอบคอบทุกการกระทำ หากมีสิ่งใดผิดพลาด รากฐานที่สั่งสมมาหลายปีของตระกูลจั๋วอาจจะสลายไปในพริบตา
ความจริงแล้วแรงกดดันที่จั๋วอวี้หวั่นได้รับมากกว่าที่คนนอกจะจินตนาการไหว
……
ภายในมิติมายาสุญญตา ณ สุสานโบราณในซากโบราณสถาน
จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งอยู่ท่ามกลางกองกระดูกราวกับท่อนไม้ เงียบงันราวกับไร้ชีวิต ข้างกายของเขามีอักขระนับไม่ถ้วนสว่างไสว หลังจากนั้นก็แตกสลายหายไป
เมื่อมองพู่กันสลักิญญาที่แตกหักคามือ จั๋วอวิ๋นเซียนเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง
ค่ายกลสุสานโบราณแห่งนี้มีฐานสามสิบหกจุด มีชีพจรเจ็ดสิบสองเส้น อักขระอีกหนึ่งร้อยแปดตัว และแผนผังค่ายกลสามร้อยหกสิบภาพ ขาดเพียงอย่างเดียว...ดวงตาค่ายกล
มิผิด ขาดดวงตาค่ายกลไป มันก็คือตรงจุดที่จั๋วอวิ๋นเซียนอยู่ตอนนี้
‘ดวงตาค่ายกล’ คือจุดศูนย์กลางโคจรพลังค่ายกลและเป็แกนกลางของค่ายกลอีกด้วย ค่ายกลบางชนิดใช้สิ่งของเป็ดวงตา ค่ายกลบางชนิดใช้ิญญาเป็ดวงตา การใช้ดวงตาค่ายกลที่ต่างกันจะทำให้มีประสิทธิภาพที่ไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งปรมาจารย์ค่ายกลในสมัยโบราณ ใช้ฟ้าดินเป็ค่ายกลและใช้ร่างกายตัวเองเป็ดวงตา ค่ายกลที่สร้างขึ้นมาจึงมีพลังหมื่นผันแปรเปลี่ยน เมื่อต่อกรกับศัตรูจะอยู่ในจุดที่ไร้พ่าย
นี่ก็คือข้อความที่จั๋วอวิ๋นเซียนเคยอ่านในตำราค่ายกลโบราณเล่มหนึ่ง แต่น่าเสียดายหลังจากเกิดภัยพิบัติ มรดกสืบทอดของวิถีแห่งค่ายกลจึงขาดหายไป บนทวีปไท่เซียนในปัจจุบันยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่มีความสามารถเช่นนี้มาก่อน อย่างมากก็เพียงใช้เมืองเป็ค่ายกล ใช้พลังของชีพจรพิภพเพื่อป้องกันดินแดนเท่านั้น
……
ในเมื่อหาจุดศูนย์กลางโคจรค่ายกลได้ จั๋วอวิ๋นเซียนจึงมีวิธีทำลายค่ายกลแล้ว
หลังจากทดลองและคำนวณซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายวัน เขาคิดแนวทางแก้ไขปัญหาได้สองทาง ทางแรกใช้พลังจากภายนอกทำลายดวงตาค่ายกล ทางที่สองคือซ่อมแซมแผนผังค่ายกลอันนี้ วิธีแรกเป็วิธีที่ค่อนข้างปกติ ผู้คนมากมายที่เข้ามาในค่ายกลล้วนทำเช่นนี้ แต่วิธีอย่างหลังกลับไม่ค่อยมีใครลองทำ ถึงอย่างไรการทำลายก็ง่ายกว่าการซ่อมแซมมาก
แต่จั๋วอวิ๋นเซียนสนใจแผนผังค่ายกลสมบูรณ์แบบอันนี้มาก เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีที่สอง
ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนล้วน้าเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องใช้พู่กันสลักิญญาที่มีคุณภาพสูง
พู่กันสลักิญญาในมือของจั๋วอวิ๋นเซียนทำจากวัสดุธรรมดาซึ่งแบกรับพลังสะท้อนจากค่ายกลไม่ไหว มันจึงมิอาจใช้สลักอักขระค่ายกลที่ซับซ้อนมากเกินไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จั๋วอวิ๋นเซียนถอยออกมาจากสุสานโบราณ ก่อนจะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายมุ่งหน้าไปทางสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้า
……
มิติมายาสุญญตามีท้องฟ้าที่มืดมัว อากาศร้อนอบอ้าว ไร้สิ่งมีชีวิต นอกจากเนินเขารกร้างแล้วก็มีแค่พื้นดินแห้งแล้ง
‘เมืองโบราณเทียนฟง’ ตั้งอยู่ในซากปรักหักพังบนูเา ดูเป็เมืองที่เรียบง่าย ไม่มีสิ่งก่อสร้างแต่อย่างใด
ที่นี่คือตลาดที่ใกล้สุสานโบราณที่สุดซึ่งได้รับการคุ้มครองจากพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนมากมายที่เข้ามาในมิติมายาสุญญตาล้วนพักอยู่ที่นี่ บางครั้งอากาศก็หนาวเย็น บางครั้งอากาศก็ร้อนอบอ้าว
“ขายยันต์หลากหลายชนิด ราคาย่อมเยา แต่รับประกันคุณภาพ!”
“ไม้เซวียนเถี่ยราคาสิบเหรียญต่อหนึ่งท่อน หินหานซิงราคาห้าเหรียญต่อหนึ่งก้อน...และรับซื้อผลอู๋ฮวาด้วยนะ...”
“บันทึกการผ่านด่านโบราณสถาน เล่มละสิบเหรียญก็พาท่านก้าวสู่จุดสูงสุดได้!”
“สมาคมไป๋หลิงเปิดรับศิษย์ใหม่ สวัสดิการดี พลังแข็งแกร่ง...ผู้ที่มีใบรับรองวิชาเซียนจะได้รับการพิจารณาเป็พิเศษ”
“มีใครจะเดินทางไปโบราณสถานลำดับที่หนึ่งร้อยบ้าง ได้โปรดพาข้าไปด้วย ข้าคุกเข่ามาสามวันแล้ว”
……
ขณะเดินอยู่บนถนนในเมืองโบราณ มีเสียงะโอย่างคึกคัก ผู้คนเดินไปเดินมากันเป็กลุ่ม จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกราวกับเข้ามาในโลกอีกใบหนึ่ง
ในสุสานโบราณเงียบราวกับป่าช้า ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีสติปัญญาเฉียบแหลมกับจิตใจที่จดจ่อ เกรงว่าคงยากที่จะอยู่ในสถานที่เช่นนั้นเป็เวลานานได้
……
“คุณชายอวิ๋นน้อย ้าอะไรหรือ?”
บนแผงลอยข้างทางมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งทักทายจั๋วอวิ๋นเซียน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองรู้จักกัน
จั๋วอวิ๋นเซียนชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปถามว่า “เถ้าแก่อู๋ ข้าอยากได้พู่กันสลักิญญาคุณภาพสูง”
เถ้าแก่อู๋ดวงตาเป็ประกายแสร้งทำเป็ลำบากใจ “คุณชายอวิ๋นน้อย ท่านก็คงรู้ดีอยู่แล้วพู่กันสลักิญญาคุณภาพสูงนั้นเป็สินค้าขาดตลาด ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ!”
“ข้าถึงได้มาหาท่านอย่างไรเล่า!”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้พูดมาก เขาหยิบเงินมายาจำนวนพันกว่าเหรียญออกมาจากในถุงเก็บของมอบให้อีกฝ่าย จากนั้นกล่าวรายการวัตถุดิบอีกมากมาย
ในมิติมายาสุญญตาแห่งนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนอาจจะขาดแคลนหลายสิ่ง แต่ไม่ใช่กับเงินมายา เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านโบราณสถานมาเก้าสิบแปดแห่งแล้ว
เถ้าแก่อู๋คือคนท้องถิ่นของเมืองโบราณ มีความน่าเชื่อถือไม่น้อย ทั้งยังมีเส้นสายได้รับข่าวสารอย่างรวดเร็ว จั๋วอวิ๋นเซียนจึงไม่ได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะหาของมาไม่ได้
เมื่อเห็นเงินมายาในมือ เถ้าแก่อู๋ยิ้มแย้มแจ่มใส รีบลงมือทันที
เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน พู่กันสลักิญญาระดับกลางสิบแท่งกับวัตถุดิบกองใหญ่ถูกส่งให้จั๋วอวิ๋นเซียน
จ่ายเงินรับของ การซื้อขายเสร็จสิ้น
……
เมื่อกลับมาถึงสุสานโบราณอีกครั้ง จั๋วอวิ๋นเซียนจมอยู่กับการสร้างอักขระค่ายกล
อักขระคือรากฐานของศาสตร์ทุกแขนง ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะไม่เคยเรียนรู้ตามระบบมาก่อน แต่เขาผ่านซากโบราณสถานมาเกือบร้อยแห่งแล้ว จึงค่อยๆ เข้าใจห้าศาสตร์วิถีเซียนมากขึ้น ไม่ว่าการปรุงโอสถ การสร้างอาวุธ หรือการวางค่ายกลกับการวาดยันต์ ล้วนมีอักขระเป็รากฐาน เรียกได้ว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ต่อให้เปลี่ยนไปแค่ไหนก็ยังมีหลักการเดิม
ในตำราโบราณหลายเล่มมีบันทึกเอาไว้ว่าก่อนยุคโบราณการสืบทอดพลังนั้น ไม่มีการสืบทอดเป็ลายลักษณ์อักษรมาก่อน แต่มีเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้ชาญฉลาดสังเกตกฎการเคลื่อนไหวของฟ้าดิน จนให้กำเนิดเป็อักขระต่างๆ ถ่ายทอดแก่สรรพชีวิต ดังนั้นอักขระจะเป็สิ่งที่อธิบายวิถีแห่งฟ้าดินได้เที่ยงตรงที่สุด
ทว่าการซ่อมแซมแผนผังค่ายกลนั้นไม่ใช่เื่ง่าย แผนผังค่ายกลสามร้อยหกสิบภาพเชื่อมต่อหลอมรวมกันเป็หนึ่งเดียว หากผิดพลาดเล็กน้อยก็จะพังทลายทั้งหมด
หากต้องกล่าวตามตรงแล้ว แผนผังและอักขระค่ายกลชุดนี้ซับซ้อนมาก จั๋วอวิ๋นเซียนดูไม่ออกสักอัน กระทั่งดูจนตาลาย เขาก็ทำได้เพียงค่อยๆ ซ่อมแซมตามรอยเดิมที่มีอยู่ ถึงแม้จะไม่ต้องมีกระบวนการพิเศษอะไร แต่กลับต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด
โชคดีที่จั๋วอวิ๋นเซียนมีการควบคุมพลังจิตที่ยอดเยี่ยม มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาจะต้องปวดศีรษะยิ่งกว่านี้
……
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป อักขระตัวแล้วตัวเล่าถูกซ่อมแซมขึ้นมา
หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม สามชั่วยาม...
แผนผังค่ายกลชุดแรกสว่างขึ้น แผนผังค่ายกลชุดที่สองสว่างขึ้น และตามมาด้วยแผนผังค่ายกลชุดที่สามสว่างขึ้น...
……
หลังผ่านไปหนึ่งวันแผนผังค่ายกลทั้งเก้าก็สว่างไสว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนเข้าใจอักขระยิ่งขึ้น ความเร็วในการซ่อมแซมแผนผังค่ายกลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หลังผ่านไปสองวัน แผนผังค่ายกลอันที่ยี่สิบเอ็ดสว่างขึ้น!
หลังผ่านไปสามวัน แผนผังค่ายกลอันที่สามสิบแปดสว่างขึ้น!
……
หลังผ่านไปสิบวัน แผนผังค่ายกลอันที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองสว่างขึ้น!
หลังผ่านไปยี่สิบวัน แผนผังค่ายกลอันที่สามร้อยห้าสิบเก้าสว่างขึ้น!
่หลายวันมานี้จั๋วอวิ๋นเซียนจะออกจากมิติมายาเพียงวันละครั้ง นอกจากจดจ่อแล้วก็คือจดจ่ออีก...ความสำเร็จไม่เคยมาเพราะความโชคดี
“ครื้นๆ!”
เมื่อแผนผังค่ายกลอันที่สามร้อยหกสิบสว่างขึ้น ทั้งสุสานโบราณก็สั่นไหวเล็กน้อย กระดูกนับหมื่นสลายเป็ผุยผง พื้นดินเปล่งแสงเยือกเย็นชนิดหนึ่งออกมา!
“ครื้น!”
พื้นดินแตกแยกออกกะทันหัน จั๋วอวิ๋นเซียนใ! เขาเพิ่งเคยเห็นการปรากฏของค่ายกลใหญ่ขนาดนี้ในมิติมายาสุญญตาเป็ครั้งแรก
จากนั้นแท่นบูชาสี่เหลี่ยมอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้นดิน มันสูงเก้าจั้งลอยอยู่กลางอากาศ บนนั้นสลักอักขระและแผนผังประหลาดเอาไว้นับไม่ถ้วน
จั๋วอวิ๋นเซียนตกตะลึงและรีบเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นตรงกลางแท่นบูชา มีสตรีชุดขาวคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ แต่ร่างของนางถูกล่ามไว้ด้วยโซ่สีทอง ร่างกายแผ่ซ่านความเย็นะเืออกมา
“ติ้งๆ!”
โซ่ตรวนสั่นไหว จนเกิดเสียงเสียดสีแสบแก้วหู
จั๋วอวิ๋นเซียนตกตะลึงอยู่กับที่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
