“แม่ทัพตายนับร้อย เหล่าผู้กล้าล้วนลาลับ
ราชสำนักมีหมื่นแสน ยังหัวร่อต่อกระซิก
กลางทุ่งหญ้าคนมอดม้วย แคว้นเชินไร้ทุ่งหญ้า
วันนี้เสียหนึ่งเมือง พรุ่งนี้สิ้นทั้งแคว้น”
กลอนบทนี้ฉันทลักษณ์ก็ไม่ถูกต้อง ััก็ไม่ถูกต้อง ทั้งภาษาก็ไม่วิจิตร ว่ากันแล้วนอกจากจะไม่อาจเรียกว่าบทกลอนได้ หากจะพอถูๆ ไถๆ ก็คงจะเรียกว่าบทกลอนขำขันก็คงได้
ทว่าเมื่อมองชายชราที่นอนหมอบอยู่บนพื้นหยก เขาคือขุนนางในชุดขาดรุ่งริ่งที่อาบย้อมไปด้วยเื ทุกคนก็ล้วนแต่อ้าปากตำหนิไม่ออก
เพียงรู้สึกว่าใบหน้าตนร้อนผะผ่าวเสียจนแสบร้อน
ยกเว้นผู้ตรวจการเย่หรงที่ไม่ได้มีอาการเ่าั้แม้แต่น้อย ทั้งสายตาที่มองไปยังเฉินเจี๋ยอวี๋บัดนี้ไม่ได้แฝงไว้เพียงโทสะ แต่ยังมีความอาฆาตเพิ่มขึ้นมา
เขารู้จักตาแก่นี่ดี
เพราะตาแก่นี่กับเขาเคยเป็สหายร่วมเรียนกันมา เฉินเจี๋ยอวี๋เป็บัณฑิตดีเด่นอันดับที่ยี่สิบ ส่วนเขาคืออันดับที่ยี่สิบเอ็ด
แม้จะห่างกันแค่หนึ่งอันดับ แต่ก็นับว่าแตกต่างกันมากโข
เฉินเจี๋ยอวี๋มีทั้งท่านอาจารย์ใหญ่และท่านอาจารย์มากมายคอยเป็ห่วง ทั้งสหายร่วมเรียนคนอื่นๆ ที่คอยสนับสนุนเขาก็มีอีกไม่น้อย
ส่วนตัวเขานั้นได้แต่อยู่เงียบๆ ไร้ชื่อเสียงใด
จวบจนได้เข้ามาเป็ขุนนางในราชสำนัก
ในปีนั้นเฉินเจี๋ยอวี๋ผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกเนรเทศไปเป็นายอำเภออยู่ในพื้นที่รกร้าง ส่วนเขานั้นได้เป็ผู้ตรวจการอนาคตไกลที่อายุน้อยที่สุด
เขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีกิจใดให้มาร่วมงานกับเ้านี่อีก พวกเขาทั้งสองไม่จำเป็ต้องคลุกคลีกันอีกแล้ว ความแตกต่างระหว่างพวกเขานับวันก็จะยิ่งเด่นชัด
ทว่าบัดนี้ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปในวันวาน
บทกลอนชั้นต่ำบทนี้ย่อมจะต้องถูกเผยแพร่ต่อเป็แน่
ต่อไปหากล่าวถึงกลอนบทนี้ ผู้คนก็ย่อมต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนี้
เขาช่างย้ายหินมาทับเท้าตนเองแท้ๆ
หรือกระทั่งย้ายหินมาทับเท้าก็ยังอาจจะเทียบอันใดกันไม่ได้
ไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้ว บัดนี้สายตาของทุกคนล้วนแต่จับจ้องไปที่เฉินเจี๋ยอวี๋ ฮ่องเต้เองก็เช่นกัน
ฮ่องเต้เวินที่เดิมทียังดูง่วงงุน ยามนี้กลับตื่นเต็มตาในทันใด
เขาเป็ถึงฮ่องเต้ผู้เกรียงไกร
บ้านเมืองและราษฎรเป็สุขสงบ ก็มาจากความมุมานะของเขาเช่นกัน
ทว่าบัดนี้เหตุการณ์ที่ราชวงศ์ก่อนๆ ยังไม่เคยปรากฏ ภาพทรราชที่กำลังยื้อยุดกับความตาย ยามนี้กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
วันนี้เสียหนึ่งเมือง พรุ่งนี้สิ้นทั้งแว่นแคว้นอันใดกัน นี่ไม่ใช่การสาปแช่งให้แคว้นพินาศอยู่หรือ
ใบหน้าและหูของฮ่องเต้พลันแดงเถือก ทั้งยังดูมีแววพิโรธราวกับเพลิงที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง ทว่าถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจบันดาลโทสะออกมาได้
แคว้นเชินเป็แคว้นแห่งพิธีการ เป็แคว้นที่ล้วนแต่ได้ขุนนางเป็ผู้ปกครอง
เว้นเสียแต่ว่าจะทำผิดร้ายแรง ความผิดอื่นใดเหล่าขุนนางล้วนไม่ต้องรับโทษปะา เพียงลดระดับให้เหลือเพียงแค่เนรเทศเท่านั้น
ทว่านายอำเภอตำแหน่งเล็กๆ ตรงหน้าเขา ทั้งยังเป็นายอำเภอที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่ทุ่งหญ้าป่าเถื่อนที่แทบไม่ต่างอันใดกับการโดนเนรเทศ
เหล่าขุนนางพวกนี้ก็เกาะกลุ่มกันดีนัก หากเขาเอาแต่ะเิโทสะง่ายๆ คนพวกนี้ก็ยิ่งจะเร่เข้ามาร้องขอชีวิต ทั้งที่ความจริงคนที่พวกเขาร้องขอชีวิตมีแต่จะยิ่งตายเร็วกว่าเดิม ส่วนคนเ่าั้ก็มีแต่จะยิ่งเลื่องชื่อ
แน่นอนว่า ยามนี้ที่เขาเพียงจะเริ่มหายใจแรงเพราะโทสะ เหล่าขุนนางก็เริ่มเตรียมตัวจะออกหน้าแล้ว ทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่คนสองคน แต่กลับออกมากันเป็กลุ่มใหญ่
บัดนี้ยังพากันคุกเข่า
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรคราหนึ่ง เหล่าขุนนางชุดหลากสีเหล่านี้เหมือนว่าชุดสีม่วงนั้นจะมีมากที่สุด กระทั่งอัครเสนาบดีของเขาก็คุกเข่าลงเช่นกัน
“ฝ่าา ขุนนางชราเช่นกระหม่อมขอวิงวอน ขอฝ่าาโปรดออกพระบัญชาส่งทหารไปช่วยพวกเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ พื้นที่ทุ่งหญ้ารกร้างแม้จะห่างไกล ทว่าก็ยังเป็ดินแดนของแคว้นเชิน ราษฎรแม้จะป่าเถื่อน แต่ก็ยังเป็ราษฎรของแคว้นเชิน”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเชินทอดพระเนตรมองเหล่าขุนนางที่พากันคุกเข่าลง ในใจพิโรธนัก
เ้าคนพวกนี้ยามพบตนก็ไม่เคยจะคุกเข่า ทว่าบัดนี้ยามคุกเข่าก็ยังทำหน้าราวกับว่าหากเขาไม่ตกลงก็จะยอมสละชีพอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าปวดหัวนัก
ทั้งเขานั้นยังหวาดกลัวคนคุกเข่ามากที่สุด
เื่ที่กองทัพจิงบุกมายังพื้นที่ทุ่งหญ้าก็เป็เื่หลายวันมาแล้ว ตอนนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์ไปถามราชครูเป็การส่วนตัว
ทั้งที่เขาวางใจนัก กระทั่งพระธิดาผู้แสนฉลาดเฉลียวของเขาก็ยังบอกว่าไม่มีอันใด
ทุ่งหญ้าห่างไกลเดิมทีก็ถูกแคว้นจิงก่อกวนอยู่ตลอด คนแคว้นจิงก็ป่าเถื่อนนัก ทั้งสองแคว้นยังมีชายแดนติดต่อกัน จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงเื่การกระทบกระทั่ง
แต่ยามนี้ดูจากสภาพนายอำเภอที่นอนใกล้จะสิ้นใจอยู่ด้านล่างนี้ มันจะเพียงแค่น่าใแต่ไม่มีอันตรายได้อย่างไร
ขุนนางเหล่านี้ล้วนแต่ทะนุถนอมชีวิต
เื่ที่ทำให้เขารีบบึ่งมาอย่างไม่เสียดายชีวิตเช่นนี้ กล้าลั่นระฆัง และไม่กลัวตาย ทั้งยังกล้าแต่งกลอนตำหนิเขา นายอำเภอเฒ่าคนนี้ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไร ย่อมเห็นได้ชัดว่ายามนี้ทุ่งหญ้าป่าเถื่อนคงจะย่ำแย่จนไม่อาจจะแย่ไปกว่านี้ได้แล้ว
ฮ่องเต้พลันพิโรธขึ้นอีกครั้ง เขาเริ่มคิดถึงราชครูขึ้นมาอีกแล้ว ราชครูคนก่อนอย่างน้อยก็ยังไม่เคยเชื่อถือไม่ได้ถึงเพียงนี้
ยามนี้เขาคงไม่อาจจะอธิบายกับเหล่าขุนนางว่าที่เขาไม่ส่งทหารไปเป็เพราะราชครูน้อยกับองค์หญิงกล่าวว่าไม่มีกระไรกระมัง
หากเขากล่าวเช่นนั้นคงได้โดนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะเป็แน่ ทว่าหากเขาส่งกองทัพไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่ากำลังยกมือขึ้นตบหน้าตนเอง
ก่อนหน้านี้เขายังบัญชาให้ส่งจดหมายไปติเตียนด่านชายแดน ทว่าบัดนี้เหล่าทหารชายแดนล้วนแต่ตายกันจนสิ้น
ว่ากันตามจริงแล้วในใจเขายังคิดว่าโชคดีเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าหากกองทัพจิงรบเสร็จแล้วก็อาจจะยกทัพกลับไปเองก็เป็ได้ ในอดีตก็เป็เช่นนี้
หากเขาส่งกองทัพออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะเป็การดึงดูดกองทัพจิงให้มาที่นี่ก็เป็ได้
แคว้นเชินนั้นให้ความสำคัญกับความรู้มากกว่าการต่อสู้ ตำแหน่งของขุนนางทหารจึงได้ต่ำต้อยนัก ทั้งตัวเขาเองก็ยังนึกสงสัยในความสามารถของขุนนางทหารมาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อเห็นเหล่าขุนนางคนสำคัญพากันคุกเข่ากันเช่นนี้ ก็พลันรู้สึกขมปร่าจนกล่าวอันใดไม่ออก
ในตอนนั้นผู้ตรวจการเย่หรงก็เดินออกมาอีกครั้ง
เขาไม่ได้คุกเข่าลง เพียงยืนแล้วกราบทูลขึ้น “ทูลฝ่าา กระหม่อมเห็นว่าหากจะให้ส่งกองทัพออกไปกะทันหันเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสม แคว้นจิงนั้นเป็เพียงแคว้นเล็กๆ หากบุ่มบ่ามส่งกองทัพออกไป ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไร้เมตตาของแคว้นใหญ่ กระหม่อมเห็นว่าควรส่งคนไปตำหนิฮ่องเต้แคว้นจิง หากตำหนิแล้วยังกำเริบเสิบสาน จึงค่อยส่งกองทัพของเราออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ตรวจการเย่หรงยามออกมาก็ออกมาพร้อมกับเหล่าขุนนางคนอื่นๆ
คนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็ขุนนางาุโ
เมื่อเย่หรงกล่าวจบ ชายที่นอนซมใกล้จะสิ้นชีพอยู่บนพื้นก็พลันกระอักเืออกมาคำโต จากนั้นจึงยันกายลุกขึ้นนั่ง มือสั่นเทาชี้หน้าเย่หรง แล้วตำหนิขึ้นอย่างเผ็ดร้อน “อนาคตของแคว้นเชินกำลังจะดับมอดลงด้วยน้ำมือของคนโฉดเช่นเ้า”
เมื่อกล่าวจบก็หมดสติล้มลงทันที
เย่หรงที่เพิ่งจะโดนปรามาสพลันใบหน้าซีดขาว ทว่าแววตากลับดูชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม เขาก้มหน้าลงแล้วกราบทูลอีกครั้ง “กระหม่อมขอฝ่าาโปรดบัญชาให้ใต้เท้าเฉินเป็ผู้ส่งสารไปยังแคว้นจิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เห็นขุนนางที่หมดสติล้มลงกับพื้นแล้วก็พลันใ
นิสัยของเขาค่อนข้างจะอ่อนโยน เช่นนั้นจึงทนมองเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้จริงๆ จึงได้รับสั่งให้คนพาใต้เท้าเฉินออกไปเสีย
ส่วนเื่ที่ผู้ตรวจการเย่หรงเพิ่งจะกล่าวมานั้น ก็ทำให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ต่างก็แหงนมองด้วยแววตาอาฆาต
คนสารเลว สารเลวยิ่งนัก สารเลวเกินใคร
นายอำเภอเฉินเสี่ยงตายมาส่งสาร เย่หรงถึงขั้นออกปากให้ใต้เท้าเฉินเป็ผู้ส่งสารตำหนิไปถวายฮ่องเต้แคว้นจิง ทว่าฮ่องเต้แคว้นจิงใช่คนที่จะตำหนิได้หรือ ว่ากันว่าเพื่อจะอภิเษกกับภรรยาของพี่ชาย เขาถึงขั้นลงมือฆ่าชายาและเหล่าพระสนมด้วยตนเอง
เหล่าขุนนางาุโที่ยืนอยู่หลังเย่หรง บัดนี้ก็ค่อยๆ ถอยไปด้านหลังกันเงียบๆ ให้พวกตนนั้นอยู่ห่างจากขุนนางตรงหน้าสักหน่อย
เขาเห็นด้วยกับความเห็นของผู้ตรวจหารเย่หรง เพราะเขานั้นก็ไม่ได้คิดจะทำา เขาพอใจกับชีวิตสุขสงบของตนในปัจจุบันแล้ว
ทว่าที่ผู้ตรวจการเย่กล่าวเช่นนี้ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณธรรมของเขามีปัญหา
แม้เขาจะไม่คิดทำา ทว่ากลับรู้สึกเลื่อมใสนายอำเภอเฉินที่กลับมาส่งสารนัก
ขุนนางทั้งหลายควรจะมีคุณธรรมเช่นนี้
ฮ่องเต้มองคนที่ถูกส่งตัวออกไป พื้นหยกที่ยังสะท้อนแสงแวววาว ยามนี้กลับมีรอยเื รอยนั้นราวกับจะทะลุเข้ามาในดวงตาของตน
สุดท้ายฮ่องเต้ก็ไม่ได้มีพระบัญชาให้ส่งกองทัพ หรือปฏิเสธจะไม่ส่งกองทัพ เพียงแค่ตรัสว่าค่อยมาหารือกันใหม่ แล้วจึงยกเลิกการประชุม
เหล่าขุนนางด้านล่างในใจต่างก็บังเกิดความรู้สึกประหลาด ทว่าความรู้สึกที่มีก็คล้ายๆ กัน นั่นคือผิดหวังเหลือเกิน
ช่างจิตใจโลเลนัก จะส่งหรือไม่ส่งทหาร เพียงตรัสออกมาสักคำก็สิ้นเื่
ในแคว้นเชิน ขุนนางวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้อย่างเสรี
เมื่อการประชุมจบลง ทุกตรอกซอกซอยก็พากันขับร้องบทกลอนของท่านนายอำเภอเฉิน
กระทั่งหออู๋เปียนและเรือนหนานเฟิงก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน
บทกลอนที่ทั้งสง่างามและแสนอาดูร
แม่ทัพตายนับร้อย เหล่าผู้กล้าล้วนลาลับ
ราชสำนักมีหมื่นแสน ยังหัวร่อต่อกระซิก
กลางทุ่งหญ้าคนมอดม้วย แคว้นเชินไร้ทุ่งหญ้า
วันนี้เสียหนึ่งเมือง พรุ่งนี้สิ้นทั้งแคว้น
เหล่าพ่อค้าต่างแดนที่ฟังแล้วไม่เข้าใจความหมายพลันดึงแขนเสี่ยวเอ้อในหอสุรามาถามไถ่ด้วยความสงสัย “นี่เป็กลอนบทใหม่ที่องค์หญิงอีของพวกเ้าประพันธ์หรือ ไฉนจึงได้รันทดถึงเพียงนี้”
เสี่ยวเอ้อส่ายหน้าไปมา “ ไม่ใช่องค์หญิงขอรับ บทกวีที่องค์หญิงประพันธ์ล้วนเกี่ยวกับพิณหรือการชมคนงาม บทกวีที่เกี่ยวกับความกล้าหาญเช่นนี้ ใต้เท้าเฉินวีรบุรุษของพวกเราเป็คนแต่งขึ้น”
