เมื่อส่งลุงสามปี้กลับไปแล้ว นางก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรกับพี่รองลู่ที่มีสีหน้าเหมือนคนมีชนักติดหลัง แต่ไล่ให้เขาไปนอนพักผ่อนแทน
เช้าวันรุ่งขึ้น นกน้อยส่งเสียงร้องโวยวายอยู่ข้างหน้าต่าง ทำเอาเสี่ยวหมี่ปวดหัวไม่น้อย แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับเห็นปลายมีดวาววับจ่ออยู่ที่ลำคอนาง
นางอดทนอย่างยิ่งที่จะไม่กลอกตา “แม่นางท่านนี้ อาการาเ็บนร่างเ้าข้าเป็คนหาคนมารักษาให้ อาภรณ์บนร่างเ้าก็เป็ชุดใหม่ที่ข้ายังตัดใจใส่ไม่ลงด้วยซ้ำ มีดที่เ้าถืออยู่ข้าเป็คนล้างจนสะอาดแล้ววางไว้ข้างหมอนเ้าเอง การที่เ้าทำเช่นนี้นับว่าเนรคุณหรือไม่”
มีดวาววับเล่มนั้นถึงค่อยๆ ถูกเก็บกลับไป
เสี่ยวหมี่ลุกขึ้นนั่ง นางสวมเสื้อคลุมตัวนอกอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เดินไปล้างหน้าล้างตา ใช้น้ำชาเย็นชืดกลั้วปาก แล้วถึงได้หันไปมองแม่นางคนงามบนเตียงเตา กล่าวว่า “ลู่อู่คือพี่ชายคนรองของข้า ข้าไม่สนว่าพวกเ้ามีบุญคุณความแค้นอะไรกัน เขาพาเ้ากลับมา ข้าเองก็ไม่อาจเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยได้ แต่บ้านข้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ล้วนรักสงบ เ้าอย่าเอะอะก็เอาแต่จะชักมีดออกมา หากเ้าคิดจะไปข้าก็จะไม่ห้าม หากคิดจะรั้งอยู่ก็ต้องรู้ว่าการเป็แขกที่ดีควรทำเช่นไร”
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันถูกคนข่มขู่เหมือนจะถูกเอาชีวิตติดๆ กันถึงสองครั้ง ต่อให้เสี่ยวหมี่จะนิสัยดีแค่ไหนก็ยากจะไม่อารมณ์เสีย นางกล่าววาจาร้ายกาจใส่แม่นางคนนั้นเสร็จก็หมุนตัวจากไป ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าแม่นางคนนั้นจะมีสีหน้าไม่น่ามองแค่ไหน
ตามหลักแล้วไม่ว่าใครหากาเ็แล้วสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าาแของตนได้รับการดูแลอย่างดี เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน อีกทั้งคนที่นอนอยู่ข้างๆ ยังเป็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง ต่อให้ไม่คาดว่าเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต แต่อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นยกมีดขึ้นมาจ่อคอหอยกันเช่นนี้
เสี่ยวหมี่เดินไปพลางด่าแม่นางคนนั้นไปตลอดทาง พอดีพี่รองลู่เดินมาเจอนางเข้าจึงเอ่ยถาม “เสี่ยวหมี่ เสี่ยวเอ๋อตื่นหรือยัง?”
“ห่านน้อย [1] เป็ดน้อย [2] อะไรข้าไม่รู้จัก”
เสี่ยวหมี่ถลึงตาดุดันใส่พี่ชายของตัวเอง ดึงชายเสื้อเขาเดินไปอย่างรีบร้อน “ท่านน่ะมานี่เลย ข้ายังไม่ทันได้ถามท่านเลย ให้ท่านเอาของไปให้พี่สาม เหตุใดไปนานถึงหนึ่งเดือน? ท่านไปสร้างปัญหาอะไรมา หากไม่เล่ามาให้หมด ข้าจะ...ข้าจะให้ท่านพ่อใช้กฎบ้านกับท่าน ไม่ให้ท่านกินข้าวอีก”
“ไม่เอานะ เสี่ยวหมี่ ไม่ใช่ น้องพี่ ข้าจะเล่า เล่าทุกอย่างเลย”
ถึงแม้ยามปกติพี่รองลู่จะเป็คนไม่ค่อยฉลาดอ่านสีหน้าคนนัก แต่ก็รู้ดีว่าน้องสาวของเขาเป็คนใจอ่อนแค่ไหน จึงทำเป็ร้องขอความเมตตาอย่างน่าสงสาร เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหมี่สีหน้าดีขึ้นเป็อย่างมาก
พอดีตอนนั้นบิดาลู่ก็เปิดหน้าต่างออกมา เห็นบุตรสาวบุตรชายก็เรียกพวกเขา “เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ พ่อก็อยากฟังเช่นกัน”
พูดจบเขาก็โบกไม้บรรทัดในมือ ทำเอาพี่รองลู่ใสีหน้าขมขื่น
ตอนเด็กๆ เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ เขาจึงถูกไม้บรรทัดเหล็กนี่ตีจนมือแดงบ่อยๆ...
พี่ใหญ่ลู่ที่เพิ่งกลับถึงบ้านก็ถูกเสี่ยวหมี่เรียกเข้าไปเช่นกัน ส่วนผู้เฒ่าหยางรู้ตัวดีว่าเป็คนนอก จึงเดินเอามือไพล่หลังไปยังที่นาแทน เวลานี้ซูอีกำลังพาม้าไปปล่อยให้กินหญ้าในทุ่ง ดังนั้นบ้านสกุลลู่ยามนี้จึงเหลือเพียงคนสกุลลู่สี่คน
พี่รองลู่รู้ดีว่าหลบไม่พ้นแล้ว เขานั่งบิดไปมาอยู่บนเก้าอี้ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าออกมาจากสำนักศึกษา เนื่องจากเร่งเดินทางไปไม่ทันจุดพักแรมก่อนมืด จึงคิดจะนอนพักบนต้นไม้สักคืน สุดท้ายกลางดึกคืนนั้นกลับเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมสังหารแม่นางคนหนึ่งอยู่ ผู้เป็ชาวยุทธ์ หากเจอใครได้รับความลำบากก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าจึงะโลงไป ถือโอกาสที่พวกนั้นไม่ทันตั้งตัวจัดการพวกเขาเสีย แล้วช่วยแม่นางคนนั้นหรือก็คือเสี่ยวเอ๋อหลบซ่อนตัวเข้าไปในป่า ข้าใช้เส้นทางอ้อมตั้งไกลกว่าจะมาถึงบ้าน”
เสี่ยวหมี่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ซักไซ้ว่า “คนพวกนั้นถูกท่านฆ่าตายหมดแล้ว?”
“เปล่า พวกเขาคนเยอะเกินไป ข้าช่วยเสี่ยวเอ๋อออกมาได้ก็ไม่เลวแล้ว”
พี่รองลู่เชิดคางขึ้นด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อย กลับไม่เห็นว่าสีหน้าน้องสาวของตนเริ่มไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อให้พวกท่านจะข้ามเขาคนละลูกกลับมา ก็ไม่ถึงกับต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือนกระมัง?”
“คนพวกนั้นช่างน่ารำคาญเหมือนแมลงวัน เอาแต่ไล่ตามหลังพวกเรามา สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด แล้วเสี่ยวเอ๋อก็ยังาเ็อีก ข้าต้องแบกนาง จึงทำให้เดินทางได้ช้าลง...”
ลู่อู่บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับถูกตบหลังอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว
เสี่ยวหมี่โกรธมาก กล่าวอย่างโมโหว่า “ท่านนี่น่าโมโหจริงๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน ท่านก็ไปช่วยคนมาเฉยๆ ช่วยมาแล้วก็ช่างเถอะ แต่ก็ควรจะจัดการให้เรียบร้อยสิ ตอนนี้กลับชักนำศัตรูมาถึงบ้าน ท่านคิดว่าคนที่บ้านอยู่สบายเกินไปหรือ อยากให้พวกเราได้ลิ้มรสคมดาบปลายศรเช่นกันใช่หรือไม่”
“อา...” พี่รองลู่ถูกตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก เขากระพริบตาพริบๆ สองสามที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเขาทำเช่นนี้ออกจะมุทะลุเกินไปหน่อย จึงรีบเอ่ยว่า “เสี่ยวหมี่ เ้าอย่ากลัวไปเลย คนพวกนั้นตามหาบ้านเราไม่เจอหรอก ตอนที่ขึ้นเขาข้าก็ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยข้าจัดการไปแล้ว อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาจะตามมาถึงที่บ้านก็ไม่ใช่ว่ายังมีเกาเหรินและพี่ใหญ่เฝิงอยู่หรือ”
พูดจบแล้ว เขาถึงเพิ่งััได้ว่าบ้านเงียบสงบเกินไป ถึงได้ถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่เฝิงเล่า? เกาเหรินเล่า? เข้าเมืองไปแล้วหรือ?”
เสี่ยวหมี่โกรธจนยากจะเตะเขาสักที ยังไม่ต้องพูดว่าอาจารย์ใบ้คนนั้นของเขาจัดการกับพวกที่ไล่ล่าเขาอย่างไร ต่อให้จะจัดการไปจนหมดแล้ว แต่คนที่ไล่ฆ่ามาั้แ่แรกจะไม่ส่งข่าวไปให้ผู้อยู่เื้ัพวกเขาได้อย่างไร หากอีกฝ่ายมาล้อมเมืองอันโจวไว้ ก็คงหาทางตามหาหมู่บ้านเขาหมีจนเจอ อีกอย่าง อะไรที่เรียกว่าที่บ้านมีพี่ใหญ่เฝิงและเกาเหรินแล้วก็ไม่ต้องกลัวกันเล่า เขาไม่เข้าใจหลักการที่ว่าอย่าชักนำข้าศึกมาถึงประตูบ้านหรือไร
บิดาลู่เองก็โมโหเป็อย่างมาก เห็นว่าบุตรสาวก็โกรธมากเช่นกัน จึงยกไม้บรรทัดเหล็กในมือขึ้นเตรียมจะฟาดลูกชาย
พี่รองลู่ถูกฟาดจนดวงิญญาร่ำร้อง แต่ก็ไม่กล้าหลบ ทำได้แค่เอ่ยปากขอความเมตตา
“ท่านพ่อ ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว วันหน้าข้าจะไม่ช่วยคนแล้ว จะไม่สร้างปัญหาแล้ว”
เสี่ยวหมี่เห็นว่าแผลที่แขนพี่รองปริออก เืไหลออกมาจนชุ่ม ต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็ลืมไปจนหมด นางรีบเข้าไปขวางไม้บรรทัดของบิดา “ท่านพ่อ อย่ามีโทสะเลยเ้าค่ะ พี่รองยังาเ็อยู่นะเ้าคะ”
บิดาลู่ยังคิดจะฟาดเขาต่อ แต่ก็กลัวพลาดไปโดนบุตรสาว จึงโยนไม้บรรทัดทิ้งไปอย่างโมโห “เห็นแก่น้องสาวเ้า ครั้งนี้จะปล่อยเ้าไปก่อน”
พี่รองลู่ถอนใจโล่งอก ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสี่ยวหมี่พูดขึ้นว่า “ไม่ได้ ท่านพ่อ รอจนแผลของพี่รองหายดีแล้ว ท่านค่อยตีเขาใหม่”
บิดาลู่ที่เหนื่อยจนหอบตอนนี้กำลังดื่มน้ำชาอยู่ ได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนี้ก็เกือบจะสำลัก ส่วนพี่รองลู่นั้นร้องออกมาว่า “เสี่ยวหมี่ เ้าเป็น้องแท้ๆ ของข้านะ”
เสี่ยวหมี่กลับไม่ยอมลดราวาศอก “ในฐานะลูกผู้ชายอกสามศอก ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านก็แล้วไปเถอะ แต่กลับยังทำตัวไม่ฉลาด เอาแต่สร้างปัญหาให้ที่บ้าน หากไม่ตีท่าน ท่านก็ไม่หลาบจำ วันหน้าจะทำเช่นไร? ต่อไปหากท่านแต่งงานมีภรรยาและลูกแล้ว หรือว่าจะต้องปล่อยให้พวกเขาเอาแต่เป็ห่วงท่าน แต่ละวันผ่านไปอย่างต้องคอยเป็กังวลว่าจะถูกฆ่าล้างตระกูลเมื่อใดก็ไม่รู้”
“ข้าไม่...” พี่รองลู่คิดจะตอบโต้ แต่ก็ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหน้าแดงน้อยๆ แล้วหุบปากไป
“กินข้าวเสร็จแล้วท่านก็ขึ้นเขาไปเสีย ดูว่าอาจารย์ท่านจัดการปัญหาให้ท่านจนเรียบร้อยแล้วหรือยัง? หากจัดการจนสะอาดเอี่ยมแล้วก็ดี หากว่าจัดการไม่หมดจดละก็ หึ พวกเราทั้งตระกูล รวมถึงคนอื่นๆ ในหมู่บ้านนับร้อยชีวิตล้วนต้องหนีเข้าป่าไปหลบซ่อนแล้ว”
เสี่ยวหมี่ตีไหล่พี่รองลู่อย่างแรง เจ็บจนเขาสูดปาก แล้วถึงได้หมุนกายไปห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า
นางต้มโจ๊กกระดูกหมู เนื้อหมูผัดผักดอง ผักเครื่องเคียงอีกหนึ่งอย่าง และหมั่นโถว มื้ออาหารเช้าง่ายๆ ของสกุลลู่นับว่าอุดมสมบูรณ์กว่าบ้านอื่นมากนัก
พี่รองลู่กินไปพลางทำท่าเหมือนจะพูดอะไร เสี่ยวหมี่ทำเป็มองไม่เห็น พี่รองลู่อดทนรอจนเสี่ยวหมี่วางชามและตะเกียบลง ถึงได้ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “น้องพี่ เ้าทำอะไรให้เสี่ยวเอ๋อกินอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวหมี่นึกถึงตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วมีมีดจ่อคอ เส้นเอ็นข้างขมับก็แทบจะโป่งพอง
“เอาไปส่งให้ที่เรือนหลังแล้ว ท่านไปบอกเสี่ยวเอ๋ออะไรนั่น หากกล้าเอามีดมาจ่อคอข้าอีก ระวังข้าจะวางยาพิษนางให้ตาย”
“ได้ ได้ ข้าจะต้องบอกนาง...หา”
พี่รองลู่พูดไปได้ครึ่งหนึ่งถึงฟังที่น้องสาวพูดเข้าใจ นึกถึงตลอดทางมานี้ที่เขาเห็นเสี่ยวเอ๋อสาดอารมณ์โกรธเกรี้ยวมาทุกรูปแบบแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ เขาเตรียมจะขึ้นเขาไปหาอาจารย์ แต่ก็หันศีรษะกลับมา “น้องพี่ ช่วยหยิบของกินมาให้ข้าเอาไปเผื่ออาจารย์หน่อยเถอะ”
“ไม่มี” เสี่ยวหมี่กระแทกจานชามลงไปบนโต๊ะอย่างแรง “วันหน้าอย่าพูดถึงอาจารย์คนนี้ของท่านให้ข้าได้ยินอีก ตาแก่หน้าไม่อาย ข้าไม่ไปคิดบัญชีกับเขาก็นับว่าดีมากแล้ว ยังคิดจะให้ข้าทำอาหารเผื่อเขา คอยดูนะ ข้าจะวางยาเขาให้ตายเป็คนแรก”
พี่รองลู่ใจนอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าน้องสาวของเขาที่เดิมอ่อนโยนมีน้ำใจ เดือนเดียวกลับเปลี่ยนไปขนาดนี้...หรือว่านางไปกินผลไม้พิษอะไรเข้า ไม่ได้ เขาต้องลองถามอาจารย์ดู...
ครั้นเห็นว่าพี่รองลู่ถูกนางด่าจนใราวกับหนูตัวน้อยที่มุดศีรษะกลับเขารัง นางก็รู้สึกผิดเล็กน้อย หลายวันมานี้เหมือนนางจะอารมณ์ร้ายเป็พิเศษ หรือว่า...
เสี่ยวหมี่ถือถ้วยชามยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู ั้แ่ที่ลืมตาขึ้นมาในบ้านสกุลลู่ นางยุ่งแต่กับการหาเลี้ยงครอบครัว นางลืมเื่สำคัญอย่างหนึ่งไป บัดนี้นางเองก็อายุสิบสี่แล้ว ใกล้จะปักปิ่นแล้ว เหตุใดยังไม่มี ‘วันนั้นของเดือนอีก?’
หรือจะเป็เพราะนางแอบมาสวมร่างนี้จึงทำให้ร่างกายของเ้าของร่างผิดปกติ?
ตอนที่นางกำลังขมวดคิ้วขบคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกหน่วงที่บริเวณท้องน้อย มีของร้อนบางอย่างไหลซึมกางเกงซับในออกมา และรู้สึกปวดท้องขึ้นมา...
“อ๊า” เสี่ยวหมี่กุมท้องแล้วค้อมกายลงไปทันที ตอนที่คิดจะวางถ้วยชามลงนั้นข้างตัวกลับหาคนช่วยไม่ได้เลย ชั่วขณะนั้นเอง ผู้เฒ่าหยางก็เดินยิ้มแย้มกลับมาพอดี “แม่นางลู่ร่างกายไม่สบายตรงไหนหรือ วันนี้ข้าจะรับหน้าที่ล้างชามเอง ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถิด”
“อา ไม่เป็ไรเ้าค่ะๆ”
เสี่ยวหมี่ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด นางจะให้ผู้าุโไปทำงานในครัวได้อย่างไร แต่ตอนที่พูดท้องนางก็บีบรัดจนปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้นางหงุดหงิดยิ่งนัก ในชาติก่อนเพราะนางเคยถูกทิ้งเอาไว้หน้าประตูโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำให้อากาศหนาวเย็นซึมเข้าสู่ร่างกายจนส่งผลเสีย ยามเมื่อโตขึ้นเวลามีประจำเดือนนางจะทรมานมาก ยามนี้เปลี่ยนร่างแล้ว เหตุใดยังหนีเวรกรรมนี้ไม่พ้นอีก...
“เอามาให้ข้าเถอะ”
ผู้เฒ่าหยางยืนยันจะรับถ้วยไป เขาเดินไปยังห้องครัวด้วยสีหน้ายินดีเหมือนได้พบเจอเื่อะไรดีๆ เข้า
เสี่ยวหมี่คิดจะหันกายไปพูดอะไรบางอย่างกับบิดา กลับได้ยินบิดาสั่งพี่ใหญ่ลู่ว่า “เ้าลงเขาไปตามท่านป้าหลิวขึ้นมา บอกว่า...อืม น้องสาวหของเ้าร่างกายไม่ค่อยสบาย”
พี่ใหญ่ลู่รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย ถามออกมาว่า “เสี่ยวหมี่ไม่สบายตรงไหน ให้ข้าไปเรียกลุงสามปี้หรือไม่?”
“ไม่เอา”
“ไม่ต้อง”
เสี่ยวหมี่พูดออกมาแทบจะพร้อมกับบิดาของนาง ทำเอาพี่ใหญ่ลู่ใมาก เสี่ยวหมี่กุมท้องของตนเอาไว้ หน้าแดงแจ๋รีบกลับเรือนหลังไปทันที
เชิงอรรถ
[1] ห่านน้อย(小鹅)ออกเสียงในภาษีจีนว่า เสี่ยวเอ๋อ
[2] เป็ดน้อย(小鸭)ออกเสียงในภาษีจีนว่า เสี่ยวยา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้