อ้าวเฮ้ย! นี่มันเื่บ้าอะไรกันเนี่ย!
ก็แค่เห็นใบหน้าที่ถูกหน้าม้าบังอยู่แค่นี้เอง?
ความพึงพอใจที่ก่อนหน้านี้ไม่แม้แต่จะกระดิก กลับพุ่งขึ้นมาทีเดียวมากมายขนาดนี้!
หรือเป็เพราะเขาแก่แล้ว ความคิดของวัยรุ่นจึงตามไม่ทันแล้ว!
เมื่ออุทานพอสมควร อวี๋มู่คอยจับตาดูจนเหลียงหานกินขนมปังและดื่มนมจนหมดถึงกลับไปห้องเรียน
เหลียงหานถือกิ๊ฟอยู่ในห้องพยาบาล จนเถียนฟางกลับมา สอบถามว่ากิ๊ฟนี้เป็ของเธอหรือเปล่า แต่กลับได้รับคำตอบว่าไม่
เขานึกถึงอวี๋มู่ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมาย ทำไมเขาใช้กิ๊ฟสีชมพูแบบนี้
ท้ายที่สุด เขาก็เก็บกิ๊ฟอันนี้ไว้ในกระเป๋าชุดนักเรียน
เวลาที่เหลือทั้งวัน อวี๋มู่ก็ไม่ได้ถามถึงสถานการณ์ภายในบ้านกับเหลียงหาน และไม่ได้พูดด้วยว่าจะช่วยเขาแก้ไข
เพราะว่าเขารับหน้าที่ครูประจำชั้นวันนี้เป็วันแรก จะบุ่มบ่ามเกินไปไม่ได้ อีกอย่างเด็กหนุ่มวัยนี้รักศักดิ์ศรี เขาไม่อยากให้เหลียงหานลำบากใจ
แต่ว่าพอวันรุ่งขึ้นเป็ต้นไป เขาจะต้มไข่ทุกวันตอนเช้า เมื่อเห็นเหลียงหานที่สวนก็จะยื่นให้ แม้เหลียงหานจะปฏิเสธ แต่เขาก็จะตื้อ
ต่อมา เหลียงหานจึงแกล้งออกบ้านแต่เช้า เพื่อไม่ให้อวี๋มู่พบเขา แต่วิธีนี้เห็นชัดว่าไม่ได้ผลเท่าไหร่ เขาอาจจะหลบอวี๋มู่ที่บ้านพักได้ แต่ก็ไม่อาจหลบอวี๋มู่ที่ห้องเรียนได้
เมื่อเรียนคาบเช้า อีกฝ่ายยังคงแอบเอาไข่มายัดใส่ใต้โต๊ะเขาเงียบๆ อยู่ดี
นานวันเข้า เหลียงหานเองก็ไม่หลบแล้ว ในทุกๆเช้าก็จะรับไข่อุ่นๆจากอวี๋มู่อย่างเชื่อฟัง ขอบคุณเขาเรียบร้อยค่อยออกจากที่พัก
การให้อาหารเช้าดำเนินไปเรื่อยๆ อวี๋มู่เองก็ยัดของกินใต้โต๊ะเหลียงหานจนเคยชิน มีทั้งที่ได้มาจากครูคนอื่น หรือที่เขาซื้อเอง ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีอะไรไปใส่โต้โต๊ะเ้าหมอนั่น
แผลบนหน้าผากเหลียงหานดีขึ้นเยอะแล้ว แต่เหลือรอยแผลเป็ไว้
อวี๋มู่รู้สึกว่ามันคุ้นมาก จนวันนึงจู่ๆ เขาก็นึกได้ว่ามันคล้ายกับปานรอยกลีบดอกไม้ของชีหย่วน รู้มาว่าเป็ปานที่มีมาแต่เกิด
คงเป็เื่บังเอิญ
อวี๋มู่ไม่ได้ติดใจอะไร ตอนนี้เขารู้สึกกังวลกับไอ้คะแนนความประทับใจทีเหมือนตายสนิทไปแล้วนั่นต่างหาก
ให้อาหารมาก็นานซักพักใหญ่แล้ว เหลียงหานกลับไม่มีทีท่าว่าจะพอใจมากขึ้น หลายวันมานี้กลับค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิด
พูดตามตรง อวี๋มู่เริ่มรู้สึกผิดหวัง
แต่เมื่อวิเคราะห์ตาม ก็เห็นได้ไม่ยาก เพราะความรู้สึกที่เหลียงหานมีต่อเขาก็นิ่งๆ แบบนี้เรื่อยมา รักษาระยะห่างของครูกับศิษย์อย่างสมเหตุสมผล
อีกทั้งไม่เข้าหาอวี๋มู่เองแม้แต่ครั้งเดียว
ราวกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างทั้งสองคน จะตีหรือทำลายเท่าไหร่ก็ไม่แตก
เหลียงหานเป็พวกโดดเดี่ยว อยู่แต่ในโลกของตัวเอง เปลี่ยวถึงขั้นที่สุด
จนมาวันหนึ่ง ความเ็านี้จึงเปลี่ยนไปหลังเกิดเื่ราว
วันนั้นเป็วันศุกร์หลังเลิกเรียน อวี๋มู่ขี่จักรยานผ่านซอยเล็กๆ
เขาเห็นนักเรียน 4-5 คน ใส่ชุดนักเรียนมัธยมภาคสามเมืองเป่ยกำลังจับเหลียงหานคุกเข่า ด่าเขาต่างๆ นาๆ แล้วค้นกระเป๋ากางเกงเขา เมื่อไม่มีเงินก็เริ่มลงมือทุบตีเขา ด่าทอเขา
“พ่อแกเป็ผู้ร้ายข่มขืน แม่แกเป็นางแพศยา ถึงได้คลอดไอ้กระเทยอย่างแกออกมา ยังจะจ้องอีก! ขืนยังจ้องฉันจะควักลูกกะตาแกออกมา!”
หนึ่งในนั้นบนหน้าผากมีผ้าพันแผลปิดไว้ เป็ฝีมือของเหลียงหานที่ทำร้ายเขา ตอนนี้จึงพาคนกลับมาแก้แค้น แค่ปริปากก็พูดแต่คำหยาบต่างๆ นาๆ
“แม่ไม่ใช่นางแพศยา” เหลียงหานถูกตบหน้าดังฉาดจนสั่น เขาหันกลับมา เงยหน้าขึ้นมองนักเรียนคนนั้นอย่างเหี้ยมโหด กัดฟันพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ “แม่ ไม่ ใช่ นาง แพศยา!”
แววตาของเขาเย็นเฉียบ ราวกับหมาป่า แม้ว่าใบหน้าจะบวมเป่ง ปากมีเืไหล แต่ยังคงจ้องนักเรียนคนนั้น ราวกับว่าจะถลกหนังเขาออกมาให้ได้
“ถุยยย! ” นักเรียนคนนั้นถุยน้ำลายลงบนพื้น แล้วเอ่ย “ใครๆก็รู้ว่าแม่แกชอบวิ่งโร่หาผู้ชายไปทั่ว ไม่ใช่นางแพศยา แล้วจะเรียกว่าอะไร!”
“เฉิน ผิง!” เหลียงหานตะเบ็งชื่อเขาออกมา จากนั้นรวบรวมกำลังพุ่งไปด้านหน้า นักเรียนที่กดเขาไว้ถึงกับเอาไม่อยู่ พริบตาเดียวก็พุ่งไปจับตัวเฉินผิงไว้
หินใหญ่ที่ตกอยู่บนในซอย เหลียงหานคว้ามันขึ้นมาแล้วทุบไปยังปากของเฉินผิง ทุบทีแรกก็เห็นเืไหลออกมา
จากนั้นทุบครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ทุกครั้งเขาเงื้อมือขึ้นสูงแล้วทุบลงไปอย่างแรง
“ฉันจะทำให้แกหุบปาก! หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก…...” เหลียงหานดวงตาแดงก่ำ นั่งทับบนตัวเฉินผิง ใช้น้ำหนักตัวกดเขาเอาไว้ เพื่อนเฉินผิงไปดึงเขา ทั้งใช้หมัดต่อยหัว ขาเตะตัว แต่ก็เพียงทำได้แค่ให้เขาเคลื่อนไหวก้อนหินได้ช้าลง แต่ขอแค่มีแรงน้อยนิด เขาก็ดึงดันที่จะทุบก้อนหินนั่นต่อไป
ในที่สุดเฉินผิงก็รู้จักกลัว เขากรีดร้อง จากนั้นใช้มือป้องปากจากก้อนหิน มือถูกทุบจนเืกระจาย เ็ปจนน้ำตาไหล
อวี๋มู่มองอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นรีบทิ้งจักรยานแล้วปรี่เข้าไปดึงตัวเหลียงหานขึ้นมา
เพื่อนๆ เฉินผิงเองก็ใจนสติหลุดลอย เมื่อเห็นมีผู้ใหญ่มา ก็รีบลากเฉินผิงวิ่งหนีไป ไม่นานก็หายลับไป
เหลียงหานนั้นเดิมทีมีาแ ตอนนี้พยายามยืนให้มั่น มือในก้อนหินกลับจับไม่ไหวแล้ว
ก้อนหินที่มีเืติดอยู่หล่นลงข้างเท้า หินสีเขียวเปื้อนไปด้วยเืสีแดง
เขาเอียงคอหันไปมองอวี๋มู่ ความเ็ปที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าม้า จู่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด
นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มให้อวี๋มู่ ดวงตาดำขลับดูว่างเปล่า มุมปากที่ยกขึ้นอย่างดูแคลนผู้อื่น แต่ยิ่งเหมือนว่ากำลังยิ้มอย่างบ้าคลั่งให้กับตัวเอง
เืไหลอาบลงมาตามไรผม ยิ่งทำให้เส้นเืในดวงตาของเขาดูแดงขึ้นเรื่อยๆ
“ครูอวี๋ คุณรู้หรือเปล่าว่าเมื่อกี้ผมคิดอะไรอยู่?” เขาลูบใบหน้าเปื้อนเื น้ำเสียงแหบต่ำ แต่กลับมีเสียงหัวเราะแฝงอยู่
“ผมกำลังคิดว่า ถ้าฆ่าเฉินผิงได้คงดี ถ้าเป็แบบนั้นเขาก็คงหุบปากไปได้ตลอดกาล”
เขาพล่ามออกมาเองเสร็จสรรพ “พ่อผมเป็ผู้ร้ายข่มขืน จะคลอดฆาตกรอย่างผมออกมา ในสายตาของพวกคุณมันก็คงสมเหตุสมผลสินะ”
“คนเรา แค่เกิดมามีตราบาป ชีวิตก็จบสิ้นแล้ว”
เหลียงหานนึกถึงเพื่อนในห้อง เพื่อนบ้านที่หอพัก
จางเหมยดีกับเขามาก แต่เขาก็ไม่อาจลืมวันที่ลูกสาวของจางเหมยหกล้ม แล้วเขาช่วยพยุงขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นทำท่าทางหวาดกลัวแบบไหนออกมา
เขาเติบโตในเมืองเป่ย ั้แ่เด็กจนโต สิ่งได้ยินมากที่สุดก็คือเื่ของพ่อตัวเองที่เป็ผู้ร้ายข่มขืน แม่เป็ผีบ้า ตัวเองคือเด็กเปรตที่ไม่น่าเกิดมาเลย
แต่อวี๋มู่กลับต่างออกไป
ผู้ชายคนนี้ไม่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวเขาแม้แต่นิด เขาดีกับเหลียงหานมาก ดีจนเขานึกว่าตัวเองฝันไป
เขาได้แต่พร่ำบอกตัวเอง นี่ไม่ใช่เื่จริง ดังนั้นจึงรักษาระยะห่างระหว่างเขามาตลอด แต่ก็อดใจที่จะคาดหวังไม่ได้ คาดหวังอะไรที่มากกว่านี้
แต่วันนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
เพราะเมื่อครู่นี้ เขาอยากฆ่าเฉินผิงจริงๆ ใช้ก้อนหินนั่นทุบปากเฉินผิงให้เละ ทุบหัวเขาให้แตก ตอนที่ได้ยินเสียงเฉินผิงกรีดร้อง มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ความรู้สึกปริ่มเปรมในใจมันพลั่งพรูออกมา เขากลับรู้สึกถึง่เวลาบางอย่าง……
ให้ความเ็ป ความโกรธถูกปลดปล่อยออกมาโดยการทำร้ายคนอื่นบ้าง การรับรู้ของเขากำลังร้อง ะโออกมาจากก้นบึ้งเพื่อบอกกับเขาว่า
แกดูสิ แกเองก็เป็สวะ
เขากับครูอวี๋อยู่กันคนละโลก เมื่อเห็นตัวเองสภาพแบบนี้ ไม่มีใครไม่หวาดกลัว
ดังนั้น เหลียงหานหุบยิ้ม แล้วพูดกับอวี๋มู่ว่า
“อย่างที่ครูเห็น ผมมันพวกสวะ ดังนั้นครู…...” เขาใช้แรงปัดมือของอวี๋มู่ที่อยู่บนไหล่ออกไป “อย่ามาใส่ใจผมเลย”
ร่างกายโอนเอนไปมา เหลียงหานพิงกำแพงให้ยืนไหว จากนั้นก้มเก็บเป้บนพื้น โซซัดโซเซเดินออกจากซอยไป