สามวันต่อมา ในป่ายังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามค่ำคืน ลมหนาวกระโชกเข้ามาในถ้ำ กองไฟที่ลุกโชนแทบจะต้านทานความหนาวเหน็บไม่อยู่
หลังถูกความหนาวเล่นงานมาทั้งคืน เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่สนใจเื่ถักเสื้อผ้าอีกต่อไป เสียเวลาอยู่ครึ่งวันในที่สุดประตูปิดปากถ้ำก็เสร็จเรียบร้อย
เพียงแต่เธอลืมกักตุนหญ้าแห้งให้เพียงพอ ดังนั้นกิ่งไม้เมื่อมาประกอบเป็รูปเป็ร่างก็เลยดูหร็อมแหร็ม ประสิทธิภาพในการกันลมจึงไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้ความจนใจ จึงต้องนำหนังเลียงผาซึ่งถูด้วยขี้เถ้าผืนนั้นออกมาใช้ก่อน
หลังจากเคาะขี้เถ้าออกจนสะอาดแล้ว ก็ก่อฟืนรมควันทั้งสองด้าน
หนังเลียงผาหนึ่งผืน ตัดตรงกลางให้เป็ช่องสำหรับสวมศีรษะ แค่นี้ก็ใช้ประโยชน์ได้แล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นสวมหนังเลียงผาไว้ด้านในของเสื้อกันแดด แล้วรูดซิปขึ้น หนังเลียงผาก็สำแดงประสิทธิภาพของมันออกมาทันที แม้ว่ากลิ่นจากการรมควันผนวกกลิ่นสาบหนังสัตว์จะรุนแรงไปหน่อย แต่ช่วยรักษาความอบอุ่นได้ดีมาก
นอกจากนี้หนังงูสามผืนตากจนแห้งสนิทแล้ว นำมารมควันก่อนแล้วถูด้วยขี้เถ้า จากนั้นก็รมควันอีกรอบ หนังงูบางกว่าหนังเลียงผามาก การนำมาปรับใช้ค่อนข้างสะดวก
เซวียเสี่ยวหรั่นขอให้เหลียนเซวียนช่วยเหลาไม้ที่ค่อนข้างแข็งให้เป็เข็มเย็บผ้าขนาดใหญ่ ใช้สำหรับเย็บหนังงูสามผืนให้เป็เสื้อกั๊กสองชั้นตัวหนึ่ง
เสื้อกั๊กหนังงูลายแดงสลับดำตัวนี้สะท้อนแสงแวววาว แม้ว่างานจะหยาบสักหน่อย แต่พอเหลียนเซวียนสวมใส่แล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนสวมชุดเกราะ เซวียเสี่ยวหรั่นมองจนตาค้าง
ทั้งสองต่างมีเสื้อกั๊กเพิ่มคนละตัวช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
เสร็จจากนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นก็หันไปทำเสื่อต่อ อย่างไรเสียนอนบนเสื่อฟางย่อมดีกว่านอนบนแผ่นหินเป็ไหนๆ
จนกระทั่งทำเสื่อสองผืนเสร็จเรียบร้อยเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
อย่าว่าแต่อาบน้ำ แม้แต่เวลาล้างเท้าก็ยังไม่มี เซวียเสี่ยวหรั่นคร้านจะถือสาแล้ว
เหม็นก็เหม็นไปสิ เหม็นจนชาชินแล้ว
เช้าตรู่ของวันที่สี่ ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องก็หยุดได้เสียที
เซวียเสี่ยวหรั่นวางเสื้อที่ถักมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วในมือลง ดวงตาทอประกายระยิบระยับ เธอจะไปเก็บเห็ด แม้ว่าอากาศจะหนาวอยู่บ้าง แต่ในป่ามีเห็ดหลากหลายชนิดที่สามารถเด็ดกลับมาได้
เซวียเสี่ยวหรั่นถูมือทั้งสอง พลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา
"เหลียนเซวียน ข้าจะออกไปเก็บของป่าและเห็ดกลับมาสักหน่อยนะ"
นับั้แ่วันที่เจอหมูป่า เหลียนเซวียนก็ห้ามเธอออกไปข้างนอกชั่วคราว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี หลายวันมานี้นอกจากไปตักน้ำที่แม่น้ำ ก็แค่ไปขุดต้นคาวมัจฉาใกล้ๆ ไม่ได้ออกไปไหนไกล
เหลียนเซวียนเหลือบมองปราดหนึ่ง มิได้ห้ามปราม แต่มือใหญ่กลับยื่นของสิ่งหนึ่งให้
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้างก่อนรับมา "ให้ข้า?"
นั่นเป็มีดที่ทำจากไม้เล่มหนึ่ง ความยาวเท่ากับตะเกียบธรรมดา น้ำหนักไม่มาก แต่ใบมีดคมเอาการ โดยเฉพาะส่วนปลายทั้งแหลมทั้งคม แค่เห็นก็หัวหดแล้ว
เหลียนเซวียนใช้เวลาว่าง่สองสามวันที่ผ่านมาไปกับการเหลามีดไม้เล่มนี้ เธอยังนึกว่าเขาเหลาเก็บไว้ใช้เองเสียอีก
เหลียนเซวียนผงกศีรษะ วันนั้นตอนหาไม้มาทำเป็เข็มเย็บผ้า พบว่าเนื้อไม้แข็งแรงดี พอเหลาเข็มไม้เสร็จ ก็เริ่มเหลามีดสั้นเล่มนี้ต่อ
เนื้อไม้ที่ค่อนข้างแข็ง แต่ละมีดที่ลงไปต้องรวบรวมกำลังภายในเสี้ยวเล็กๆ ดั่งใยแมงมุมที่มีอยู่ ถึงจะเหลาออกมาได้
กระบวนการทั้งหมดต้องใช้ทั้งสมาธิ ค่อยเป็ค่อยไปและจดจ่อเป็พิเศษในการกระจายกำลังภายในไปที่ฝ่ามืออย่างสม่ำเสมอขณะแกะสลักไม้
มีดสั้นเล่มนี้เขาตั้งใจเหลาปลายให้แหลมคมโดยเฉพาะ นางจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเกินไปขณะใช้งาน
ตัวของใบมีดยังมีการแซะร่องตามแนวยาว แค่แทงเข้าไปในตัวสัตว์ยามชักออกมาก็จะเพิ่มความร้ายแรงของาแทำให้เืออกมาขึ้น ทำให้เหยื่อาเ็สาหัสและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบมีดไม้ขึ้นมาพลางเกาศีรษะ เขาหมายความว่าให้เธอเอามีดไม้ไปแทงหมูป่าหรือเปล่านะ?
ยามพบหมูป่าไม่ใช่ว่าควรหนีไปหลบในที่ปลอดภัยหรอกหรือ เธอกล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรงเสียที่ไหน
แต่เขาน่าจะมีเจตนาดี เซวียเสี่ยวหรั่นเก็บมีดไว้ในกระเป๋าด้านข้างของเป้สะพายหลัง
"ขอบคุณนะ"
หากเหลียนเซวียนรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ก็คงโมโหจนกระอักเื
เขาทำมีดไว้ให้เธอใช้ป้องกันตัว ในป่ามีสิงสาราสัตว์มากมาย หากพบเจอกับสัตว์ดุร้าย มีมีดสั้นแหลมคมย่อมดีกว่าสู้ด้วยมือเปล่า
เซวียเสี่ยวหรั่นเพิ่งเดินไปถึงปากถ้ำ อาเหลยก็ปราดเข้ามาหาทันที
ไม่ผิด อาเหลยผู้คล่องแคล่วว่องไวย่อมทนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ สองวันมานี้มันลุกขึ้นได้ด้วยสามขาและเริ่มเดินไปทั่ว แม้ว่าการเคลื่อนไหวยังเชื่องช้า แต่ไม่เป็อุปสรรคต่อกิจกรรมของมัน
มันะโด้วยขาหลัง แล่นไปหาเซวียเสี่ยวหรั่นแล้วใช้เท้าหน้ากอดขาของเธอไว้ ใช้เท้าขวายันแล้วลุกขึ้นมา
"อาเหลย เ้าจะทำอะไร" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง ก้มเอวลงไปลูบหัวมัน
"เจี๊ยกๆ " อาเหลยกอดขาเธอไว้ไม่ปล่อย
เซวียเสี่ยวหรั่นจดจ้องมัน เ้าลิงตัวนี้คงไม่คิดตามเธอออกไปข้างนอกหรอกนะ
"ไม่ได้ ขาของเ้ายังไม่อาจขยับส่งเดช พี่สาวไปหลายที่พาเ้าไปด้วยไม่ได้หรอก ต้องรอเ้าหายดีก่อนถึงจะออกไปได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นย่อตัวลงมา ลูบขนบนหลังของมัน
"อาเหลย หากเ้าเป็เด็กดีเชื่อฟัง กลับมาพี่สาวจะทำของอร่อยให้กิน"
"เจี๊ยกๆ" มุมปากของอาเหลยเริ่มเบะออก ดวงตาสีดำสนิทคล้ายกำลังตัดพ้อต่อว่าเธออยู่ สีหน้าไม่พอใจ เห็นชัดว่าฟังคำปฏิเสธรู้เื่
เธอปลอบประโลมมันอยู่นาน และให้สัญญาว่าพอกลับมาแล้ว จะเก็บเกาลัดมาคั่วให้มันกินด้วย ในที่สุดอาเหลยถึงยอมปล่อย
เกาลัดในถ้ำหมดเกลี้ยงแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นยังไม่มีเวลาไปเก็บมา
อาเหลยโปรดปรานผลไม้เปลือกแข็งประเภทนี้ที่สุด ไม่ว่าจะยังดิบอยู่หรือสุกแล้วก็ชอบพอๆ กัน
ดังนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นจึงมักใช้เกาลัดมาเป็เหยื่อล่อให้มันยอมเชื่อฟัง
เหลียนเซวียนได้ยินเธอคุยกับลิง ก็รู้สึกเลื่อมใสอยู่บ้าง
สองสามวันมานี้เธอทำงานไปก็คุยกับลิงไป มือทำงานไม่หยุด ปากก็เช่นเดียวกัน
หนึ่งคนหนึ่งลิงสื่อสารกันแบบนี้ นับวันลิงน้อยก็เข้าใจความหมายของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ทำให้เหลียนเซวียนใก็คือ เขาเคยเห็นคณะละครลิงฝึกให้ลิงตีลังกา เล่นมีด ขอเงินรางวัลทำนองนั้น แต่ล้วนเป็ผลพวงจากการฝึกฝนมานานหลายปี
ทว่าแม่นางผู้นี้เพียงแค่พูดซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ก็สามารถทำให้ลิงน้อยเข้าใจความหมายของนางได้ในเวลาสั้นๆ
แม้จะใกับการแสดงออกที่ดูเกินจริงของนางอยู่บ้าง แต่เหลียนเซวียนก็จำต้องยอมรับว่ามันเป็วิธีการสื่อสารที่ได้ผลจริง
อันที่จริงเซวียเสี่ยวหรั่นไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ลิงมีความเฉลียวฉลาดอยู่เป็ทุนเดิม คณะละครลิงมากมายจึงมักฝึกให้มันแสดงความสามารถมากมาย ลิงก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
มีผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า สติปัญญาของลิงทั่วไปพอๆ กับมนุษย์อายุสามสี่ขวบ บางตัวที่ฉลาดมากเป็พิเศษ สติปัญญาก็อาจเทียบเท่ากับเด็กสิบขวบได้เลยทีเดียว
เด็กสามสี่ขวบก็รู้เื่ไม่น้อยแล้ว อีกอย่างในความเห็นของเธอ อาเหลยเป็ลิงน้อยที่เฉลียวฉลาดเป็พิเศษ ต่อไปไม่แน่ว่าสติปัญญาของมันอาจเทียบเท่ากับเด็กสิบขวบเลยก็ได้
ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจมากมายที่อาเหลยเข้าใจความหมายคำพูดของเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้