“ท่านป้าสามทำเต้าหู้ได้นุ่มมากเลยเ้าค่ะ” เต้าหู้ของป้าสามหอมและนุ่มละลายอยู่ในปาก “ถ้าเปิดร้านเมื่อไหร่ รับรองต้องขายดีแน่เ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยชม
นายท่านเสิ่นพูดสำทับ “แม่สามีของเ้าก็พูดแบบนี้กับป้าสามเหมือนกัน”
“แล้วเช่าร้านหรือยังเ้าคะ?”
“เช่าเรียบร้อยแล้วล่ะ” นายหญิงเสิ่นตักข้าวให้ทุกคนพลางพูดว่า “ไม่ไกลจากร้านหนังสือของเ้านัก ตำแหน่งที่ตรงนั้นดีมากค่าเช่าก็ไม่ใช่ถูก เดือนหนึ่งก็สิบตำลึงแล้ว”
สิบตำลึง? แพงจริงๆเมื่อเดือนที่แล้วร้านหนังสือของนางมีรายได้แค่ห้าสิบตำลึงเองเมื่อหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เหลือกำไรแค่เพียงสามสิบตำลึงเท่านั้น
“แถวละแวกนั้นไม่มีร้านเต้าหู้อยู่เลยเ้าของที่ปล่อยเช่าเลยจงใจเพิ่มค่าเช่าให้สูงขึ้นหน่อย” นายท่านเสิ่นเล่าไปพร้อมกับกินข้าวไปด้วย “ป้าสามของเ้าถูกใจทำเลตรงนั้นมาก จึงรีบตัดสินใจทันทีข้าก็หวังว่าร้านของพวกเขาจะไปได้ดี”
“อาเจิง ชุนหง ตอนบ่ายพวกเ้าไปช่วยทำความสะอาดร้านของป้าสามกับข้าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องเฝ้าร้านเลยไปไม่ได้ส่วนพี่สะใภ้รองก็ติดธุระต้องไปที่บ้านภรรยาอากุ้ยจึงมาไม่ได้เช่นกัน” นายหญิงเสิ่นกล่าว
กู้เจิงกับชุนหงรับคำ
ขณะที่รถม้าของตระกูลเสิ่นขับผ่านร้านหนังสือชิงหย่าเซวียนกู้เจิงก็เลิกม่านขึ้นดูนางเห็นในร้านหนังสือของนางก็พอจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอยู่บ้าง
เลยจากร้านหนังสือของนางไปไม่นานก็มาถึงร้านที่ลุงสามเช่าไว้ร้านนี้มีขนาดเล็กกว่าร้านหนังสือของนางมาก หน้าร้านมีรถวัวจอดอยู่บนรถเต็มไปด้วยเครื่องมือในการทำเต้าหู้ป้าสามกับลุงสามกำลังช่วยกันยกของเข้าไปในร้าน
“น้องสี่มาแล้วหรือ? อาเจิงกับชุนหงก็มาด้วยหรือ?” ท่านลุงสามดีใจมากที่ได้เห็นคนมาช่วยกันมากมายขนาดนี้
“ลำบากทุกคนแล้ว” ป้าสามรู้สึกเกรงใจแต่ใบหน้าของนางดูมีความสุขมากขึ้นหลังจากเกิดเื่เมื่อครั้งก่อน
“คนกันเองทั้งนั้น เ้าไม่ต้องเกรงใจหรอก” นายหญิงเสิ่นกล่าวตอบ “พี่สะใภ้สามจะให้พวกข้าช่วยตรงไหนก็บอกได้เลย”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ จะให้ทำอะไร ก็บอกมาได้เลยเ้าค่ะ พวกเราแรงเยอะมาก” กู้เจิงเสนอตัวยิ้มๆ โดยมีชุนหงเป็ลูกคู่อยู่ข้างๆ
ลุงสามกับนายท่านเสิ่นช่วยกันยกของชิ้นใหญ่ส่วนฝั่งพวกผู้หญิงก็ช่วยกันเช็ดทำความสะอาดพวกเครื่องเรือนเครื่องใช้
อุปกรณ์ในการทำเต้าหู้ล้วนเป็ของใหม่เอี่ยมที่ลุงรองกับอากุ้ยสองพ่อลูกช่วยกันทำจนเสร็จในสองวัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจช่วยกันทำความสะอาดและจัดตกแต่งร้าน จู่ๆก็มีชายวัยกลางคนที่ไว้เคราแพะเดินเข้ามาในร้าน
“เถ้าแก่ ท่านมาได้ยังไง?” ลุงสามเดินเข้าไปต้อนรับ
ชายเคราแพะกระแอมเบาๆ พร้อมกับโยนถุงเงินลงบนโต๊ะดวงตาเรียวเล็กของเขากวาดมองไปรอบร้าน “นี่เป็ค่าเช่าของพวกเ้า ตอนนี้ข้าไม่้าแล้ว”
ทุกคนตกตะลึงว่าเกิดเื่อะไรขึ้น
“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่ายังไง?” ลุงสามถามอย่างงุนงงสงสัย
“หมายความว่าข้าไม่ให้เช่าร้านนี้แล้ว”
นายท่านเสิ่นพูดอย่างมีโมโหว่า “เงินก็จ่ายไปแล้ว ของทุกอย่างก็ขนมาแล้ว อยู่ๆจะมาบอกว่าไม่ให้เช่าแล้วได้ยังไงกันล่ะ?”
“ข้าก็คืนเงินให้พวกเ้าแล้วนี่ไง” เถ้าแก่แค่นเสียงตอบอย่างเ็า
กู้เจิงกับชุนหงมองหน้ากันอย่างงุนงง
“ตอนที่ตกลงกันพวกเราก็ได้ทำสัญญาเช่ากันไว้แล้วสัญญาเช่าคือหนึ่งปี” ลุงสามล้วงเอาสัญญาเช่าออกมาจากอกเสื้อ “เถ้าแก่ ท่านจะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ”
(*หมายถึงการร่างหนังสือที่อ้างอิงว่าเป็หลักฐานอันแน่ชัดแล้ว)
“เถ้าแก่ มีคนให้ค่าเช่าร้านนี้ในราคาที่สูงกว่าใช่ไหมเ้าคะ?” นายหญิงเสิ่นถามด้วยความสงสัย
เถ้าแก่ทำหน้าไม่พอใจ เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัวว่า “เขาให้มาสิบห้าตำลึง สูงกว่าพวกเ้าครึ่งหนึ่งมีเงินแต่ไม่รับนับว่าโง่* ข้าย่อมต้องให้คนที่ให้ราคาสูงกว่าเช่าร้านอยู่แล้ว”
(*หมายถึง มีคนยื่นเงินมาให้ใครไม่รีบฉกฉวยไว้ก็โง่แล้ว เป็การพูดในเชิงเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ )
“แต่พวกเราได้ทำสัญญาและประทับตรานิ้วมือกันแล้วท่านจะมาผิดสัญญาแบบนี้ไม่ได้” ลุงสามเอ่ยขัดอย่างร้อนใจ
“นี่คือร้านของข้า ทำไมข้าจะกลับคำไม่ได้?” เถ้าแก่เ้าของร้านก้าวเข้าประชิดตัวลุงสามเขาหมายจะแย่งสัญญาเช่าจากมือของลุงสามมาฉีกทิ้ง แต่เขากลับถูกนายท่านเสิ่นขวางเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ให้ตายสิ ยังมีคนน่ารังเกียจเช่นนี้อยู่อีก กู้เจิงมองเถ้าแก่คนนี้อย่างขยะแขยง
เมื่อแย่งกระดาษมาไม่ได้ เ้าของร้านก็ยิ่งโมโห “เงินสิบตำลึงข้าวางคืนไว้ตรงนี้ พวกเ้าจะเอาหรือไม่เอาก็แล้วแต่ แต่ข้าจะไม่ให้พวกเ้าเช่าร้านนี้แล้ว”
“หากเ้าทำเช่นนี้ พวกเราจะไปรายงานทางการ” นายท่านเสิ่นรีบขู่
“รายงานทางการ?” เถ้าแก่แค่นเสียงเย็น “พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าใครจะมาเช่าที่นี่แทนพวกเ้า? เขาคือปรมาจารย์ซางผู้มีชื่อเสียงในเมืองต้าเยว่ เ้าจะรายงานทางการ คิดหรือว่านายอำเภอจะช่วยพวกเ้า?”
กู้เจิงไม่รู้ว่าปรมาจารย์ซางคนนี้คือใครแต่พอเถ้าแก่พูดถึงปรมาจารย์ซาง สีหน้าของคนตระกูลเสิ่นก็เปลี่ยนไป
“ท่านปรมาจารย์ซาง้าเปิดร้านหนังสือขึ้นที่นี่ไม่แน่ว่าการเปิดร้านของท่านปรมาจารย์อาจจะทำให้มีจวี่เหรินเพิ่มมาอีกหลายคนเมื่อเทียบกับการเปิดร้านเต้าหู้ของพวกเ้าแล้วเห็นได้ชัดว่าร้านของใครมีคุณประโยชน์กว่ากัน” เถ้าแก่เ้าของร้านกวาดสายตามองพวกกู้เจิงอย่างดูแคลน
ร้านหนังสือ? กู้เจิงอึ้งหากที่นี่มาเปิดเป็ร้านหนังสืองั้นก็ต้องมาเป็คู่แข่งกับร้านของนางน่ะสิ แต่ปรมาจารย์ซางดูแล้วน่าจะเป็คนที่มีชื่อเสียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าถ้าอย่างนั้นร้านของนางจะทำอย่างไร
จะเป็เช่นนั้นไม่ได้ กู้เจิงรีบกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “ก็แค่เปิดร้านหนังสือ จะไปมีคุณประโยชน์อะไรมากมายเท่าไหร่กัน หรือว่าปรมาจารย์ซางผู้นั้นจะแจกหนังสือฟรีให้แก่ลูกค้าทุกคน? คนที่สามารถเป็จวี่เหรินได้ ล้วนเป็ผลมาจากความพยายามของตนเองแล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่จะเปิดร้านหนังสือ?”
“คนผู้น้อยอย่างเ้า อยู่ๆ คิดจะมาทำลายสัญญาแบบนี้ได้หรือ?” กู้เจิงเถียงอย่างไม่ยอมคน
“ใช่” ทุกคนในตระกูลเสิ่นตอบรับกู้เจิงเป็เสียงเดียวกัน
“พวกเ้าไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” เถ้าแก่เ้าของร้านตวาดเสียงดัง เขาโกรธจนหน้าเขียว
“ถึงพวกข้าไม่มีมารยาทแต่ก็มีพ่อแม่คอยสั่งสอนลุงสามของข้าเช่าร้านนี้กับท่านและตกลงทำหนังสือสัญญากันเรียบร้อยโดยสมัครใจเงินก็จ่ายไปหมดแล้ว แต่ท่านคิดจะกลับคำ? ไม่มีทางซะหรอก” ตรอกนี้จะเปิดร้านหนังสืออีกไม่ได้มิฉะนั้นร้านหนังสือของนางคงลำบากแน่ ตอนนี้กู้เจิงทำได้เพียงถกเถียงด้วยเหตุผล “ ต่อให้เป็ปรมาจารย์ซางอะไรนั่น คิดอยากจะมาเช่าร้านที่คนอื่นเช่าไว้แล้วก็ทำได้ด้วยหรือ?”
“ชาวบ้านอย่างพวกเ้ากล้ามาเทียบชั้นกับปรมาจารย์ซางหรือ?”
“พวกข้าเป็ชาวบ้านธรรมดาแล้วยังไง? แล้วตัวท่านไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงดูถูกแม้แต่ตัวเองเล่า?”
“เ้าพูดเหลวไหลอะไร?” เถ้าแก่เ้าของร้านหน้าตึงดูท่าจะเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม
“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าพวกข้าอยากจะเทียบกับปรมาจารย์ซางอะไรแต่ฝั่งพวกข้าทำถูกต้องตามสัญญาทุกอย่างพวกข้าไม่กลัวเ้าหรอก” กู้เจิงเถียงสู้ไม่ถอย
“นังเด็กปากดี เ้า เ้า” เถ้าแก่เคราแพะชี้นิ้วใส่กู้เจิงอย่างโมโห
“ข้าอะไร อย่าเอาแต่ชี้นิ้วเลย คิดจะทำอะไรก็ทำออกมาเลย” กู้เจิงกล่าวเย้ยหยัน
ชุนหงมองคุณหนูของตนด้วยสีหน้าตกตะลึงคุณหนูของนางร้ายกาจขึ้นทุกวัน นอกจากนายหญิงเสิ่นแล้ว คนตระกูลเสิ่นยังไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ด่าอยู่ตรงหน้าจะเป็ลูกสะใภ้ที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูและสุภาพที่พวกเขารู้จัก
ตอนแรกนายหญิงเสิ่นก็แปลกใจเหมือนกันแต่พอคิดได้ว่าที่ลูกสะใภ้ของนางเป็แบบนี้ก็เพราะเถ้าแก่เอ่ยถึงการเปิดร้านหนังสือ
“กล่าวได้ดี” ชายชราผู้ไว้หนวดเคราขาวอายุประมาณหกสิบเดินเข้ามาในร้านชายชราผู้นี้มีใบหน้าผอมบาง ดวงตามีชีวิตชีวา เขามีบุคลิกท่าทางอย่างนักพรตทำให้ทุกคนเห็นแล้วรู้สึกว่าเขาเป็ผู้มีวิชาความรู้อย่างยิ่ง
“ปรมาจารย์ซาง” เมื่อเถ้าแก่เ้าของร้านเห็นชายชราก็รีบประสานมือคำนับใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประจบสอพลอ
กู้เจิงกับคนตระกูลเสิ่นพลันเข้าใจ เขาก็คือปรมาจารย์ซางแต่พอนึกได้ว่าเขาคิดจะแย่งร้านนี้ไป ทุกคนก็พากันยืนนิ่งอย่างไม่สนใจจะทักทายกู้เจิงกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรจะพูดต่อ แต่นางดันหันไปเห็นชายหนุ่มที่เดินตามหลังปรมาจารย์ซางเข้ามานางตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ตวนอ๋องมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
จ้าวหยวนเช่อสวมชุดผ้าแพรหรูหรา ร่างสูงงามสง่า เขากวาดตามองทุกคนจนมาหยุดลงที่ร่างของกู้เจิง คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
สองสามีภรรยาเสิ่นรีบทำความเคารพ ส่วนคนอื่นๆพอได้ยินว่าเขาเป็ท่านอ๋อง ต่างก็ตื่นใรีบพากันทำความเคารพตามไปด้วย